ดีเอ็นเอรักชาติ! น็อต เคลียร์ทัวร์ลงโดนปลดรายการดัง อุดมการณ์ชัดเจน มีภูมิคุ้มกันคอมเมนต์เชิงลบ

โดนทัวร์ลงเป็นงานประจำ สำหรับพิธีกรฝีปากกล้า "น็อต วรฤทธิ์" ที่มักถูกโยงเป็นดรามาร้อนๆทุกครั้งที่มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง อย่างล่าสุดเกิดเป็นวาทะร้อนหลังสัมภาษณ์ "จักรภพ เพ็ญแข" จนโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์แรง บานปลายไปถึงถูกสั่งปลดจากรายการดังที่เจ้าตัวเป็นพิธีกร งานนี้ลัดคิวมาเปิดใจผ่านรายการ โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ตอบทุกเรื่องร้อน และเหตุใดถึงมีอุดมการณ์และจุดยืนที่ชัดเจนขนาดนี้

ย้อนถามถึงประเด็นดัง สัมภาษณ์ "จักรภพ เพ็ญแข" เป็นเรื่องดรามาใหญ่โต?
"เหตุเกิดจากเราขึ้น เราซีเรียสมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแก้ตัว มันต้องพูดกันตรงๆ ต้องสื่อสารกันตรงๆเพราะทุกคนอยากรู้ว่าแล้วจะต้องทำยังไง เหตุการณ์มันจะบานปลายไปขนาดไหน และจะจัดการยังไงให้จบได้เร็วที่สุด มันคือหน้าที่ของเค้าที่เราอยากรู้คำตอบ"

ได้มีพูดคุยกันในช่วงพักเบรคมั้ย เพราะเป็นรายการสด ?
"ไม่มีครับ จริงๆต้องมีถ่ายรูปรวมกัน แต่พี่เค้ารีบ เค้ามีธุระ (หัวเราะ)"

หลังรายการจบลง มีคอมเมนต์ทัวร์ลงเยอะ เรื่องการทำงานพิธีกรที่ใช้อารมณ์มากเกินไป?
"จริงๆมันมีคนว่าเยอะ ตัวเราเองก็รู้สึกว่าเราใช้ความเป็นตัวเองมากเกินไป คือหลายคนคอมเมนต์บอกว่าทำไมไม่เป็นมืออาชีพเลย ทำไมไม่ควบคุมรายการทำไมถึงใส่อารมณ์ ผมก็ยอมรับว่า ณ เวลานั้นผมไม่ได้ใช้ความมืออาชีพในการเป็นพิธีกร ผมใช้หัวใจในการทำงาน ผมอยากรู้ เวลาเราเป็นพิธีกร เราอยากรู้อะไรเราก็ถาม ไม่ได้ตามสคริปต์ เพื่อให้ได้คำตอบตามที่เราต้องการนั้นคือวิธีการทำงานของผม ผมรู้สึกว่าผมใช้หัวใจทำงานผมใช้เลือดเนื้อในการทำงานมากเกินไป"

หลังจากทัวร์ลงไปไหนมาไหนคนมองยังไงบ้าง?
"ทุกคนก็บอกว่าให้กำลังใจนะ เค้าก็ให้กำลังใจอยากจะบอกว่าขอบคุณทุกคนมาก ครับ"

ประเด็นแรงถึงขั้นเม้าท์กันว่าจะถูกปลดจากพิธีกร?
"มดดำก็ส่งข่าวมาให้อ่าน จะปลดได้ไงฉันจะปลดแกได้ยังไง อย่างที่หลายคนรู้มดดำก็เป็นเพื่อนที่น่ารักคนนึง คนที่รักคนรอบตัว รักคนรอบรอบตัวทุกคนจริงๆ แล้วก็หวังดีกับทุกคนจริงๆ เรื่องการปลดผมว่าคงไม่ได้โดนปลดเพราะว่ามดดำคงไม่ไปบอกว่าให้เลิกจากผู้ชายคนนี้ซะ ไม่น่าจะเกิดจากมดดำ ถ้าจะโดนปลดก็น่าจะเกิดจากสาเหตุอื่น แต่ ณ วันนี้ไม่ได้มีการปลดอะไรก็ยังอยู่ด้วยกันไป"

รู้สึกยังไงบ้างที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวข้องกับการเมืองมาตลอด?
"ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดน ผมโดนเยอะ ผมโดนทัวร์ลงมาเยอะมาก ถ้ามีแขกรับเชิญที่เป็นเรื่องของการเมืองเมื่อไรผมโดนตลอด เพราะคนจะมองว่าตามที่เค้าเรียกผมว่าไอ้สลิ่ม ก็ว่ากันไป ผมก็รู้สึกว่าผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง จะเป็นอะไรก็เป็นคนไทยเนอะ"

กลัวมั้ยกับการที่มีจุดยืนที่จะทำ?
"ถ้ากลัวผมคงไม่ทำ ก็ไม่รู้จะกลัวทำไม (อ่านทุกคอมเมนต์มั้ย) อ่านไม่ไหวครับ เพราะมันเยอะ มันเป็นหมื่นๆคอมเมนต์ มันเยอะมากเป็นหมื่นๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนด่า คนอัดคลิปด่า ผมก็ดูมีคนส่งมาให้ ก็แล้วแต่ ต่างคนต่างมีความคิดเห็น ผมรู้สึกไม่สนใจ ไม่รู้ว่าจะต้องไปเถียงทำไม เถียงไปก็เท่านั้นไม่มีประโยชน์ ถ้าคนมันโดนปิดหูปิดตาแล้ว"

เราโดนปลูกผังยังไง ถึงข้ามเรื่องราวแบบนี้ได้?
"บ้านผมไม่ดรามากัน คือคุณพ่อคุณแม่ไม่ดรามาเข้าสอนให้เราเข้าใจโลก อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเด็กๆเราถูกปล่อยให้ดูแลตัวเอง ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆโดยการที่ส่งไปเรียนต่างประเทศ ทำให้เราสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ถามว่ารู้สึกว่าโกรธมั้ย เจ็บใจมั้ยมันมีความรู้สึก แต่แค่รู้สึกว่าถ้าเรากดไปความโมโหนั้นมันอยู่กับตัวเอง มันไม่มีใครไปรับความรู้สึกตรงนั้นเพราะเราไปทะเลาะกับใครก็ไม่รู้ แต่เราก็จะทุกข์อยู่คนเดียวแล้วเราจะทำไปทำไม แรกๆผมเป็นรู้สึกว่าเราทุกข์อยู่คนเดียว เราเจ็บอยู่คนเดียว แล้วใครรับรู้ตรงนี้รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรก็ไม่โกรธดีกว่า"

เป็นคนที่ชัดมาตลอดกับภาพรักชาติศาสน์กษัตริย์?
"เราครอบครัวคนไทยเนอะ พ่อกับแม่ไม่ได้สอนเค้าทำให้เราเห็นมากกว่า แล้วผมก็ยึดมั่นในสามสิ่งนี้ คือชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ขอแค่สามอย่างนี้อย่างอื่นคุณจะว่าอะไรว่าไป สามอย่างนี้คืออย่าแตะต้อง ผมขอแค่นี้เลย มันอยู่ในดีเอ็นเอของเรา มันอยู่ในเลือดเราเพราะเราคือคนไทย"
ร่างพังเพราะอักเสบเรื้อรัง? กินแบบนี้ช่วยได้!
Tuck Talk สัปดาห์นี้พบกับสาระความรู้เรื่อง แหล่งพิษลับทำปอดพัง โรคเรื้อรัง อยู่ใกล้แค่ในครัว!? พร้อมรู้ทันภัยเงียบทำลายเซลล์จากอาหารที่กินทุกวัน กินอย่างไรที่จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรัง ลดเซลล์ซอมบี้ ห่างไกลโรคร้ายด้วยเคล็ดลับ 6 อ. จาก “ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์” ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อการชะลอวัย

การอักเสบในร่างกายมีกี่ประเภท แตกต่างกันยังไง?
ดร.เอกราช : ต้องบอกก่อนนะครับว่าในทางการแพทย์ การอักเสบจะมีอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน อักเสบแบบแรกก็คือ อักเสบแบบเฉียบพลัน แบบที่เราเห็นแผล ฝี หนอง พุพอง บวมแดง ปรากฏขึ้นมา ซึ่งอักเสบแบบนี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ เพราะเวลาเรามีการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ มันจะส่งสัญญาณและให้หลั่งสารอักเสบออกมาเพื่อเรียกเม็ดเลือดขาวมาจับกินเชื้อโรคและซ่อมแซมบาดแผล หรือการติดเชื้อนั้นๆ ให้มันหายไป งั้นแล้วมันเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายที่มีความจำเป็นในการอักเสบแบบเฉียบพลัน ส่วนอักเสบแบบที่ 2 เราเรียกว่า อักเสบเรื้อรัง เป็นการอักเสบที่ถือว่าเป็นภัยเงียบแฝง ไม่แสดงอาการ ค่อยๆ ลามไปอยู่ในร่างกายของเรา เหมือนปลวกกินบ้าน พอรู้อีกทีหนึ่ง บ้านพังแล้ว เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมาแล้ว เพราะมันเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของเรา ไลฟ์สไตล์ของเรา

การกินเกี่ยวไหม ?
ดร.เอกราช : เกี่ยวข้องโดยตรงเลยครับ อาหารแปรรูป Food แปรรูปขั้นสูงขั้นสุด ก่อให้เกิดการอักเสบขั้นสุดเลยครับ เพราะแปรรูปเนี่ยมันมี 4 ระดับ ไอ้ขั้นสุดเลย คือมันผ่านกระบวนการเยอะแยะมากมาย เพราะมีสารกันบูดกันเสีย โดยเฉพาะในกลุ่มไนเตรต ไนไตรต์ (สารกันเสีย) ซึ่งเวลาร่างกายได้รับเข้าไปผ่านระบบย่อย กรดที่กระเพาะมันจะเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง แล้วมีการศึกษาวิจัยว่ากินพวก Ultra Processed Food เนื้อสัตว์แปรรูป เนื้อแดงแปรรูปแค่อาทิตย์เดียว กินทุกวัน สามารถที่จะเพิ่มสารอักเสบในเลือดเพิ่มขึ้นเลย พวกไซโตไคน์เพิ่มสูงขึ้น

พวก กุนเชียง หมูหยอง เร่งการอักเสบไหม ?
ดร.เอกราช : ถือว่าเป็น Ultra Processed Food ครับ เนื้อสัตว์แปรรูป ไส้กรอก แฮม เบคอน แล้วก็จะมีในกลุ่มของพวกขนมขบเคี้ยวครับ พวกนี้ก็แปรรูปขั้นสุด คุกกี้ เบเกอรี่ โดนัท น้ำหวาน น้ำอัดลม ชานมไข่มุก แปรรูปขั้นสุดหมดเลย

ทานไม่ได้สักอย่างเลย ?
ดร.เอกราช : ทานได้ครับ แต่ปริมาณที่รับประทานควรกินแต่น้อย แล้วเรารู้แล้วมื้อนั้นที่เรากินอาหารแปรรูปเหล่านี้ ก็ต้องกินพืชผักแล้วก็วิตามินซีที่สูง เพราะมันจะไปช่วยยับยั้งการเปลี่ยนไนเตรต ไนไตรต์ให้เป็นไนโตรซามีนที่เป็นสารก่อมะเร็ง หรือว่ากินน้ำเข้าไปช่วยให้มันล้างไป ในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของเรา อันนี้มันช่วยได้ เพราะไม่งั้นพวก Ultra Processed Food ที่เขามาพูดกันเยอะๆ มันเกี่ยวข้องกับ longevity การมีอายุที่ยืนยาว เพราะเขาพบว่าคนที่ชอบกินอาหารแปรรูปเส้น อาหารแช่แข็งอะไรพวกเย็น พวกนั้นจะมีแร่ธาตุสารต้านอนุมูลอิสระไยอาหารต่ำ และสารสังเคราะห์ต่างๆ สูง กินของเหล่านี้เป็นประจำจะเสี่ยงให้เกิดโรคอ้วนถึง 50% จึงแนะนำให้ซื้ออาหารสด และซื้อให้ไม่ซ้ำวนไปหลายๆเจ้า ช่วยกระจายความเสี่ยงของสารพิษตกค้างที่อยู่ในแต่ละวัตถุดิบอาหาร น้ำตาลที่เรากินเยอะๆ ก็ก่อให้เกิดการอักเสบสูงครับ

ทุกสิ่งมีน้ำตาลทั้งนั้นเลย เราจะหลีกเลี่ยงยังไง ?
ดร.เอกราช : น้ำตาลแฝง อาจารย์ต้องบอกก่อนว่า ปกติแล้วเรามีโควต้าในการที่จะกิน จริงๆ แล้วเราไม่กินเลยก็ได้นะครับ โควต้าคือ 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะผลกระทบทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง แม้กระทั่งภูมิคุ้มกันของเราก็ทำงานได้ไม่ดี มีการศึกษาวิจัยว่าหลังจากเราได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงๆ เข้าไปมันทำให้เม็ดเลือดขาว ที่ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคประสิทธิภาพลดลงถึง 50% ภายใน 1-2 ชั่วโมง ต้องกินแบบมีสติ

ดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดการอักเสบได้ไหม ?
ดร.เอกราช : จริงๆ สามารถกินได้ครับ ในปริมาณที่เหมาะสม ดีมากครับ จริงๆ แล้ว ดาร์กช็อกโกแลตจะมีองค์ประกอบหลักของพวกโกโก้ ซึ่งในโกโก้จะมีพวกสารฟลาโวนอยด์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบได้ดี แล้วช่วยกระตุ้นไนตริกออกไซด์ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเราดีครับ ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคคือ 30 กรัม หวานจากธรรมชาติก็จะได้ประโยชน์สูงสุดในการลดการอักเสบของเราได้ นอกเหนือจากอาหารคืออารมณ์และความเครียดก็ก่อให้เกิดการอักเสบ

เรื่องของความเครียด ?
ดร.เอกราช : คือต้องบอกว่าเครียดน้อย พอให้มันมีแรงผลักดันชีวิต เครียดแต่น้อย ไม่ใช่ว่าเครียดหนักไม่ปล่อยวาง คอร์ติมันจะหลั่งเยอะขึ้นก็จะไปมีผลทำให้ไขมันสะสมในช่องท้องเยอะขึ้น ก็หลั่งสารอักเสบเพิ่มมากขึ้น แล้วยิ่งเครียด อนุมูลอิสระหรือ Free Radical ยิ่งสูงขึ้น ก็ทำให้เซลล์ของเราเสื่อมแก่

เหล่านี้ที่ว่ามันเป็นการสะสม เรื่องความเครียด เรื่องอาหาร แล้วมีเรื่องของอะไรอีก ?
ดร.เอกราช : PM 2.5 ที่เราหายใจเข้าไปมลพิษทั้งหลาย หรือบุหรี่ แล้วก็เรื่องของการนอนหลับ นอนดึกพักผ่อนน้อย Growth Hormone หลั่งได้ไม่เต็มที่ ไม่ได้ฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ เซลล์ของเราก็เสื่อมไป เซลล์ของเราก็แก่ไป ก็จะเกิด Zombie Cell หรือ Senescent Cell ทางการแพทย์มันเป็นเซลล์ที่มันแก่แต่ไม่ตาย มันเหมือนซอมบี้ ปกติแล้วเซลล์ของเราเวลามันทำหน้าที่ไปตามความแก่ชราของร่างกาย หรือบางทีเราไปเจอมลพิษอะไรต่างๆ มันทำให้เซลล์ของเราเสื่อมแล้วก็ตาย แต่ซอมบี้เซลล์มันไม่ตายแล้วมันก็จะหลั่งสารอักเสบออกมาแล้วทำลายเนื้อเยื่อ โดยรอบ

เรื่องของฝุ่น PM 2.5
ดร.เอกราช : พวกนี้เป็นภัยเงียบแฝงเลย ที่เราสูดดมเข้าไปคือฆาตกรเงียบจะค่อยๆสะสมจากที่เราหายใจ มันก็จะไปทำลายระบบต่างๆของร่างกาย ก่อให้เกิดการอักเสบทำลายเซลล์ปอด ทำลายทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งผิวก็ทำให้เราแก่เร็วเหี่ยวง่าย แล้วก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด

อยู่ในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ ?
ดร.เอกราช : ไม่รู้ตัวเลย แล้ววันดีคืนร้ายขึ้นมามันก่อให้เกิดการอักเสบเยอะขึ้น แล้วไปเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เป็นเบาหวาน เป็นหัวใจ เป็นมะเร็ง จากซอมบี้เซลล์ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบขึ้นมา เป็นภัยเงียบแฝงสารพัดเลยที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง เกิดขึ้น

มีอะไรที่จะช่วยร่างกายเราได้ยังไงบ้าง ?
ดร.เอกราช : อาหารครับ สามารถต้านอักเสบได้ เป็นสิ่งที่เรากินทุกวัน มันมีการศึกษาวิจัยหลายกลุ่มของอาหารที่สามารถที่จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้นะ อย่างสารพฤกษเคมีง่ายๆ เลยนะครับ ก็คือที่อยู่ในพืชผักผลไม้ต่างๆ หรือสมุนไพรต่างๆ เช่น เคอร์คูมิน จากขมิ้นชัน ตัวนี้จะมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบได้ดีครับ แกงเหลือง ข้าวหมกไก่ แกงกะหรี่ พวกนี้ก็มีครับ มีสารเคอร์คูมินช่วยต้านการอักเสบได้ดี แล้วยิ่งถ้ากินคู่กับพริกไทยดำมันจะเพิ่มการดูดซึมของเคอร์คูมิน พวกแกงเลียง แกงส้ม แกงเหลืองอะไรพวกนี้ที่มันช่วยต้านการอักเสบได้ดีจากสารโพลีฟีนอลหรือสารที่มันช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านอักเสบที่อยู่ในพืชผักสมุนไพร อีกกลุ่มหนึ่งก็คือพวกพืชตระกูลเบอร์รี พวกแอนโทไซยานิน ที่เป็นสารสีม่วงแดงอยู่ในพืชตระกูลเบอร์รี ถ้าเบอร์รีฝรั่งเรารู้จัก บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี แบล็กเบอร์รี ถ้าเบอร์รีไทย มัลเบอร์รี หรือลูกหม่อน มะเม่า มะหลอด มะยม กระเจี๊ยบ อัญชัน ข้าวไรเบอร์รี่ พวกพืชที่สีม่วงแดงก็มีสารต้านอักเสบได้ดี หรือวิตามินซีก็เป็นเบสิกวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระมีฤทธิ์ในการต้านอักเสบได้สูง มะละกอสุกวิตามินซีก็พอๆ กับส้มเลยครับ พริกหวานวิตามินซีสูงกว่าส้มเป็นเท่าตัว อีกตัวที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบได้ดีคือสารเพอร์ซิตินอยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในพืชผักผลไม้ จะพบเยอะในพวกหัวหอม หัวหอมแดง หัวหอมใหญ่ แอปเปิ้ล โดยเฉพาะบริเวณเปลือก พวกนี้ก็จะช่วยในเรื่องของการต้านการอักเสบได้ดี แล้วช่วยส่งเสริมสุขภาพปอด ทางเดินหายใจ

วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันหรือว่าผลิตภัณฑ์ที่เสริมอาหารที่ช่วยในเรื่องการต้านอักเสบควรจะกินตอนไหนถือว่าดีที่สุด?
ดร.เอกราช : ดีที่สุดเลยก็คือ กินในมื้อเช้าหลังอาหารเช้าก็ได้ครับ เนื่องมาจากว่าชีวิตเราจะต้องเผชิญกับมลพิษฝุ่น ความเครียด ไปจนถึงอาหารการกินที่อาจจะมีผลไปกระตุ้นการอักเสบ แล้วเรากินในมื้อเช้าเพื่อให้มันออกฤทธิ์ครอบคลุมตลอดทั้งวัน

ถ้าอยากจะเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยลดการอักเสบอะไรต่างๆ ในร่างกาย ?
ดร.เอกราช : เริ่มแก้ด้วยพฤติกรรมครับ Lifestyle Medicine การใช้ชีวิตของเรา หรือเวชศาสตร์วิถีชีวิต 6 อ. อย่างแรกเลยคืออาหารต้องพยายามลดละเลี่ยง น้ำตาล อาหารที่เป็น Processed Food แปรรูปขั้นสุด พยายามกินอาหารต้านการอักเสบ เพื่อช่วยในการที่จะลดการอักเสบในร่างกาย ดับโรคเรื้อรังแล้วช่วยให้ภูมิคุ้มกันเราทำงานดี ภูมิคุ้มกันเมื่อก่อนเรามองว่ามันใช้ในการป้องกันโรคติดเชื้อที่ได้รับเชื้อโรคเชื้อร้าย โควิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์สารพัดเลย แต่จริงๆ แล้วภูมิคุ้มกันยังกำจัดเซลล์มะเร็งในร่างกาย สองก็คืออารมณ์พยายามคิดบวก เครียดให้น้อยที่สุดมีสติรู้ ส่วนที่ 3 อากาศ อันนี้สำคัญมากครับ เพราะ PM มันมาเหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้เกิดโรคหัวใจ ใส่หน้ากากป้องกัน หาตัวช่วยตัวเสริมวิตามินซีอะไรต่างๆ หรือสารต้านอนุมูลอิสระต้านอักเสบ ส่วนที่ 4 คือออกกำลังกายอันนี้ก็สำคัญครับในการที่จะเสริมภูมิคุ้มกันในการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ช่วยต้านอักเสบ และ 5 คือการเอ็นหลังหลับนอน การหลับลึกก็สำคัญจะเป็นช่วงที่หลั่ง Growth Hormone ฮอร์โมนที่ช่วยชะลอวัย ฮอร์โมนที่ช่วยต้านแก่ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และสุดท้าย 6 คือ โอบอ้อมอารี ถ้ามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีก็จะช่วยให้ชีวิตดีด้วย สุขภาพที่ดีเริ่มที่ตัวเราครับ

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น. คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=y6oCzjYa0Pg&t=1060s
“ยิปโซ” เล่าชีวิตสุดโต่ง ลดน้ำหนักจนผมร่วง ประจำเดือนไม่มา สู่เส้นทางเยียวยาตัวเอง
ล้วงชีวิตสุดโต่ง! ยิปโซ อริย์กันตา ในรายการ Prime Cast เจาะลึกถึงเรื่องรูปร่างและความคาดหวังของสังคม แชร์ประสบการณ์การป่วย Eating Disorder ที่ไม่มีใครรู้ เคยคลั่งผอมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สู่การเรียนรู้ที่จะหาจุดสมดุลระหว่างความสุดขอบและความพอดี โดยเฉพาะในเรื่องการออกกำลังกาย เข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ และเรื่องการจัดการกับฮอร์โมนด้วยความยากลำบาก

ตอนนี้พี่ยิบโซทำอะไรอยู่บ้าง ไม่ได้ถามอายุ ?
ยิปโซ : ฉันไม่เคยอายกับเรื่องอายุตัวเองเลยจริง ๆ ปีนี้ 36 ค่ะ มีความสุขนะคะจริงๆ แล้ว

ชอบตัวเองในเวอร์ชั่นไหนมากที่สุด ?
ยิปโซ : มันจะไม่ใช่หลักปีสิ แต่โดยรวม อย่างช่วงอายุ 32 หรือ 35 มันจะมีช่วงที่เราชอบอะไรบางอย่างไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าตอนนั้นอายุเท่าไหร่ตอนนี้อายุเท่าไหร่เราก็จะชอบอันนั้นที่สุด จะเป็นคนที่ไม่กล้าเปลี่ยนอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยน เดี๋ยวตรงนี้จะไม่เป็นแบบนี้ เพราะรู้สึกว่ายังไง ๆ มันก็ต้องมาแบบนี้

ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ?
ยิปโซ : ทุกวันนี้ก็คือทำงานปกติในแง่ของโซเชียลก็จะมีงานอยู่ แต่ว่างานละคร งาน acting ตอนนี้ยังไม่ได้ทำโปรเจกต์อะไรค่ะ แล้วก็ทำงานศิลปะเยอะขึ้น เพราะว่าเหมือนกับตอนต้นปีที่ผ่านมา ปี 2025 ก็คือพี่เริ่มทำเหมือนกับ Exhibition join ไป ก็คือเหมือนกับว่าเอาสิ่งที่เคยวาดมาตลอดตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ที่มันไม่เคยแบบทำจริงจังซักที เอามาทำ Exhibition แล้วหลังจากนั้นมา ทุกวันนี้ก็ยังพยายามสม่ำเสมอกับการทำมันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็หลัง ๆ อินกับการออกกำลังกาย สนุกกับมันมาก ๆ สนุกเกินไปจนมีผลแห่งกรรมบางอย่าง

ได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองชอบ ?
ยิปโซ : เรียกว่าทำหลายอย่าง แต่ไม่เรียกว่าเจอ balance มีความแตกต่างนะ ไม่รู้ทำ balance หายไป ตรงไหน

แต่ถือว่าศิลปะที่เอาเข้ามามากขึ้นก็ช่วยเยียวยาจิตใจเรามากขึ้นไหม ?
ยิปโซ : มากค่ะ คือเหมือนกับว่าเยียวยาจิตใจแต่ไม่ค่อยเยียวยาเรื่องทางการเงิน คือทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ตอนนี้กำลังหา balance นั้นอยู่ว่าเราจะทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วทำแบบฉลาดยังไงให้มันหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ เราทำในสิ่งที่รัก แต่ว่าสิ่งที่เรารักนั้นควรจะเป็นสิ่งที่ support ชีวิตเราได้ด้วย รู้สึกว่ามันหมดยุคที่จะต้องแลกอันใดอันหนึ่งแล้ว รู้สึกว่า 2 อย่างมันควรจะรวมกันได้ถึงจะเป็นอะไรที่ยั่งยืน แล้วรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มันทำอย่างงั้นได้ง่ายขึ้น รู้สึกว่าแต่ละคนไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ มี skill ในการหา balance ในชีวิตตัวเองไม่เท่ากัน การที่เราปรับเหมือนกับอายุเท่านี้ ไม่ได้แปลว่าพี่ผ่านอะไรมาแล้วจะหา balance ได้เก่งกว่าคนอื่นนะ เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นนิสัยแต่ละคนด้วย บางคนเขาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่ balance ชีวิตได้ดีก็มีเหมือนกัน แต่เราตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่สุดโต่งมากๆ ถ้าเกิดใครที่แบบรู้จักกันมาตลอด คือเป็นคนทำอะไรทำสุด แบบลองดูก่อน แล้วก็ส่วนใหญ่ก็จะสุดมาพร้อมกับผลของความ สุด

สุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้อะไรจากมันยังไง ?
ยิปโซ : ใช่ แต่ว่าแม้แต่ตอนนี้ ล่าสุดที่ไปออกกำลังกายมาก็สุดเหมือนกัน คือมันเหมือนหยุดสันดานไม่ได้ แล้วพอทำไปมันก็จะมีผลลัพธ์ของความสุดออกมา ถามว่าเราได้เรียนรู้ไหม เรียนรู้แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเรียนรู้บ้างว่าไม่ว่าจะในหมวดไหนก็ตามอย่าสุดเกิน ควรจะขยับบ้าง

ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการมานาน รู้สึกว่าสังคมหรือ standard ของความคาดหวังที่คนมีให้เรามีผลต่อจิตใจไหม ?
ยิปโซ : โหด พี่ถือว่าดื้อแล้วนะ คือเหมือนกับอารมณ์ว่าถ้าเกิดมันมี standard อะไรบางอย่างที่มันมีอยู่ ไม่ใช่ว่าจะโอเค ทุกอย่างอะไรอย่างงี้ แต่เราเองก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าจะไปต่อต้านอะไร คือพี่เชื่อว่ายุคก่อนพวกเรา เรื่อง beauty standard เรื่องที่ว่า คุณเป็นคนในวงการ หรือคุณเป็นคนที่ทำการแสดง ยุคก่อนหน้า ต้องเป็น 1 2 3 4 มันเครียดกว่า พอมาสิ่งที่เราอยู่ รู้สึกว่ามันมีความ rebel อะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็ในใจเราที่รู้สึกว่าเราไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นแบบนั้นเป๊ะ ๆ มันไม่ต้องภาพพับไว้ มันไม่ต้องหน้าตา pattern นี้ หรืออะไร pattern นี้ เพราะว่าเอาจริง ๆ สมัยก่อนยุคเรา จะเป็นสวยคือแบบฝรั่งลูกครึ่ง แล้วเราโผล่เข้ามาในหน้าที่แป๊ะเลย แล้วโชคดีที่ผนวกกับการที่เกาหลีเพิ่งเข้า เลยทำให้หน้าอย่างเราสามารถเกิดในวงการได้ ณ ตอนนั้น Beauty Standard มันเปลี่ยน แล้วก็โชคดีที่จังหวะนั้น เรามีความที่ทั้งเล่นตามน้ำ รู้ว่าจะไม่เปลี่ยนตัวเองแบบไหน แต่ถามว่ามีผลกระทบไหม มีมาก ๆ ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่สมัยก่อนถ้าเกิดเราทำงานเป็นตัวเราเองจริง ๆ ที่เป็นยิบโซ ที่ความเป็นเรา มันไม่ซีเรียสเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดเป็นเรื่องการแสดง เราจะกดดันเว่อร์ ๆ เพราะเป็นคนเครียดเวลาทำงานอยู่แล้ว พื้นนิสัยทำงานอะไรแล้ว เครียด

เป็นคนกดดันตัวเองหรือเปล่า ?
ยิปโซ : มากเกินกว่าที่ดูน่ารัก ค่อนข้างเยอะ เหมือนทำอะไรแล้วซีเรียส ถ้าเกิดเราทำไม่ทำเต็มที่จะรู้สึกผิด เพราะพื้นฐานเป็นคนสุดโต่งด้วย อยากทำให้มันดีที่สุด พออันนี้มันมาผนวกรวมกับความกดดันในแง่ของสิ่งที่ไม่ถูกพูดถึงมาก ๆ แต่ว่าแน่นอนเวลาคุณทำงานในวงการ acting หรืออะไรก็ตาม โชคดีโอกาสของเราได้รับบทที่เป็นบทหลัก คุณเป็นนางเอกต่อให้ไม่มีใครมาบอกว่าคุณจะต้องน้ำหนักเท่านี้ หรือคุณจะต้องหน้าตาแบบนี้ หรืออะไรมัน automatic ไปเองว่าเราเองควรจะต้อง fulfill อะไรบางอย่างที่มันเป็น pattern ที่เขาต้องการ

ซึ่งตอนนั้นก็มีผลมากใช่ไหม ?
ยิปโซ : หนัก ถึงขั้นเคยเป็น Eating disorder คือเหมือนคนเรามันเหมือนกับว่ามันจะเป็นทั้ง anorexic มันจะเป็นทั้ง bulimia มันจะเป็นทั้งหลาย ๆ อย่างได้ บางทีมันส่งกัน ตอนนั้นที่เป็นตอนแรก มันเริ่มจาก anorexic ก่อน ตอนนั้นคือถ่ายละครแล้วตั้งใจจะลดน้ำหนัก อายุประมาณ 20 กว่า เล่นละครเรื่องแรก สมัยก่อนเล่นหนังมันจะไม่ได้ fix มากขนาดนั้น แต่ว่าพอเล่นละคร เราอยากจะทำบทนี้ให้มันจริงก็เลยถ้าเกิดวันหนึ่งเป็นคนแบบนี้ มันไม่น่าจะเป็นร่างนี้ ก็พยายามลดน้ำหนัก ในนั้นเขียนไว้ 45 กก. เราแบบสู้ มันเหมือนมันเป็น mission หนึ่งของเราตอนนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าลดน้ำหนักไปเยอะมาก ตอนที่ถ่ายละครอยู่ คนที่กองก็เป็นห่วงอยู่นะ เพราะว่าแทบไม่กินอะไรเลย กินน้อยมาก กินแต่ผัก ตอนนั้นก็คือเละ ก็คือกรอบเลย แขนก็คือเล็กแบบเละไปหมด แล้วก็กระดูกขึ้น ลงเกือบ 10 กิโลนะ แต่ว่าเป็น 10 ที่ไม่เฮลตี้ ไม่ได้ทำในวิธี ถูกต้อง

แล้วใครเป็นคน confirm ให้ว่าเป็น anorexia ตอนนั้น
ยิปโซ : ไม่มีใคร confirm ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำ ผ่านไปแล้วหลายปีถึงจะมารู้ว่าเป็น คือหลาย ๆ คนที่เป็น Eating disorder บางทีไม่ได้รู้ตัว ณ ตอนนั้นทันทีนะคะ ตอนนั้น anorexic อยู่แป๊บนึงแล้วสุดท้ายร่างกายมันไม่ยอม มันเหมือนร่างกายเรามันฉลาด คือมันเหมือนกับเราอดอาหารมาตั้งนาน สุดท้ายเขาจะมีวิธีการตีกลับ พอตีกลับเสร็จปุ๊บ พอเราผ่านช่วงที่เราถ่ายทำไปเสร็จปุ๊บ ตอนนั้นผมเริ่มร่วงอะไรทุกอย่าง ร่างกายประจำเดือนไม่มา เพราะว่าร่างกายจะตายแล้วเพราะมันขาดอาหาร ร่างกายเริ่มโหยมาก ๆ แล้วคราวนี้พอเราติดอยู่กับ mentality ว่ามันเป็นโรคทางความคิดแล้ว ยิ่งผอมยิ่งดี เหมือนต่อให้คนที่กองเดินมาคุยกับเราว่าผอมไปแล้วนะ ผู้กำกับเดินมา ยิบหน้าตา concern มาก ใช้งานไม่ค่อยดี แต่เราจะรู้สึกได้ จากสายตาคนรอบข้างได้ว่าถ้าเกิดมันผอมลงกว่านี้ก็คงดี แต่ว่ามันไม่ถูกพูดออกมา ก็โอเค ฉันรู้ ฉันรับโจทย์นั้นโดยที่ไม่ต้องมีใครพูด แล้วพอทำจนกระทั่งผู้กำกับมาบอกว่า ผอมไปนะ ไม่ว่าใครจะมาพูดอีกก็ตาม ดีค่ะ มันเหมือนชนะ มันรู้สึกชนะ อาการนี้ไม่ใช่อาการเท่นะ อาการของคนป่วย การที่เราคิดว่ายิ่งผอมแล้วยิ่งดี มันสะใจ เหมือนมันถูกต้อง มันชนะ ไม่ใช่อาการของคนที่สภาพจิตปกตินะ แต่ตอนนั้นโรคนี้มันไม่ได้ถูกพูดถึง หรือถูกเข้าใจมาก เพราะว่านี่คืออาการที่ไม่ปกติ คือคนเราไม่ควรจะมาเอาชัยชนะอะไรกับความเล็กลงของร่างกาย ไม่ได้สนใจแล้วว่าตอนนั้นสวยหรือไม่ สนใจแค่ว่าจะเล็กลงอีก ไม่กินแล้วก็ต่อมาพอร่างกายตีกลับแล้วมันบังคับว่ายังไงมันโหย กินเข้าไปเสร็จปุ๊บ รู้สึกผิด เป็นต่อมาคือเป็น bulimia โรคนี้ไม่น่ารัก ดูไม่สะอาด แล้วก็เป็นโรคที่ทำให้เราเกลียดตัวเองมาก ๆ จริง ๆ คือ bulimia คือเวลากินแล้วเราเอาออก เรา force ตัวเอง

ผ่านไปได้ไงกับ bulimia
ยิปโซ : ใช้เวลามาก ๆ แล้วก็พยายามเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่รู้สึกกดดันตัวเองมากไป เพราะรู้สึกว่าจิตใจตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอที่จะแยกแยะได้ ตอนนั้นถึงต้องพักละคร ตอนนั้นคนรอบข้างหรือคนที่ทำงานด้วยก็จะไม่รู้ว่าเราป่วย แต่ถามว่าทุกวันนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นดีไหม มองย้อนกลับไปก็ยังกลับไปคำเดิมนะที่ว่าเราเลือกย้อนกลับไปจะไม่เปลี่ยน เพราะเราเป็นมาหมดแล้วมันทำให้เข้าใจว่าเป็นยังไง เพราะว่าตอนนั้นยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำยังไงถึงหาย รู้แค่ว่ามันค่อย ๆ คลายขึ้น ค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าหายเองโดยที่เราไม่พยายามนะคะ เราก็ต้องพยายามแบบปรับสภาพใจตัวเองด้วย พยายามเลือกที่จะไม่ทำอะไรบางอย่างที่รู้ว่าทำร้ายตัวเอง

จบที่การยอมรับตัวเอง
ยิปโซ : คือการพาตัวเองมายอมรับความจริงอะไรบางอย่าง เพราะพี่มองว่าการที่เรารู้สึกว่าต้องเป็นแบบนี้เป๊ะ ๆ เท่านั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ดี ถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับได้ ถึงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าสวย หรืออะไรก็ตาม อันนั้นไม่ใช่ความจริง มันเครียดนะ พื้นฐานจิตใจทุกคนก็แค่อยากที่จะเป็นในสิ่งที่ดี อยากที่จะเป็นในสิ่งที่ได้รับความรัก ไม่ว่าจะยุคสมัย ไหน

หลังจากเกิดเหตุการณ์กับร่างกายมาเยอะมาก รู้สึกว่าฉันอยากจะดูแลร่างกายตัวเอง เป็นแบบนี้หรือยัง ?
ยิปโซ : ฉันว่ายังไม่ขนาดนั้น (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องแก้จริงๆมันคือนิสัย เรายังคงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่ คำว่าเต็มที่มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป

ทราบมาว่าเป็นคนปวดท้องประจำเดือนมากตั้งแต่เด็ก ?
ยิปโซ : แต่ว่าฮอร์โมนกับพี่ เรามีอะไรที่ได้คุยกันมาตั้งแต่เด็กจนโตอยู่แล้ว เหมือนมันมีช่วงที่ดีขึ้นตอนช่วงที่พี่เล่น Pilates zen ร่างกายดีมาก ชิลดีมาก แต่พอนึกสนุกอยาก Hyrox ขึ้นมาแล้วพอใช้ร่างกายหนักไป ทุกวันนี้หลังจากที่จบจาก Hyrox มาะ ร่างกายสรวนหมดทุกอย่าง สิวที่ปกติแล้วไม่มีก็ขึ้นหมด ตอนแรกก็คือเราเคยมีเรื่องซีสต์ในรังไข่ที่เอาออกไปแล้ว ก็หวังว่าจะไม่ได้ขึ้นใหม่ ตอนนั้นเป็นช็อกโกแลตซีสต์ แต่ว่าล่าสุดก็คือรู้สึกได้เลยว่าตัวเองมีซีสต์ ปวดซีสต์แล้วก็ไปตรวจมาใหม่อีกรอบหนึ่ง ขึ้นแล้ว เชื่อว่าเป็นเพราะว่าเอาตัวเองไปสู่ process ภาวะของความเครียดหนักมาก ทั้งทางร่างกายแล้วก็จิตใจ ออกกำลังกายหนักเกินไป กินไม่ดี นอนไม่ดี มันก็คือความเครียดที่ร่างกายรับรู้ในแบบ physical เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลาย ๆ คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนเครียด ไม่ได้แปลว่าร่างไม่เครียด

ปกติประจำเดือนมาตรงไหม ?
ยิปโซ : โชคดีทุกวันนี้ประจำเดือนยังมาตรงอยู่ ต่อให้เครียดแค่ไหนก็ยังมาตรง แต่ว่ามันออกอาการอื่นไงคะ จะเป็นเรื่องผิว เรื่องอารมณ์ เรื่อง weight มันจะไปทางนั้นมากกว่า สิวขึ้น กินทุกอย่าง กินเยอะ เหมือนร่างกายสั่งว่าเธอต้องกินเดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ก็เลยพยายามจูนกลับมาอยู่ พยายามที่จะใช้ชีวิตแบบฝืนใจตัวเองว่าทุกอย่างที่เราเคยฝึกมาต้องยอมเสียสละนะ ทำยังไงก็ได้ให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะที่ไม่ต้องเครียดมากที่สุด ทุกวันนี้ต้องอยู่กับความลุ้นตลอดเวลาว่าร่างกายเราจะโอเคไหม มีซีสต์ขึ้นอีกไหมโดยที่เราไม่ใช้ยาคุม รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้เป็นอะไรมากก็ไม่อยากเอาฮอร์โมนอะไรไปกระตุ้น

สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=KmK6eVsEsdg
“MUTภูเก็ต” มงคาบ้าน! “เดล นฤมล” ปาดหน้าเต็ง1 “วีนา” คว้ามงกุฏ “Queen of Phuket”
สะใจกองเชียร์ที่สุด!! ลุ้นกันสนุกทุกรอบ ในที่สุดมงกุฏ “Queen of Phuket” ไข่มุกงามแห่งอันดามัน ตกเป็นของ “เดล นฤมล” มิสยูนิเวิร์สภูเก็ต หลังทำคะแนนนอนมาในทุกรอบการแข่งขัน ทำให้ตำแหน่งรองอันดับ 2 ตกเป็นของตัวเต็งหมายเลข 1 อย่าง วีนา

นับเป็นอีกค่ำคืนสำคัญของกิจกรรมการเก็บตัวผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 ในรอบ Queen of Phuket ที่เจ้าภาพเมืองภูเก็ต คิม ธีรศักดิ์ ผลงาม และ กบ-ธนพัฒน์ นวลสกุล จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ Angsana Convention and Exhibition Space (ACES) จังหวัดภูเก็ต เพื่อเฟ้นหาสาวงามหนึ่งเดียวที่จะได้ครองมงกุฏ Queen of Phuket เปิดเวทีด้วย 2 พิธีกร ชลวิศ วงศ์ศรีวอ และ สกุล ลิมปภานนท์ ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและคนสำคัญอย่าง บอส ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานกองประกวด Miss Universe Thailand 2025 ก่อนยกเวทีให้ 77 สาวงามผู้เข้าประกวดในชุดราตรีที่ออกแบบมาอย่างประณีต สวยสง่า ดีไซน์ที่ดูหรูหราอลังการ ประกาศผลผู้เข้ารอบ 22 คนสุดท้าย โดย 5 คน มาจากรางวัล Popular Vote นั่นเอง

ระหว่างรวบรวมคะแนนพิธีกรประกาศรางวัล BEST PHOTOGENIC BY THE TITLE รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่
1 . MUTสระบุรี
2 . MUTภูเก็ต
3 . MUTกรุงเทพมหานคร
รางวัล BEST CONTENT CREATOR BY THE TITLE ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่
1. MUTสระบุรี
2. MUTปทุมธานี

รางวัล MISS KORA ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ MUTสระบุรี และรางวัล MISS AYANA ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท

ได้แก่ MUTปทุมธานี และก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับผล 22 คนสุดท้าย Queen of Phuket ซึ่งคะแนนโหวตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ MUTสระบุรี / กรุงเทพมหานคร / เพชรบุรี / ภูเก็ต / นครศรีธรรมราช ตามมาด้วย 17 คน ได้แก่ MUTอุดรธานี / ปทุมธานี / อุตรดิตถ์ / ราชบุรี / สงขลา / สมุทรปราการ / สุพรรณบุรี / สมุทรสงคราม / พังงา / ขอนแก่น / ประจวบคีรีขันธุ์ / นครพนม / นครนายก / เชียงใหม่ / นครปฐม / ตราด / ลพบุรี โดยผู้ผ่านเข้ารอบ Queen of Phuket กลับออกมาอวดโฉมอีกครั้งในชุด เคอบาย่า ชุดพื้นเมืองภูเก็ต จากบ้านชินประชา จากนั้นประกาศผล 12 คนสุดท้าย ได้แก่ MUTกรุงเทพฯ / นครศรีธรรมราช /สมุทรปราการ / ประจวบฯ / สงขลา / สระบุรี ภูเก็ต / นครนายก / เชียงใหม่ / ปทุมธานี / ลพบุรี / อุตรดิตถ์ เข้าสู่รอบการแสดงวิสัยทัศน์หัวข้อ “ภูเก็ต ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต” คนละไม่เกิน 30 วินาที ซึ่งนางงามทุกคนก็ทำคะแนนในรอบนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ต่อด้วย คุณคิม ธีรศักดิ์ ผลงาม ผู้อำนวยการกองประกวด Miss Universe Phuket และ Phuket The Host City ขึ้นกล่าวขอบคุณและอวยพรให้นางงามทุกคนโชคดี และอีกหนึ่งบุคคลสำคัญ คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานกองประกวด Miss Universe Thailand & Vice President of Miss Universe Asiana ขึ้นกล่าว ตามติดด้วยการประกาศผล 5 คนสุดท้าย เริ่มจากคะแนน “Popular Vote” ได้แก่ MUTสระบุรี ต่อด้วย MUTภูเก็ต / สงขลา / อุตรดิตถ์ และ ลพบุรี สู่รอบการตอบคำถาม Final Question ก่อนจะต้องบีบหัวใจอีกครั้ง เมื่อพิธีกรประกาศผล Miss Universe Thailand Queen of Phuket 2025 ดังนี้ รองอันดับ 4 Queen Of Phuket ได้แก่ MUTสงขลา ครีม อริยากร สุขภิทักษ์ ตำแหน่งรองอันดับ 3 Queen of Phuket ได้แก่ MUTอุตรดิตถ์ ยีนส์ - พิชญาวี โยโกยาม่า ตำแหน่ง รองอันดับ 2 Queen of Phuket ได้แก่ MUTลพบุรี หญิง สุมิตา คุมาประโคน เหลือนางงาม 2 คน สระบุรี และ ภูเก็ต ยืนจับมือลุ้นระทึกบนเวที โดยสาวงามที่คว้าตำแหน่ง Queen of Phuket ได้แก่MUTภูเก็ต เดล-นฤมล พิมพ์ภักดี ครองมงกุฏ Queen of Phuket มูลค่า 500,000 บาท ทำให้ตำแหน่งรองอันดับ 1 ตกเป็นของนางงามตัวเต็ง วีนา - ปวีนา ซิงห์ MUTสระบุรี

ทั้งนี้สาวงามทั้ง 77 คน จะกลับไปทำกิจกรรมกับกองประกวด Miss Universe Thailand 2025 อย่างต่อเนื่องในกรุงเทพฯ ดังนี้ วันที่ 17 สิงหาคม 2568 : Close Door Interview Day (รอบสัมภาษณ์) วันที่ 18 สิงหาคม 2568 : National Costume Competition (การประกวดรอบชุดประจำชาติ) วันที่ 20 สิงหาคม 2568 : Preliminary Competition (การแข่งขันรอบอุ่นเครื่อง) สำหรับรอบตัดสิน (Final Competition) Miss Universe Thailand 2025 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 2568 ณ MGI Hall ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK พระราม 9
โอปอล – สุชาตา Miss World 2025 เดินหน้าภารกิจที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เช้าวันที่ (14 สิงหาคม 2568) “โอปอล – สุชาตา ช่วงศรี” Miss World 2025 ลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจมอบกำลังใจแก่ผู้ป่วย และขอบคุณการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ณ ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ในการนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านมระดับแนวหน้า ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อมะเร็งเต้านม รวมถึงประธานมูลนิธิมะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยและการรักษามะเร็งเต้านมในประเทศไทย

มูลนิธิมะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ มีการนำเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับการดูแลรักษาที่มีคุณภาพสูงสุด ด้วยความใส่ใจและเข้าใจอย่างแท้จริง

โอปอลยังได้เชิญชวนให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพ ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ และเข้ารับการตรวจจากแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อการป้องกันและรักษาที่ทันท่วงที
#missworld #72missworld #opalsuchata #opalforher #beautywithapurpose #bwap
ปิดฉากรัก 5 ปี! “มิ้น มิณฑิตา” แยกทาง “ซิลวี่” ขอบคุณทุกช่วงเวลาที่มีกัน
ทำเอาแฟน ๆ รวมถึงเพื่อนพี่น้องในวงการบันเทิงต่างรู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อคู่รักศิลปินและนักแสดงมากฝีมือ มิ้น-มิณฑิตา วัฒนกุล และ ซิลวี่-ภาวิดา มอริจจิ ได้ประกาศยุติความสัมพันธ์ในฐานะคู่รัก หลังคบหาดูใจมานานกว่า 5 ปี ยืนยันเป็นตัดสินใจลดสถานะด้วยความเข้าใจร่วมกัน

ทั้ง มิ้น และ ซิลวี่ ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตราแกรมไว้ว่า “เราสองคนมีเรื่องอยากบอก หลังจากใช้เวลาร่วมกันมา 5 ปีเต็ม วันนี้เราตัดสินใจแยกทางกันในฐานะคู่รัก มันไม่ใช่การจากกันด้วยความเสียใจ แต่เป็นการเลือกด้วยความเข้าใจ และความเคารพในกันและกัน เรารู้สึกขอบคุณกันมากสำหรับช่วงเวลาที่เคยมีร่วมกัน ทั้งรอยยิ้ม น้ำตา การเติบโต และความรักที่เคยแบ่งปันกันอย่างเต็มหัวใจ

“พวกเรายังเป็นกำลังใจให้กัน และยังมีความปรารถนาดีให้กันเสมอ แค่เปลี่ยนบทบาทในชีวิตของกันและกันเท่านั้นขอบคุณทุกคนที่รักและสนับสนุนเรามาโดยตลอด หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ และให้พื้นที่กับเราทั้งคู่ในช่วงเวลานี้นะคะ ด้วยความรักและความจริงใจ” Cr. ig : silvypavida / mint.tita

#มิ้นซิลวี่ #มิ้นมิณฑิตา #สยามดารา
อี้แทนคุณ เตรียมพาเมีย"เอ๋ ไพโรจน์" ร้องขอความเป็นธรรม อ้างถูกลูกสาวขับไล่-สงสัยสาเหตุเสียชีวิตของสามี
วันที่ 14 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจาก เก่ง สุชาติ ทีมงานชมรมสันติประชาธรรม ว่าวันพรุ่งนี้ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ สำนักงานอัยการสูงสุด ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม จะพาภรรยาคนปัจจุบันของอดีตนักแสดงอาวุโสและผู้กำกับชื่อดัง ไพโรจน์ สังวริบุตร หรือ เอ๋ ไพโรจน์ ที่เพิ่งเสียชีวิตไป ยื่นเรื่องร้องเรียนขอความคุ้มครองสิทธิและขอความเป็นธรรม

โดยผู้ร้องเรียนซึ่งอ้างว่าเป็นภรรยาที่อยู่กินกับคุณไพโรจน์มานานกว่า 20 ปี เปิดเผยว่า ถูกบุตรสาวจากภรรยาคนแรกของคุณไพโรจน์ขับไล่ออกจากบ้านพักที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ด้วยการเปลี่ยนลูกบิดและกุญแจบ้าน ทำให้ไม่สามารถกลับเข้าไปในบ้านได้ ทั้งที่ยังมีทรัพย์สินและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของผู้ร้องเรียน

นอกจากนี้ ผู้ร้องเรียนยังระบุว่ามีความคลางแคลงใจในสาเหตุการเสียชีวิตของคุณเอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร เนื่องจากหลังพิธีฌาปนกิจศพ ได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ชวนสงสัย ทำให้เธอรู้สึกค้างคาใจและต้องการความกระจ่างในข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อหวังว่าอัยการจะให้ความเมตตาในการคุ้มครองสิทธิให้สามารถกลับเข้าบ้านและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข พร้อมทั้งทวงคืนความยุติธรรมและปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
ปมในใจมาจากไหน? ถอดรหัสเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งผ่านศาสตร์แห่งดวงดาว
คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน On the way with Chom สัปดาห์นี้จะพาไปพบกับ นี ชาลิสา ผู้ให้คำปรึกษาด้านโหราศาสตร์จิตวิทยาเชิงลึกและพลังงานบำบัด จะมาถอดรหัสดวงดาวเปิดประตู สู่การค้นพบและเข้าใจตัวเองในมุมที่ลึก ขึ้นเพื่อชีวิตที่สมดุลทั้งกาย และใจ

จุดเริ่มต้นกับสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เกี่ยวกับอะไร ?
นี ชาลิสา : ต้องเท้าความก่อนว่างานประจำเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ก็คือเป็นดูแลในส่วนของ Wellness ของ Wonderfruit แต่ว่าที่เป็นงานส่วนตัวเป็นงานส่วนตัวที่เราช่วยให้คนให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เหมือนเป็นที่ปรึกษาด้านตัวตน โดยการที่นี้ก็ใช้หลายศาสตร์ แต่ครั้งนี้จะมาคุยกันในเรื่องของโหราศาสตร์ ซึ่งโหราศาสตร์ก็คือเป็นการศึกษาการโคจรของดวงดาว แล้วก็เป็นโหราศาสตร์ทางตะวันตก ซึ่งโหราศาสตร์นี้ได้เอามาผนวกกับการที่ให้เข้าใจในเรื่องของตำแหน่งของดวงดาวเพื่อสอดคล้องกับบุคลิกภาพ ตัวตนของคนนั้นนิสัยใจคอหรือแม้แต่พลังงานข้างใน ศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ข้างในหรือแม้แต่ข้อดีข้อเสียที่เขามีข้างในว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่ข้างในซ่อนอยู่ แล้วสามารถที่จะใช้พลังงานพวกนี้ให้มันเกิดสิ่งที่ดีที่สุดกับเขาได้อย่างไรบ้าง

โหราศาสตร์ซับซ้อนไหม ?
นี ชาลิสา : จริง ๆ แล้วมันมีความเป็นซับซ้อนอยู่นิดหนึ่งเหมือนกัน แต่ด้วยความที่แต่ละคนไม่มีใครเหมือนกัน เกิดมาก็คือจะมีพลังงานของตัวเองอยู่แล้ว พลังงานเหล่านั้นก็จะบ่งบอกได้ว่าแต่ละคนนิสัยยังไงในรูปแบบไหน สมมุติว่าเราเกิดมาเรา มีวันเดือนปีเกิด เวลาทางโหราศาสตร์ที่เป็นโหราศาสตร์ตะวันตก เรามองว่า วินาทีที่เราเกิดดวงดาวข้างบนวางตำแหน่งแบบไหนแล้วตำแหน่งนั้นมีผลอย่างไรกับเรา มีผลกับนิสัยใจคอ มีผลกับอนาคต หรือแม้แต่การใช้ชีวิตของคน ๆ นั้นที่ดำเนินมาที่มาอยู่บนโลกใบนี้ เรามองว่าถ้าเกิดสมมุติมนุษย์จิตของเราเป็นพลังงานในตัวของเรา เข้าใจกันว่าถ้าเราเกิดมิถุนายน เราจะต้องเป็นแคนเซอร์หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจมีไนน์ แง่ของโหราศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นไทยฮินดูหรือว่าจีน สากลก็จะมีการคำนวณที่แตกต่างกัน แต่ว่าในแง่ของการที่เราเอามาใช้อิงกับหลักจิตวิทยาจะเป็น

โหราศาสตร์ที่เป็นสากล ฉะนั้นตรงคือเราจะมองว่าถ้าเกิดสมมุติว่าเราเกิดราศีกรกฎ เราไม่ใช่มีแค่ดาวอาทิตย์อยู่ในนั้นดาวเดียว แต่ถ้าเกิดเราเข้ามาดูชาร์จที่เราเรียกว่า nature chart มันจะเป็นการที่เราเห็นพื้นของดวงดาวทั้งหมด ตอนที่วินาทีที่เราเกิดมันเป็นเหมือนกับเป็น snapshot จะเป็นธาตุ คือจริง ๆ ธาตุทั้งหมดที่หล่อหลอมเป็นพวกเราขึ้นมา ถ้าเกิดสมมุติว่าเราเข้าใจตัวเองแบบนี้ เหมือนอัตราตัวตนของเรามันจะแยกส่วนออกจากความเข้าใจว่าเราเป็นแบบนี้นะ ถ้าเกิดสมมุติเราเป็นคนขี้โมโห ทำไมเราเป็นคนขี้โมโหแบบนี้ แต่ถ้าเกิดสมมุติเราเข้าใจดาวเราจะมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วที่มาของอารมณ์โมโหมันมาจากที่ไหน

หมายความว่าดวงดาวแต่ละดวงอาจจะมีผลต่อเรา ?
นี ชาลิสา : ใช่ มันเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกันเหมือนกับเราและดวงดาวความจริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน

คนที่อยากจะทำแบบนี้ต้องมีปัญหาหรือว่าต้องมีข้อสงสัย มีปมอะไรหรือเปล่าหรือว่าเป็นใครก็ได้ มีข้อจำกัดไหม ?
คุณนี ชาลิสา : การที่เรามาที่นี่เหมือนกับมีวัตถุประสงค์บางอย่างของการที่เรามาเกิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราได้รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองกับการรู้จักเกี่ยวกับตัวเองไม่เหมือนกัน การรู้จักตัวเอง คือ การที่เรารู้จักตัวเองจริง ๆ โดยที่ไม่ได้มีองค์ประกอบอะไรคือการที่เราเข้าไปแล้วสามารถที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวเอง เข้าใจแก่นแท้ในตัวเอง แต่การที่เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเอง คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่พวกเราทุกคนรู้จักกันแบบนี้ เช่น เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเองว่าเราทำอาชีพอะไร ชื่ออะไร พ่อแม่ชื่ออะไร มีสัตว์เลี้ยงชื่ออะไร ครอบครัวเป็นยังไง แต่ว่าการที่เราใช้คำว่า self-discovery มันคือการที่เราเข้ามาค้นพบตัวเองจริง ๆ ว่าเรามีแก่นอะไรอยู่ข้างใน แล้วหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ต่อยอดไปเป็นในเรื่องของพรสวรรค์ในเรื่องของทิศทางในการใช้ชีวิต เส้นทางที่จะเลือกเดิน อาชีพที่อยากจะทำหรือแม้แต่การเรียน เหมือนกับในแต่ละช่วงชีวิตจะมีจุดเปลี่ยนบางอย่างแล้วจุดเปลี่ยนนั้นเป็นจุดที่บางครั้งเกิดให้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เราเกิดมาที่นี่มันคืออะไร มาเพื่ออะไร ซึ่งลึก ๆ บางคนก็รู้อยู่แล้ว บางคนก็อาจจะไม่รู้

ฉะนั้นมองว่าคนที่จะจุดประกายให้เขาเริ่มเข้าใจตัวเองหรือเริ่มสนใจที่อยากจะเข้าใจตัวเองจะต้องมีจุดเปลี่ยนบางอย่างนิดเดียวก็ได้ว่า ทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้นะ ทำไมสิ่งที่ได้ค้นพบหรือได้เจอหรือตลอดเส้นทางเริ่มมีการหักเห ทำไมเราเริ่มไม่มีความสุข จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ความสุขเป็นหลัก ความสุขและความสมดุล เชื่อว่าในเรื่องของพลังงานทุกวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องพลังงานเยอะมาก ถ้าเกิดเริ่มสังเกตจะเห็นเลยว่าหลัง ๆ ช่วงเวลาสัก 5-6 ปีที่ผ่านมา จะได้ยินคำว่า self เยอะมาก ในโลกของ wellness ในโลกของการเข้าใจตัวเอง ก็จะมีทั้ง self-love self-care self-discovery การกลับมารักตัวเอง กลับมาเข้าใจตัวเอง ดูแลตัวเอง รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองแบบนี้คือการที่เชื่อว่าทุกคนตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าตัวตนเราสำคัญที่สุด เราไม่ได้พึ่งพาองค์ประกอบนอกตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังไม่ได้รู้จักตัวเอง จะทำให้ชีวิตของเรามีพลังงานที่ส่งออกนอก พอเราส่งออกนอกก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ที่เป็นรอบนอกได้ พอมันมีอะไรเกิดขึ้นข้างในเราก็รวน เพราะว่าเกิดกระทบทุกอย่างเข้ามา ถ้าเกิดข้างในเราแน่นแกร่งแล้วก็จะทำให้ผ่านพ้นช่วงต่าง ๆ ในเหตุการณ์ในชีวิตไปได้ ก็เหมือนกับการรักตัวเอง การดูแลตัวเองที่ทุกคนลุกขึ้นมาออกกำลังอยากที่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น สุขภาพที่แข็งแรงก็เกิดจากตัวเรา

คนที่เข้ามาส่วนใหญ่เข้ามาเพราะเรื่องอะไร ?
นี ชาลิสา : ส่วนใหญ่จะมีจุดเปลี่ยน จะมีคำถามกับตัวเองว่า เดินทางเส้นทางมาสักพักทำไมมันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างกับจิตของเขาเองความรู้สึกข้างในที่ลึกที่สุดเริ่มมีคำถาม อย่างที่บอกพอมีคำถามแล้วบางครั้งก็อาจจะอยากได้ตัวช่วย อยากได้คนที่สามารถปรึกษาได้ เช่น ปัญหาเรื่องการงาน ปัญหาหากับครอบครัว หรือแม้แต่บางครั้งที่ตื่นมาแล้วฉันมาทำอะไรที่นี่ ถ้าเราตัดทุกอย่างออกหมดไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด เรามีความสุขได้ด้วยตัวเองด้วยอะไรบ้าง Self-discovery เป็นการที่ให้เราค้นพบตัวเองก่อน พอค้นพบเสร็จ หลังจากนั้นจะเข้าใจตัวเองได้ยังไงเหมือนเป็นเส้นทาง เป็นการปัดทุกอย่างออกเพื่อให้เส้นทาง เหมือนเราค้นพบตัวเองแล้ว เราก็จะค่อย ๆ เดินทางเส้นทางนั้น เพื่อให้เข้าใจตัวเอง

ยกตัวอย่างว่าเราค้นพบอะไร แยกออกมายังไง ?
นี ชาลิสา : โหราศาสตร์ที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง มีวิธีการที่เราจะนำมาจำแนกกันได้ โหรศาสตร์มีหลายแบบจะเป็นการแบ่ง 12 ช่องตามหลักของโหราศาสตร์สากล 12 ช่อง ถ้าเกิดสมมติเราเจาะลึกจะมีความหมายใน 12 ห้องนี้ด้วย จะดูตำแหน่งของดาวจะดูว่าดาวแต่ละดวงเขาอยู่ในห้องไหนในช่วงเวลาที่คน ๆ นั้นเกิด เช่น ห้อง 1 เป็นเกี่ยวกับตัวตนของเรา เป็นนิสัยบุคลิกในแง่ของตัวตน ห้องที่ 2 เป็นในเรื่องของการเงิน เรื่องของสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นเจ้าของ ห้องที่ 3 เป็นในเรื่องของการสื่อสาร เรื่องของการเดินทาง ห้องที่ 4 คือเรื่องของครอบครัว เป็นความหมายที่เบื้องต้นที่สุด ถ้าเราจะมองในแง่ของที่ลงไปในลึกลงไปในระดับจิตวิญญาณ ความหมายก็จะต่างกันออกไป เช่น ห้องที่ 4 อาจจะหมายถึงจุดที่มันแบบลึกที่สุดข้างในของเรา จิตวิญญาณข้างในที่มันกับจุดเบื้องลึกของเราคืออะไร

สมมติว่าเราได้วัน เดือน ปีเกิด กับเวลาตกฟาก แต่ว่าการตีความที่ช่วยให้เข้าใจก็ตีความได้ทั้งผิวเผินหรือว่าลึกขึ้น อาจต้องเจาะลึกผ่าน therapy หรืออะไรต่างๆ ?
คุณนี ชาลิสา : ใช่ ผ่าน therapy ก็ได้ ผ่านดาวเองก็ได้หมดเลย เราสามารถนำหลาย ๆ ศาสตร์มารวมกัน เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่ามีพลังงานแบบไหน ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากที่จะบำบัดตัวเองในรูปแบบ ไหน

เราฝืนลิขิตฟ้าหรือพลังของดวงดาวได้ไหม ?
นี ชาลิสา : ดาวก็คือเรา และเราก็คือดาว เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่าเราฝืนดวงดาว มันก็เท่ากับว่าเรากำลังฝืนธรรมชาติในตัวเอง ถ้าเราเข้าใจว่าดาวคือธรรมชาติของเรา เราจะไม่มองว่าดาวเป็นแค่วัตถุลอยอยู่บนฟ้าแบบไร้จุดหมาย แต่ดาวคือพลังงานอย่างหนึ่งที่สะท้อนธรรมชาติของตัวเราเอง

ประสบการณ์คนที่มาหามักเป็นแบบไหน ?
นี ชาลิสา : ส่วนใหญ่เขาจะมีคำถามบางอย่างในใจมาก่อน บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยบางอย่างที่ไม่เข้าใจ เช่น ความกลัว ขาดความมั่นใจ หรือไม่กล้าปฏิเสธใครเลย ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็รู้สึกอึดอัดแต่พูดออกมาไม่ได้ แล้วเขาจะค่อย ๆ เล่า ค่อย ๆ ทบทวนไปพร้อมกัน การดูดาวในแบบของนีไม่ใช่การนั่งทำนายแล้วให้คนฟังเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าถามว่าแม่นไหม แต่คือการนั่งคุยกัน เปิดพื้นที่ให้คน ๆ นั้นได้ค้นเจอตัวเองผ่านดวงดาวของเขาเอง เราแค่บอกเขา ลองแนะนำให้เขาไปทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเหมาะกับเขา ปรากฏว่ามันได้ผลมาก ๆ แล้วเขาก็พร้อมที่จะแสดงออกในการสื่อสารออกไป

เคยมีฟีดแบคไหมว่า โหราศาสตร์ ก็เหมือนเรื่องของการมู การดูดวง ?
นี ชาลิสา : ต้องบอกก่อนว่าบ้านเราให้คำว่ามู แต่ละคนก็ตีความแตกต่างกันออกไป เวลาพูดถึง มูเตลู จะเน้นในสิ่งที่เราเชื่อ เรามองไม่เห็น แต่สิ่งที่นำมาแชร์ในวันนี้ มันคือโหราศาสตร์ที่อิงกับความเข้าใจตัวเองในแง่ของบุคลิกภาพที่มีจิตวิทยาผสมด้วย มองว่าจะมูหรือไม่มูขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองยังไง เชื่อแบบไหน และจะปฏิบัติตัวเองผ่านศาสตร์เหล่านั้นยังไง มากกว่า

สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=mQ-d4art1qE
น้ำตาซึม “ต่าย อรทัย” เล่าชีวิตที่เกือบไม่ถึงฝัน! ถ้าไม่เป็นนักร้องก็คงเป็นสาวโรงงาน
เปิดหมดเปลือก ต่าย อรทัย ศิลปินลูกทุ่งชื่อดังในรายการ เบิ้ล AM เล่าเส้นทางชีวิตและการทำงานในวงการเพลง จากสาวโรงงานสู่ตำนานดอกหญ้าในป่าปูนที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลาย เคยทัวร์หนักจนต้องแอดมิด รพ. รวมถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งกับคุณยายที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในชีวิต ก่อนจะก้าวสู่ศิลปินที่คนทั้งประเทศรัก

พื้นเพเป็นคนจังหวัดไหน ?
ต่าย อรทัย : พี่ต่ายเป็นคน บ้านคุ้มแสนชะนี ตำบลพรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี บ้านติดชายแดนเลย

รักในการร้องเพลงตั้งแต่เด็กเลยไหม ?
ต่าย อรทัย : ตอนอยู่ประถมเลย ช่วงประมาณ ป.5 ป.6 เวลากิจกรรมนักเรียนช่วงว่าง ครูก็จะรู้ว่าพี่ต่ายเพลงได้ ท่านก็จะบอกออกมาร้องให้เพื่อนฟังหน่อย ในหมู่บ้านก็จะชื่นชมว่าเราเสียงดี ครูก็จะได้ยินแล้วก็ให้ออกมาทำกิจกรรมประมาณนี้แหล่ะ ซึ่งเราก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความมั่นใจนะ แต่ว่าในเรื่องของการร้องเพลงมั่นใจสุด มากกว่าเรื่อง อื่นๆ

แล้วได้ไปทางประกวดด้วยไหม ?
ต่าย อรทัย : ตอนเด็กๆ ไม่เลย แต่ว่าพยายาม ใช้คำว่าพยายามยามแล้วกัน เพราะว่าทางบ้านมันก็จะไม่ค่อยมีเวทีให้เราไปแสดงความสามารถ หรือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ แล้วบ้านก็อยู่ชายแดนด้วย เวทีประกวดมันจะอยู่ในเมืองส่วนหลาย ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์เราก็จะไม่มีโอกาสเพราะเราก็ต้องไปโรงเรียน มาเริ่มจริงๆ ตอนมัธยมแล้ว แต่ตอนประถมมีแค่ร้องกิจกรรมในโรงเรียนเท่านั้น ม.ต้นจำได้ว่ามันมีบุญผ้าป่าอยู่บ้านโนนแดง แล้วก็มีคณะหมอลำ เราก็ไปร่วมบุญผ้าป่าปกติ แล้วเราก็อยากไปร้องเพลง เขาก็กำลังเฟ้นหานักร้อง อยากได้นักร้องไปเดินสายด้วยในวง เราก็ไปลองแต่ว่าก็ไม่ได้ชนะหรอก แล้วก็มาเริ่มประกวดจริงจังคือเป็นตัวแทนของโรงเรียนนาจะหลวย แล้วก็ไปเป็นปีแรกประมาณ ม.4 ไปปีแรกแพ้ ปีที่ 2 ก็ไปอีกเป็นตัวแทนอีกก็ยังแพ้อีก แล้วปีที่ 3 เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ชนะ สุดของความดีใจมากๆ ซึ่งปีแรกปีที่สองที่เราไปประกวดได้เจอ ดอกอ้อ ทุ่งทอง ด้วย

มีไอดอลทางเสียงที่ทำให้เราอยากร้องเพลงไหม ?
ต่าย อรทัย : สมัยก่อน เราจะได้ฟังเพลงส่วนหลายก็เป็นวิทยุ ที่ฟังแล้วรู้สึกแบบชื่นชอบมากๆ ก็จะเป็นเสียงของ แม่ฮันนี่ ศรีอีสาน น้ำตาหล่นบนที่นอน นั่นแหละ ทำไมเสียงดีจัง ด้วยความที่เพลงมันดังด้วยตอนนั้นรู้สึกว่าอยากเป็นนักร้องคือแม่ฮันนี่ แล้วก็มีพี่จินตรา มีพี่นาง ศิริพร ที่เพลงดังๆ ก็จะได้ยินตั้งแต่เด็ก มาตลอด

เป็นนักร้องปีไหน ?
ต่าย อรทัย : ปลายปี 44 พี่ต่ายเริ่มเข้าแกรมมี่แล้ว เพลงดอกหญ้าในป่าปูน มันปล่อยช่วงปี 2546 ตอนเป็นศิลปินฝึกหัด ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะว่าครูเอง ค่ายเอง ผู้ใหญ่ หรือทีมงาน ไม่มีใครบอกเราได้สักคนเลย แต่เพียงแค่เรามีความรู้สึกว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง อยู่ดีๆ แล้วได้เข้ามา ต่อให้ไม่ดังก็ตาม แต่ได้รับโอกาสแบบนี้ สมัยนั้นโทรศัทพ์ก็ยังไม่มี และก็ยังไม่ได้มีรายได้ ต้องหยิบยืมผู้จัดการ หรือว่าค่ายแบบซัพพอร์ตเราก่อนแล้วก็มาคืนที่หลัง สู้ไปก่อน เขาให้ไปเรียน พี่ต่ายก็ไป กลับมาห้องนอนร้องไห้ทุกวัน คิดถึงยาย (น้ำตาซึม) ทั้งเป็นศิลปินฝึกหัดไปด้วย แล้วก็ต้องทำอัลบั้มเพลงให้เสร็จใน 1 ปีนั้น

มีอัลบั้มไหนที่คิดว่าทำงานหนักจนคิดว่าจะไปต่อได้ไหมหลังจากนี้ไป ?
ต่าย อรทัย : อัลบั้มชุดที่ 5 ด้วยความที่เราทัวร์แบบนั้นมาตลอด แล้วการจัดตารางชีวิตไม่ได้ดี ทำให้มีผลต่อเสียง มีผลต่อการพักผ่อน มีผลต่องานต่างๆ แล้วเราจะน็อก ชุดที่ 5 ชุดที่ 6 คือพลังก็ไม่มี จำคำหนึ่งที่พี่นางศิริพรพูดได้เลย ….บอกอีหล่าเอื้อยคือฟังเสียงโตแล้วเอื้อยคือบ่ม่วนน้อ คือเป็นบ่มีอารมณ์เพลง รู้สึกบ่ม่วน บ่มีความสุขเลย เลยกลายเป็นว่าก็ต้องเข้าโรงพยาบาลถึงขนาดแอดมิดเลย จำได้ว่างานคอนเสิร์ตเป็นงานสินค้าตัวหนึ่ง แล้วมันก็ต้องทัวร์แบบถี่ยิบๆ เลย รวมถึงงานจ้างอื่นๆ ก็ไปสลับกัน แล้ววันนั้นคือลงเวทีปุ๊บก็ต้องไปโรงพยาบาล จากวันนั้นมาไม่เอาอีกเลย ก็คือเปลี่ยนตารางชีวิตใหม่ นอนพักผ่อน รับงานให้พอดี ออกกำลังกาย จนถึงปัจจุบัน

ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้เป็น ต่าย อรทัย แล้วมีแผนสำรองไหมว่าถ้าไม่ได้เป็นนักร้องจะเป็นอะไร ?
ต่าย อรทัย : ไม่รู้เลย เพราะว่าก็ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด หมายถึงการจัดระเบียบในความคิดหรือแผนชีวิตอะไรต่างๆ มันก็ยากอยู่นะ พ่อแม่เราลูกชาวไร่ชาวนา เขาก็ไม่ได้มีชุดความคิดแผน 1 แผน 2 แผน 3 ให้เรา รู้แค่ว่าเรียนต่ออยู่เมืองอุบลไม่ได้ มันก็ต้องมาสู้งานในกรุงเทพฯ แค่นั้น แล้วงานอะไรล่ะ เราจบเพียงแค่ ม.6 ตอนนั้น ก็คือมาทำงานโรงงาน เป็นสาวโรงงานมาก่อน พี่ต่ายถึงได้แบบรู้สึกเข้าใจเวลามีกิจกรรมไปโรงงาน จะคิดถึงตลอดเพราะว่าหลายเดือนที่อยู่ตรงนั้น คือเราเข้าใจความยากลำบาก อยู่ห้องเช่า แล้วเรามีความรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้เป็นนักร้อง ก็อาจจะยังทำงานอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักร้องก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวยังเป็นสาวโรงงานอยู่ก็ได้แค่นั้นเอง

แล้วตอนนี้มีสเปคผู้ชายแบบไหน มีแฟนหรือยัง ?
ต่าย อรทัย : ไม่มีเลย เอาจริงๆ แต่เคยมีก็หลายปีแล้วที่พี่ต่ายเลิก อันนั้นก็มีลงโซเชียลแต่แค่เราไม่ได้ลงว่ากับใคร เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปเปิดเผยเรื่อง ส่วนตัว

มียายเป็นกำลังใจและมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ?
ต่าย อรทัย : เยอะเลย เพราะว่าพ่อกับแม่เขาแยกกันตอนพี่ต่ายอายุ 11 - 12 ปี คือก็เด็กมาก แล้วเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น มีคำถามในหัวมากมาย ทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมพ่อกับแม่ต้องเลิกกัน แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้คำตอบหรอก ตั้งแต่พี่ต่ายจำความได้ก็เห็นคุณยายเลย พอพ่อกับแม่เลิกกันปุ๊บไปกลายเป็นคุณยายมาตลอดจนถึงวันสุดท้ายที่ยายจากไป มันก็คือมียายทั้งชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราลืมพ่อแม่นะ เรามีชีวิตที่อบอุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ทิ้งลูกหรอก เพียงแค่ว่าเราแค่ขาดความอบอุ่นที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยแค่นั้นเอง เขาก็ใช้การดูแลโดยวิธีอื่น แต่จริงๆ ก็ไม่เคยขาดจากความรักของยาย ของป้า ของลุง ของญาติๆ ที่อยู่รอบข้าง พี่ต่ายคิดว่ายายเอย ครอบครัวเอย ที่อยู่ข้างๆ น่ะ คือทุกคนคอยหล่อหลอม ไม่ให้เราหลุดก็เลย ยายนี้คือพอจะพูดถึงพี่ต่าย (เสียงสั่นน้ำตาซึม) เป็นแบบนี้ ตลอด

อะไรที่ทำให้ ต่าย อรทัย อยู่คู่วงการบันเทิงมาถึงยุคปัจจุบันนี้ ?
ต่าย อรทัย : รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เราคนเดียว มันมีหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบถึงทำให้มีชื่อต่าย มีเส้นทางที่มันยาวมาได้ขนาดนี้ อันดับแรกมันคือโอกาส มันคือเรื่องเล่าในชีวิต แม้แต่ตัวเราเอง แล้วก็เรื่องราวของผลงานเพลงที่มันตอบโจทย์ ครูบาอาจารย์ ทีมงานทุกคน คนที่สนับสนุนเรา อยากให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นทุกๆ ส่วนเลย รู้สึกว่าถ้าไม่มีคนเหล่านั้น ยากเลยที่จะมีเราในวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำของทุกคนที่ติและชมมาตลอด ที่ยังอยากให้เราอยู่ ตรงนี้นานๆ

สามารถติดตาม “เบิ้ล AM” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันพฤหัสบดี เวลา 19.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=dj0cH2O-dm8
MUT2025 ใน “ชุดว่ายน้ำ” ออร่าพุงแรง “แพรววณิชยฐ์” MUTกรุงเทพฯ คว้ารางวัล “Glow The Universe by Glass Skin”
เรียกว่าโดนใจคุณน้าเป็นที่สุดสำหรับการประกวด Miss Universe Thailand 2025 รอบ Swimsuit Competition กับรางวัลพิเศษ Glow The Universe by Glass Skin ที่เจ้าภาพจังหวัดภูเก็ตจัดประกวดขึ้น ณ Angsana Convention & Exhibition Space จ.ภูเก็ต เรียกเสียงเชียร์ เสียงกรี๊ดล้นหลาม รวมถึงคอมเมนท์ไฟลุกใน Youtube Live : Grand TV

วันนี้ 77 สาวงาม ผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 เตรียมตัวมาอย่างเริ้ด เพราะนอกจากความสวย รูปร่างดี ที่จะเป็นประตูด่านแรกของการเป็นนางงามแล้ว ชุดว่ายน้ำทู-พีช สีเขียว Glass Skin (กลาส สกิน) ยิ่งเติมความมั่นใจให้พวกเธอ เดินสะบัดผ้า โพสต์อวดความมั่นต่อหน้าคณะกรรมการ ถูกใจแฟนนางงามเป็นที่สุด แม้แต่พิธีกรรับเชิญอย่าง เฌอเอม ชญาธนุส ศรทัตต์ ยอมรับว่าผู้เข้าประกวดทุกคนสวยมั่น ออร่าพุ่งแรงเวอร์!! ฉะนั้นการจะเลือกผู้เข้ารอบในค่ำคืนนี้จึงไม่ง่าย ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการเดิน การโพสต์ และรูปร่างที่สมส่วน พิธีกรประกาศผล TOP 17 ได้แก่ อุดรธานี /สมุทรสงคราม / สงขลา / สมุทรปราการ / พังงา / ลพบุรี / ภูเก็ต / เพชรบุรี / ปทุมธานี / นครปฐม/ ราชบุรี / สระบุรี / นครศรีธรรมราช / กรุงเทพมหานคร / ตราด / นครนายก / ขอนแก่น จากนั้นคัดเหลือ 7 คนสุดท้าย ได้แก่ MUTสระบุรี กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ขอนแก่น สงขลา นครศรีธรรมราช และ สมุทรปราการ

แต่ผู้ชนะรางวัลพิเศษ Glow The Universe by Glass Skin ในค่ำคืนนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ได้แก่ MUT กรุงเทพมหานคร “แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง” คว้าเงินรางวัล 30,000 บาทจาก Glass Skin ไปครอง
พี สะเดิด ป่วยมะเร็งเต้านม1ในล้าน ศรัทธาครูบาอาจารย์ ใช้ธรรมะบำบัดแทนวิทยาศาสตร์
เป็นอีกหนึ่งในคนบันเทิงที่ต้องต่อสู้เผชิญกับการป่วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง สำหรับนักร้องโจ๊ะๆสายอีสาน "พี สะเดิด" ตำนานเพลงฮิตเพลงดัง "จี่หอย" ที่ถือเป็นความโชคร้ายที่ทางการแพทย์ให้ข้อมูลว่าโอกาสเกิดน้อยในเพศชาย จำนวนพบผู้ป่วย 1 ในล้านที่พบว่ามีอาการ ล่าสุดเดินสายโปรโมทเพลงใหม่ "ตลอดชีวิต" พร้อมเปิดใจอัปเดตอาการป่วยมะเร็งเต้านม ผ่านรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ที่ขอใช้ธรรมะบำบัด ตามศรัทธาความเชื่อของพระป่าที่เจ้าตัวนับถือ

ถามถึงอาการป่วยเป็นมะเร็งคนรู้น้อยมากเลย?
"ต้องย้อนไปเลยครับ ตอนที่ผมป่วยผมไม่ค่อยได้บอกใคร ป่วยมาเกือบ20ปีแล้ว พ่อแม่พี่น้องผมก็ไม่ได้บอกใคร เลย"

ทำไมถึงเลือกที่จะไม่บอกใครเลยถึงอาการป่วย?
"อย่างแรกเลยคือกลัวเค้าเป็นห่วง ส่วนเรื่องมะเร็งที่ว่านั้นตอนแรกผมก็มีอาการเหมือนเจ็บที่หน้าอก เจ็บที่ตรงนม เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตเราก็รู้สึกว่าถ้ามันเจ็บที่นม แล้วก็เนื้อมันก็โตขึ้นมาขนาดที่เราทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอด 6เดือนผมจะตรวจทีนึงเป็นประจำอยู่แล้ว พอเช็คเลือดดู เช็คเซลล์ดู ก็คือมีเชื้อ มะเร็ง"

โอกาสน้อยนักที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม?
"จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน หวยมาออก ที่เรา"

ตอนแรกที่ทราบว่าเป็นมะเร็ง ตกใจขนาดไหน?
"ตกใจกลัว กลัวตาย ณ เวลานั้นมีตัวเลือกอยู่2ทาง ที่จะผ่าเลยมั้ย เอาให้จบเลยมั้ย เราจะได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตต่อได้ หรือว่าจะรอดูก่อนเพราะเราก็มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือ พระสายป่า ก็เลยตัดสินใจไปหาครูบาอาจารย์ก่อน ถามท่านว่าผมเป็นมะเร็งผมกลัว พระอาจารย์มีอะไรแนะนำบ้างมั้ยครับ ขอกำลังใจหน่อย ท่านก็บอกว่ากลัวทำไมความตาย เราตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ซึ่งพูดแบบนี้มันไม่ขำนะ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นพระป่า ท่านก็เปรียบเทียบว่าถ้าชาตินี้ทำดีแล้วก็จะไปกลัวอะไร ตายก็ตายไปชาติหน้าเกิดใหม่เดี๋ยวก็ดีเอง ก็เลยได้กำลังใจจากท่านคิดว่าตายเป็นตาย ด้วยความศรัทธาของผมเชื่อในคำพูดของท่าน นั่นคือปาฏิหาริย์สิ่งแรกที่ผมได้เจอ ทำให้ผมคิดได้ว่าผมต้องไม่กลัว พอมันไม่กลัวแล้วมันก็พร้อมจะปรับปรุงตัวกับทางโลก กินของที่มีประโยชน์ อะไรที่ใกล้สารพิษเราหลีกห่างให้ไกล เปลี่ยนวิธีคิดหมดเลย"

ใช้คำหลักสอนธรรมมะช่วยดูแลตัวเองให้ดีขึ้น?
"ท่านก็ให้ไปดูใจตัวเอง ภาวนาได้ให้ภาวนา ถ้างดอาหารที่เป็นพิษได้ก็งด และก็ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติเลย แบบสบายๆอย่างที่ท่านบอก หลังจากเจอท่านก็กลับมาเปลี่ยนชีวิตทุกอย่างเลย พอมาปฏิบัติธรรมก็หยุดทุกอย่าง บุหรี่ เหล้า ทำให้เราเข้มแข็ง และแข็งแกร่งที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง ผมก็เลยตัดสินใจไม่ผ่า และก็มาปฏิบัติตัว ค่อยๆกินและก็ดูแลตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ที่ ที่เบาและก็สบาย"

นานมั้ยกับการดูแลตัวเอง ตอนนี้สภาพร่างกายเป็นยังไง?
"ผมไปเช็คร่างกายอยู่ทุกระยะ เชื่อมั้ยครับว่าค่ามะเร็งมันดีขึ้น จาก300-400 มันค่อยๆลดลงมา จนเหลือ 0 ไม่มีค่ามะเร็งเลย"

แล้วคุณหมอที่ตรวจว่ายังไงบ้าง?
"เชื่อมั้ยครับว่าผมไม่ได้บอกท่าน ว่าผมไม่ได้กินยาของท่าน (รับยามาแต่ไม่กิน เราดื้อนะ) ใช่ครับ ก็ต้องรอดูหน่อย เพราะเราไม่อยากผ่า ทางแพทย์ปัจจุบันเราก็ทำควบคู่กันไป มันก็ต้องพิสูจน์กันดู"

หมอบอกมั้ยคะ สาเหตุมะเร็งเต้านมเกิดขึ้นได้ยังไง?
"มาจากการปฏิบัติตัวครับ ในชีวิตประจำวันเรานอนไม่เป็นเวลา กินไม่เป็นเวลา เราใช้ชีวิตผิดเพี้ยนจากคนปกติเลย เราก็เครียดทำงานหนัก ตะบี้ตะบันไม่สนใจตัวเอง ทุกอย่างมันก็เป็นโทษกับร่างกาย เลือดมันก็เป็นกรดตามที่หมอ อธิบาย"

ตอนนี้ถือว่ามะเร็งสงบหรือยังคะ?
"ตอนนี้ปกติแล้วครับ ก้อนๆทีเคยมีก็ยุบไปเรียบร้อย ก้อนเท่าลูกมะนาวเลยนะครับ ลูกใหญ่มาก"

แล้วครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่มั้ย?
"หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ ท่านละสังขารแล้ว ท่านมีผลกับความคิดเรามาก ท่านให้เราอยู่กับปัจจุบัน คนเรามักจะมองในอนาคตส่วนใหญ่ จริงๆอนาคตมันก็ดีแหละมันเป็นส่วนนึงที่เราต้องวางแผน แต่ถ้าเราไม่ทำวันนี้ พรุ่งนี้เราก็อาจจะไม่มีโอกาสลืมตามาทำได้ ท่านมักจะสอนลูกศิษย์ลูกหาท่านแบบนี้"
“แก้มบุ๋ม-พีท” ถือฤกษ์ดีจดทะเบียนสมรส หลังแต่งงานครบ1ปี
หวานฉ่ำเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ทุกโมเมนต์สำหรับคู่รักดังอย่างนักธุรกิจหนุ่มทายาท รพ.ดัง พีท กันตพร หาญพาณิชย์ และนักแสดงสาว แก้มบุ๋ม ปรียาดา สิทธาไชย แม้แต่งงานมา 1ปียังสาดความหวานเหมือนจีบกัน ใหม่ๆ

ล่าสุด 11 ส.ค.68 ทั้งคู่ได้เดินหน้าชีวิตคู่กันไปอีกสเต็ปแล้ว ด้วยการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดย พี่พีท ได้โพสต์ภาพคู่ภรรยาพร้อมภรรยา พร้อมข้อความว่า "แบบนี้คือมีเจ้าของแบบเป็นทางการแล้วสินะ #แก้มพีท ตลอดไป Kambum&Peace - 11 / 8 / 2025 "

สยามดาราขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วยนะคะ
Cr. IG : peace.kan
#พีท #แก้มบุ๋ม #สยามดารา
สู้เพื่อชาติ "บุ๋ม ปนัดดา" นั่งโฆษกพิเศษตอบโต้กัมพูชา ทำงานด้วยใจไม่ขอรับเงิน พร้อมฟาดทุกเฟกนิวส์ "พลโทหญิง มาลี"
สร้างความฮือฮาอย่างมาก หลัง "พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์" รมช.กลาโหม เปิดตัวแต่งตั้งโฆษก ศบ.ทก. (ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา) เลือกตัวแม่ตัวมัม บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี  ประธานมูลนิธิองค์กรทำดีและอดีตนางสาวไทย เพื่อทำหน้าที่ตอบโต้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงสถานการณ์ปัจจุบันปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อกรกับการรายงานกับ "พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา" โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา โดย ดร.บุ๋ม จะมาช่วยตอบโต้ผ่านสื่อออนไลน์ และข้อมูลในการแถลงข่าวต่างๆ งานนี้เปิดใจแบบจัดเต็มที่แรก ผ่านรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ถึงบทบาทและหน้าที่ภารกิจใหญ่หลวงเพื่อประเทศชาติ

ถามถึงตำแหน่งที่ได้มาต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง?
"ก็เป็นโฆษกในการแถลง เพียงแต่ว่าไม่ต้องนั่งโต๊ะเหมือนฝั่งนั้น แต่ถ้ามีโอกาสเข้ามาทำเนียบก็อาจจะมีตั้งโต๊ะแถลง จริงๆนะมีการพูดคุยมาแล้วสักพักนึงแต่บุ๋มติดตรงที่บุ๋มขออยู่ในพื้นที่ของบุ๋ม เพราะบุ๋มทำงานตรงนี้มาเป็นเดือนแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่อง เราอยู่ตรงนี้มานานลงพื้นที่ ถ้าจะทิ้งน้องๆคงไม่ได้ และบุ๋มเองก็รักในการลงพื้นที่ของบุ๋ม ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ท่านเข้าใจท่านเห็นการทำงานของบุ๋มอยู่แล้ว ดังนั้นบุ๋มสามารถทำคลิปออนไลน์ได้ ชี้แจ้ง หรือโพสต์ข้อความผ่านเพจได้ เพื่อที่จะชี้แจงแต่ละประเด็น ที่ฝั่งนั้นอาจจะพูดอะไรมาที่เป็นเฟกนิวส์ มันด้วยอะไรหลายๆเหตุผลค่ะที่คุยกันมาแล้วสักพักนึง"

ทำไมคิดว่าท่านถึงเลือกและแต่งตั้งเรา?
"บุ๋มว่าด้วยหลายเหตุผล อย่างแรกคือบุ๋มอยู่ในพื้นที่จริงๆรู้ปัญหาตั้งแต่แรก รู้ปัญหาของชาวบ้านที่แท้จริงและรู้ปัญหาของการมีสงคราม มันไม่ใช่เรื่องของอนาธิปไตยเท่านั้น มันมีในเรื่องของความเป็นอยู่และความอดทนของน้องๆทหาร ผลเสียในเรื่องของเศรษฐกิจและปัญหาที่อยู่ตรงนั้น มันมีปัญหาหลายด้านในเรื่องของการเกษตรที่มีผลที่ต้องหยุด แต่มันรอไม่ได้ข้าวมันต้องสุก ผลไม้มันต้องสุก ดังนั้นมันมีผลเรื่องเศรษฐกิจร้านอาหารทุกอย่างต้องหยุดหมดเลย เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ ทุกอย่างมันอยู่ตรงนั้น และเราก็ไม่อยากเสียพื้นที่ อันนี้คือความรู้สึกของคนทั่วไปฉะนั้นเราเลยต้องบาลานซ์กัน อะไรคือสิ่งดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่ใช่ณ ตรงนี้ เพื่อให้สูญเสียพลเรือนน้อยที่สุดด้วย"

อันนี้เป็นสาเหตุหลักด้วยที่เรารู้ทุกมุม?
"คือเรารู้หลายด้าน ทุกแง่มุม ทั้งฝั่งทหาร และประชาชน และเป็นสื่อมวลชนด้วยถูกมั้ยคะ อันที่สองเลยคือเราได้ประสบการณ์ในการเป็นพิธีกร มากกว่า 25 ปีทั้งงานพิธีกรและอ่านข่าวมา อันที่สามคือการเป็นจิตอาสา ในจุดยืนของบุ๋มทุกคนรู้อยู่แล้วว่าบุ๋มอยู่เคียงข้างประชาชน"

ถึงเป็นที่มาของตำแหน่งโฆษกจิตอาสา?
"ใช่ค่ะ เพราะบุ๋มไม่ขอรับตังค์จากตำแหน่งโฆษก นี้ค่ะ"

หนักใจมั้ยคะ คนเทียบว่าเพื่อสู้กับ พลโทมาลี?
"ไม่หนักใจค่ะ อึดอัดใจมากกว่าที่เราได้ยินอะไรที่ออกจากปากเค้า และเราพูดไม่ได้ว่าความจริงคืออะไร เราอึดอัดใจมากกว่า"

จริงๆทางกระทรวงเค้ามีวางโฆษกผู้ชายไว้ด้วยมั้ย?
"เค้าคงมองไว้หลายคน แต่ถ้าเอาเข้าจริงเป็นผู้ชายไปตอบโต้กับผู้หญิงที่ปากแบบนี้ มันก็ไม่เหมาะไง หลุดแล้วเห็นมั้ย (หัวเราะ) พูดชื่อยังไม่อยากจะพูดถึงเลย อยู่อยู่ก็บอกว่าเรามาทำแบบนั้น ทหารไทยดูเชลยศึก เชลยศึกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันมีแต่เฟกนิวส์ออกมา แล้วตัวเองออกมาพูดว่าไม่อยากให้ไทยเรามีเฟกนิวส์ แต่ตัวเองพูดไรก็ไม่รู้ งานทางการคุณโกหกออกสื่อได้ยังไง เรายังรู้สึกโกรธเคือง ยังแค้นเลย ณ ตอนนี้อึดอัดใจมากกว่า ที่เรารู้ความจริงแต่เราไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่วันนี้แระ (ทำท่าทุบโต๊ะ)"

หลายๆคนเชื่อว่าบุ๋มทำได้ และทำได้ดี?
"พูดตรงๆคงไม่ใช่สายตลาด บุ๋มคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะในนามโฆษก ศบ.ทก. คือสิ่งที่พูดออกไปมันไม่ใช่เพื่อประชาชนคนไทยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยเท่านั้น แต่มันออกสู่สายตาชาวโลก ด้วยค่ะ"

งานแรกที่จะต้องทำหลังจากนี้คืออะไร?
"บุ๋มคงต้องเคลียร์ก่อน เพิ่งมีการประชุมกันมา เราต้องเคลียร์กันก่อนว่าเราสเต็ปต่อไปที่ผู้ใหญ่จะทำคืออะไร ต้องให้ผู้ใหญ่สั่งมาก่อนว่าแต่ละพื้นที่จะมีนโยบายยังไง ให้ประชาชนกลับบ้านได้มั๊ย บังเอิญทุกอย่างมันเป็นเรื่องหลังการประชุม ดังนั้นนโยบายทุกอย่างจะออกมาจากหลังการประชุม"

มีโอกาสลงพื้นที่จริงช่วยเหลือทุกภาคส่วนมานานแค่ไหน?
"ประมาณเกือบจะ2 เดือน บุ๋มลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 6 บุ๋มรู้จักทหารอยู่แล้ว เราทำงานร่วมกันตั้งแต่ สตง. และตั้งแต่แม่สาย ตอนแรกกล่าวว่าจะไปแค่ทอดลูกชิ้นช่วยทหารไปสองวันแล้วก็กลับ ไปให้กำลังใจทหารเพราะเรารู้จักกันมานานแล้ว ทีนี้ไปๆมาๆก็ไม่ได้ไปรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ว่ามันมีความตึงเครียดเกิดขึ้นมากขนาดไหน ดังนั้นบุ๋มเลยต้องตัดสินใจทำบังเกอร์ให้ทหาร หลายคนอาจจะมองว่างบเค้าเยอะ เอางี้จะเล่าให้ฟัง ใครทำงานราชการจะรู้ เบิกงบภัยหนาวมาออกตอนเดือนเมษา (หัวเราะ) นี้คือยกตัวอย่าง ดังนั้นมันรอไม่ทันกับสถานการณ์ตึงเครียด ณ ตอนนั้น แล้วบุ๋มก็เห็นด้วยว่าฝั่งนั้นทำอะไรมันมีภาพ มันมีกล้องโดรน มันมีการส่องกันและกัน จนบุ๋มรู้ว่ามันไม่ปกติเพราะฝั่งนั้นตรึงกำลังคนเพิ่ม บุ๋มถึงไปที่ตามปราสาทต่างๆ จริงๆนะแอบไปดูกองกำลัง ไปดูงานเพื่อทำบังเกอร์"
หัวใจธรรมะ! โบวี่ อัฐมา ร่วมสวดมนต์-นั่งสมาธิ ขอให้ประเทศชาติปลอดภัย
นักแสดงหัวใจธรรมะ โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ ที่ช่วงหลังหันไปเอาดีการเป็นอินฟูลเอนเซอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ และว่างเมื่อไหร่ก็ไม่ลืมที่จะนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรม ล่าสุดเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง โบวี่ เลยขอนุ่งขาวห่มขาว สวดมนต์ นั่งสมาธิ ขอให้ประเทศชาติปลอดภัย ซึ่ง เธอ ได้ลงรูปในเฟซบุ๊ก โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ พร้อมกับข้อความ ว่า

"มาร่วมรวมพลังสวดมนต์และนั่งวิปัสสนา เพื่อเป็นพลังกุศลในการรักษาอธิปไตยให้แก่ชาติ รวมตัวกันหลายจังหวัดทั่วประเทศเลย โบร่วมมา 2 ครั้งแล้ว อาจจะ มีจัดอีกนะคะ เผื่อใครสนใจ มาร่วมรวมพลังกัน สามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจนี้ค่ะ —> อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล จริง ๆ เบื้องต้นสามารถทำเองได้ที่บ้านทุกวันนะคะ สวดมนต์หรือนั่งสมาธิและอุทิศบุญให้แก่ประเทศชาติ ช่วยกันอธิษฐานจิตเพื่อรักษาเขตแดนของชาติ และปกป้องทหารและประชาชนให้ปลอดภัยค่ะ" สมกับเป็นนางฟ้าใจบุญจริง ๆ เลย
บอกเลิกอาหารยอดฮิตแต่เป็นพิษ ถ้าไม่อยากแก่เร็ว ลำไส้เน่า ไตตับพัง เสี่ยงมะเร็ง!?
กินผิดมาทั้งชีวิต!? อาหารยอดฮิตที่คุณคิดว่าดีแต่ทำลำไส้พังเสี่ยงมะเร็ง บอกเลิกอาหารยอดฮิตแต่เป็นพิษก่อนสาย สัปดาห์นี้รายการ Tuck Talk พาไปพบกับ “นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิถีธรรมชาติประยุกต์ ไขความลับอาหารกับโรคร้าย เผยวิธีธรรมชาติบำบัด และเคล็ดลับการกินที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายห่างไกลมะเร็ง ให้มีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ลำไส้สำคัญกับร่างกายของเรายังไงบ้าง นอกจากการช่วยเรื่องการย่อยอาหารหรือว่าขับถ่าย
หมอบุญชัย : การย่อยเป็นหน้าที่อันดับแรก แต่จริงๆ แล้วความสำคัญของลำไส้กับสุขภาพ มันเป็นทางเข้าของสารอาหารทุกชนิดเพื่อมาเป็นตัวเรา อันนี้คือหน้าที่สำคัญมาก แต่ว่ามันต้องเกิดการย่อยก่อน ถ้าไม่ย่อยเราก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เรากินเข้าไป แล้วในกระบวนการทำงานของลำไส้ ทุกอวัยวะของคนเรามันก็จะมีความเสื่อมไปตามอายุเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติอยู่แล้ว ตอนที่เราอายุยังน้อยเป็นวัยรุ่น เป็นวัยหนุ่มสาวมันก็ทำงานได้เต็มที่ การย่อยก็จะย่อยได้น้อยลง การดูดซึมก็จะช้าลง ครับ

สามารถแก้ไขได้ไหม
หมอบุญชัย : แก้ไขได้ด้วยการเข้าใจในสิ่งที่เรากิน คือเราก็ต้องกินอาหารที่มันย่อยแล้วสมบูรณ์ เกิดกากของเสียน้อยที่สุด และก็เป็นอาหารที่ย่อยแล้วดูดซึมง่ายที่สุด นี่คือหลักอีกข้อหนึ่ง

ถ้าเราดูแลลำไส้ไม่ดีจนลำไส้มันเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อยๆ อันนี้มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายไหม
หมอบุญชัย : ครับ คือตอนนี้ปัญหาหลักที่คนไทยเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารการกินมันยังไม่ค่อยถูกต้อง จริงๆ อาหารที่ย่อยง่ายที่สุดคือแป้ง เป็นโมเลกุลที่ย่อยแล้วได้น้ำตาล แต่ปัจจุบันคนไทยเราไม่ได้กินคาร์โบไฮเดรตในรูปแป้ง เรากินคาร์โบไฮเดรตในรูปน้ำตาล มันก็เลยเกิดภาวะน้ำตาลเกิน แล้วก็ไป เจ็บป่วย

แล้วแป้งแบบไหนที่กินแล้วดี
หมอบุญชัย : ต้องเป็นแป้งเชิงซ้อน เช่น ถ้าเป็นข้าวก็ต้องเป็นข้าวกล้อง ที่ต้องเป็นแป้งเชิงซ้อนก็เพราะว่ามันจะย่อยช้าๆ ไม่ได้ย่อยเร็วมาก แต่ว่าเวลาเราย่อยแป้งมันจะไม่เกิดกาก ไม่เกิดของเสีย แต่ถ้าเรากินอาหารประเภทโปรตีน อันนี้เวลาย่อยมันจะเกิดของเสีย ไม่ใช่กากแต่เป็นของเสียที่เกิดขึ้นครับ

โปรตีนที่หมอบอกว่าไม่ค่อยดี เช่นอะไรบ้าง
หมอบุญชัย : เป็นกลุ่มโปรตีนที่ย่อยยาก เพราะว่ามันจะย่อยนานแล้วก็จะมีของเสียเยอะ เกิดการหมักหมม (ferment) ถ้าเป็นเนื้อสัตว์เล็กสายโปรตีนเส้นใยสั้นจะย่อยง่ายขึ้น แต่ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ใหญ่เนื้อแดง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะเป็นเส้นใยยาว แล้วโมเลกุลของโปรตีนก็จะยาว ก็จะย่อยยาก ย่อยช้า เกิดของเสียเยอะ โปรตีนถ้าเป็นประเภทสัตว์เล็กเวลาย่อยก็จะประมาณสัก 1 วัน ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ก็จะย่อยประมาณ 2-3 วัน นอกจากนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่กิน ด้วย

จริงไหมที่เขาบอกว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ร่างกายหรือฟันของเรา เพื่อกินเนื้อสัตว์ใหญ่
หมอบุญชัย : จริงครับ ไม่ใช่แค่ช่องปากอย่างเดียว การทำงานของการย่อยมันตอบรับกับส่วนที่พอเหมาะในการกินเพื่อจะทำให้ลำไส้เสื่อมช้าที่สุด คือกินได้แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุแต่ละวัยด้วย

ถ้าลำไส้ไม่ค่อยดีมันก็จะเป็นโรคภูมิแพ้ มันสัมพันธ์กันยังไง
หมอบุญชัย : อันนี้สัมพันธ์โดยตรงกับอาหารประเภทโปรตีน เพราะว่าโปรตีนเมื่อเรากินเข้าไปเวลาย่อยมันจะได้กรดอะมิโนพร้อมกับของเสีย ถ้าเรากินโปรตีนที่เกิดการย่อยแล้วมีของเสียเยอะ โอกาสที่มันจะเกิดภูมิเพี้ยนๆ ก็เยอะ เช่น ภูมิแพ้ ภูมิจะไปสร้างปฏิกิริยาไวเกินไป

เกิดกับคนที่อายุมากขึ้นหรือเปล่า
หมอบุญชัย : ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงเยอะ ยิ่งเพี้ยน

ภูมิแพ้เนื่องมาจากลำไส้ไม่ดีของเราจะเป็นยังไง
หมอบุญชัย : มันเริ่มต้นได้ 2 แบบครับ แบบแรกคือเราไปสร้างความเสี่ยงให้ตัวเอง เช่น เรากินโปรตีนประเภทย่อยยาก หรือกินโปรตีนที่ธรรมชาติยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนให้ตัวเรา อย่างเช่นนมวัว นมวัวมันเพิ่งเข้ามาในสังคมไทยเมื่อไม่นานนี้เอง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคนไทยยังไม่รู้จักนมวัว เลย

แล้วนอกจากกินนมแม่ ต้องกินนมอะไร
หมอบุญชัย : เด็กเราก็กินกล้วยกินอะไรพวกนั้น กินข้าวบด แล้วก็กินนมแม่ก็เพียงพอแล้วเพราะโปรตีนมันจะสายสั้น เรียกว่าโปรตีน อัลบูมิน (Albumin) นมวัวเป็นโปรตีนที่ย่อยยากสุดเรียกว่า เคซิน (Casein) ร่างกายดูดซึมได้นาน เหมาะกับช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อระหว่างพักผ่อนและทำให้อิ่มนานขึ้น

ดังนั้นก็จะมีเรื่องของ ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ มะเร็ง
หมอบุญชัย : คือถ้าเราพูดถึงโปรตีนกับมะเร็ง จริงๆแล้วมันสัมพันธ์กันพอสมควร เพราะมันชอบของเสียจากโปรตีน เนื้อ นม ไข่ เห็ด ถั่ว เป็นอาหารที่โปรตีนสูง ดังนั้นเราจะต้องกินไม่เกินและต้องกินโปรตีนที่ย่อยง่าย เพื่อจะลดความเสี่ยงในการมีของเสียในการกินโปรตีน ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงอายุด้วย เพราะอายุมากขึ้นไตเราทำงานน้อยลงเราก็ต้องกินโปรตีนลดลง

คำว่า มะเร็ง น่ากลัวมากไหม
หมอบุญชัย : คือถ้าร่างกายเรามีของแปลกปลอมเยอะๆ ยูเรียไนโตรเจน (Urea Nitrogen) เป็นของแปลกปลอมนะ เป็นของที่ต้องขับทิ้ง พอมันมีเกินร่างกายก็จะเริ่มรวนแล้ว ระบบทำงานก็จะเริ่มผิด คนที่ไตวาย สมองจะเสื่อมหมดเลย ซึ่งสังคมไม่มีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ แล้วระบบธรรมชาติที่ควรจะเป็นเรากินมื้อนี้ ก็ต้องถ่ายมื้อที่แล้ว วันหนึ่งถ่าย 3-4 ครั้งหลังอาหาร อันนี้คือดีมาก ดังนั้นเราควรต้องทำลำไส้ใหญ่ให้สะอาด เริ่มจากการกิน แล้วย่อยสมบูรณ์ก่อน เกิดของเสียน้อย เพื่อไม่ให้ต้นทางมันสกปรก ส่วนใหญ่เราเกิดโรคเจ็บป่วยจากการที่กินเกิน ถ้ากินเกินสายโปรตีนมันจะออกทางภูมิคุ้มกัน ภูมิแพ้ ภูมิเพี้ยน มะเร็ง แต่ถ้ากินเกินในสายคาร์โบไฮเดรตอย่างกินน้ำตาลมันก็จะก่อเกิดโรคความเสื่อม ดังนั้นเราควรต้องกินตามสภาพร่างกาย

โปรตีนอะไรที่ย่อยง่ายๆ ที่ควรกิน อยู่ในอาหารประเภทไหน
หมอบุญชัย : ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่ายที่สุดก็คือปลา จำง่ายๆ เรียงกันไป สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แล้วก็สัตว์ใหญ่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็จะยากที่สุดครับ ส่วนโปรตีนจากไข่ก็ยังย่อยค่อนข้างง่าย

สมัยก่อนบอกว่าไข่กินแล้วคอเลสเตอรอลสูง ปัจจุบันนี้กินได้แค่ไหน
หมอบุญชัย : คือเวลาเราทำความเข้าใจ เราเอาประเด็นมามั่วกันหมด วันนี้กำลังพูดถึงโปรตีน เราก็ต้องบอกว่าไข่เป็นโปรตีนที่ย่อยได้ดีพอสมควร ถ้าเราไม่กินเกินก็ไม่เกิดปัญหา แต่เรากำลังกลัวไข่เพราะไปกลัวไข่แดง กลัวคอเลสเตอรอล ก็มีการพูดว่ากินไข่ได้เท่านั้นฟองเท่านี้ฟองเดี๋ยวคอเลสเตอรอลจะเยอะ มันก็ไปอีกประเด็นหนึ่งแล้ว อันนั้นคือการดูแลระดับไขมันในเลือดให้มันสมดุล ถ้าเราจะกินแบบสมดุลก็กินไข่ทั้งฟองเพราะไข่แดงคือส่วนที่มีประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องไปกลัวคอเลสเตอรอลในไข่ เพราะคอเลสเตอรอล 80-90% ตับมันสร้างเอง ขอให้คุณกินอาหารให้สมดุลที่ตับเอาไปใช้มันจะบริหารคอเลสเตอรอลให้ เราเอง

อะไรบ้างที่ทำให้ลำไส้ของเรากินแล้วมันจะแก่เร็วกว่าปกตินอกจากเนื้อแล้ว
หมอบุญชัย : ก็คือน้ำตาลครับ พวกสารอาหารที่เราแบ่งเป็นคาร์โบไฮเดรต มีน้ำตาลแล้วก็มีแป้ง น้ำตาลกับแป้งต่างกันตรงที่น้ำตาลมันคือหน่วยย่อยสุดของแป้ง แป้งมันเป็นโมเลกุลเชิงซ้อนมันต้องย่อยนานเลยกว่าจะได้น้ำตาลออกมา ถ้าเราไปกินน้ำตาลไม่ว่าจะมาจากนม ไม่ว่าจะมาจากน้ำตาลทราย ไม่ว่าจะมาจากผลไม้ มันก็คือน้ำตาล แต่ร่างกายคนเราใช้นำตาลชนิดเดียวเลยคือกลูโคส

มีอาหารอะไรบ้างถ้ากินบ่อยๆ จะช่วยชะลอความเสื่อมของลำไส้หรือของร่างกายได้บ้าง
หมอบุญชัย : ผักทั้งกรุ๊ปเลย ไม่ใช่เฉพาะใบนะ ทั้งดอกทั้งผลทั้งหัว หลากหลายมีเป็น 100 ชนิด ซึ่งอันนี้มันจะให้ส่วนที่ปัจจุบันนี้มันขาดหายไป เพราะเราไปกินอาหารที่เป็น Junk food มันเป็นอาหารที่เสียสมดุลตรงนี้เป็นหลัก ให้กินผักและผลไม้หวานครึ่งหนึ่งของความอิ่ม เพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพก่อน โดยเฉพาะถ้าอายุมากขึ้นเรามักจะเผลอไปกินพวก แป้ง ไขมัน โปรตีนเยอะไป แต่ถ้าเรามีผักครึ่งหนึ่งของความอิ่มก็จะ บาลานส์

คุณหมอช่วยแนะนำเคล็ดลับที่ง่ายๆ ในการดูแลลำไส้ให้ดีไปนานๆ
หมอบุญชัย : อย่างแรกเลยนะครับ กินแล้วรักษาน้ำหนักตัวด้วย มันจะบอกความพอดีขั้นต้นก่อน คือความพอดีเรื่องแคลอรี่ อย่างที่สอง ไปตรวจเลือดดูว่าค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) เราเกิน 10 ไปเยอะไหม ถ้าเกินให้ลดอาหารประเภทโปรตีนที่ย่อยยากลงก่อน เช่น พวกเนื้อสัตว์ใหญ่ หรือนมวัว ต่อมาก็เรื่องของการรับประทานให้สารอาหารมันค่อนข้างสมดุล แนะนำให้กินผักก่อนหรือผลไม้ที่ไม่หวานก่อน ถ้าเป็นคนขยันเคี้ยวก็เคี้ยวกลืน ถ้าเป็นคนกินเร็วก็ปั่นเอาจะช่วยได้ เพื่อไปรักษาสมดุลและได้สารอาหารครบ 5 หมู่ เพราะหมู่ที่มักจะขาดคือหมู่เกลือแร่ วิตามิน และก็หมู่ที่ 6 คือเส้นใยครับ อันนี้ก็เป็นการสร้างสมดุลแล้วครับ ที่เหลือก็มาสังเกตตัวเราว่าเป็นคนที่กินอาหารประเภทไหนแล้วออกอาการไม่ดีผิดปกติ มันเป็นไปได้เพราะแต่ละคนไม่ถูกกับอาหารบางชนิดไปสังเกตุเอา อันนี้หลักโครงสร้างใหญ่ๆ ถ้าเดินตามนี้ได้ธรรมชาติมันช่วยตัวเราเองได้

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=BW6oeUXCtz4
“จั๋ง PERSES” จากเด็กอ้วนติดหวาน สู่ไอดอลหุ่นลีน กินคลีนจนใจพัง อยากหล่อแต่เกือบเสียสุขภาพจิต
รายการ Glow On podcast with Grace สัปดาห์นี้พบกับนักร้องหนุ่มสุดฮอต จั๋ง perses ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของเด็กยุคใหม่ทั้งเรื่องของวินัยในการทำงานเรื่องของการดูแลตัวเอง มาแชร์เคล็ดลับเกี่ยวกับการดูแลรูปร่าง เผยประสบการณ์ลดน้ำหนักในอดีตสู่ผลกระทบทางอารมณ์และร่างกายที่จากการลดน้ำหนักผิดวิธี กินคลีนจนใจพัง อยากหล่อแต่เกือบเสียสุขภาพจิต

ถือว่าเป็นคนที่ทำงานหนักคนหนึ่ง ต้องทำงานทุกวันแล้วกินยังไง
จั๋ง perses : ผมเลือกกินครับ พอเริ่มรู้ระบบว่าต้องกินอะไร เราก็จะเลือกกินประมาณหนึ่ง แต่ก็จะมี Cheat Meal อยู่ อาทิตย์ละครั้ง

เป็นอาทิตย์ละครั้งที่เรานอกใจการกินคลีน
จั๋ง perses : ใช่ครับ คลีนเกือบทุกวันครับ มี Cheat Day แค่วันเดียว แต่ก็มีข้อยกเว้นบ้างครับ ถ้ามีงานใหญ่ ๆ อย่างเช่นไปงาน Festival ผมก็จะอัดน้ำตาลก่อน เพราะมันต้องใช้ Energy ครับ ใช้แค่โปรตีนอย่างเดียวไม่ได้

มื้อหลักเรากินอะไร
จั๋ง perses : เมื่อเช้าข้าวประมาณ 1 กำมือครับ แล้วก็กินเนื้อไก่กับเนื้อวัว ทุกมื้อจะต้องมีเนื้อ 2 ก้อน มีผัก แล้วก็ข้าวครับ ประมาณนี้

ซีเรียสเรื่องน้ำมันหรือความมันไหม
จั๋ง perses : ซีเรียสเรื่องของทอดมากกว่าครับ กับถ้ามีน้ำมันเยอะเกินก็จะเอาทิชชูซับ หรือถ้ามีหนังก็จะลอก หนังออก

ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองเรื่องกินมากเหมือนกัน
จั๋ง perses : ผมว่าติดนิสัยไปแล้วครับ (หัวเราะ) ผิวดีขึ้นด้วยครับ เมื่อก่อนสิวเห่อเลย เมื่อก่อนผมเป็นคนรักของหวานมาก ของทอดก็ชอบ กินตามใจปาก เมื่อก่อนกินบุฟเฟต์อาทิตย์ละประมาณ 4-5 ครั้ง แล้วก็คิดว่าต้องผอมเพราะเราเต้นตลอด แต่ก็คือไม่ผอม

เพราะว่าเรากินไปมากกว่าที่ใช้เยอะมาก
จั๋ง perses : เยอะสุด ๆ ไปเลยครับ

อะไรที่ทำให้กลับมาเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
จั๋ง perses : คือผมเป็นคนที่ลดน้ำหนักมาตลอดตั้งแต่ ม.ปลาย เราอยากมีความรักไง อยากได้ใจสาว ๆ ตอนนั้นสภาพก็ค่อนข้างเป็นวุ้นอยู่ ไม่ใช่ทรงนี้เลยครับ ตอนนั้นหนักกว่านี้ไม่เยอะมากประมาณ 68 กิโลกรัม ตอนนี้ 63 กิโลกรัม แต่มันแค่ไม่เข้าที่ ตอนนั้นแบบผิวคล้ำเพราะเล่นกีฬา แขนก็มีแต่รอยจากการเล่นรักบี้ เล่นบอล เล่นบาส

ใช้ชีวิตแบบสุด ๆ
จั๋ง perses : ใช่ครับ แต่พอไปเรียนพิเศษแล้วเจอผู้หญิงก็เลยแบบเราต้องดูแลตัวเองแล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีคนมาไกด์ให้ว่าต้องกินอะไร เราก็เลยลดน้ำหนักผิดวิธีมาตลอดเวลา เช่น กินแค่มื้อเดียว กินทีละนิดทีละน้อย แล้วก็เข้าใจแค่ว่ากินให้น้อยกว่าที่ใช้ก็พอ โดยที่เราไม่ได้ออกกำลังกายแบบบอดี้เวทหรือเข้าฟิตเนสอะไร เพิ่มเติม

แล้วตอนนั้นเรื่องลดน้ำหนักและความรักสำเร็จไหม
จั๋ง perses : ตอนนั้นลดน้ำหนักสำเร็จครับ แต่ความรักไม่สำเร็จ ในช่วง ม.ต้น - ม.ปลาย คือผมค่อนข้างอักเสบเรื่องความรักมากเลยครับ ตอนนั้นไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักมาก่อน เราจะเห็นแต่เพื่อน ๆ ที่ไปเข้าแถวตู้โทรศัพท์ตอนกลางวันเพื่อคุยกับโรงเรียนที่อยู่ข้าง ๆ โคตรเท่เลย ผมก็อยากคุยบ้างแต่ไม่มี

แต่เราก็ได้ลดความน้ำหนักตอนนั้น
จั๋ง perses : แต่มันก็ก็โยโย่นะพี่ เพราะเราลดผิดวิธี ลดด้วยการตัดคาร์บ กินเนื้อ กินน้อย กินแต่ฟักทองไม่กินข้าว ลดแบบมั่วซั่วไปหมดเลย คือเปิดจาก YouTube บ้าง ไปถามคนนั้นคนนี้บ้าง แล้วทุกสูตรมันก็รวมกันจนเละไปหมด เลยครับ

แล้วเคยกินไม่ดีไหมกับร่างกาย แล้วรู้สึกเสียใจกับตัวเอง
จั๋ง perses : ถ้ากินไม่ดี มีครับ มีช่วงหนึ่งที่เราตัดหวานมาก ๆ คือจริง ๆ ผมเป็นคนชอบหวานมาก่อนครับ ทีนี้เราเห็นมันอยู่ในตู้เย็น เราก็เลยอยากจะลิ้มรส ก็เลยเอามากินแล้วก็เคี้ยว ๆ แล้วก็ห่อทิชชูทิ้ง ซึ่งผมมีความสุขมาก เหมือนโดพามีนมันพุ่งแบบ ฟินมาก เป็นวิธีที่ไม่ดีเลย อย่าไปทำตาม คือตอนนั้นผมหมดหนทาง มืดแปดด้านมันอยากจริง ๆ แต่ก็คายออกมา เพราะรู้สึกว่าถ้ากลืนเข้าไปมันจะรู้สึกผิดกับร่างกายที่เราอุตส่าห์ไปวิ่งมา บอดี้เวทมา ผมว่าจริง ๆ มันสามารถบาลานซ์ได้ครับ ด้วยความที่ต้องรีบใช้งานด้วย เลยเคร่งกับตัวเองมาก ผมจะมี Mindset ในหัวอย่างหนึ่งว่าจะไม่กินเลย เพราะว่ามันจะผิดวินัย มันจะผิดระบบ อย่างเช่นถ้าผู้จัดการถือเค้กมาแล้วช่วงนั้นผมกินคลีนอยู่ แล้วผู้จัดการยื่นมาป้อน ผมจะบอกไม่เอาเสียระบบ เพราะถ้ากินไปอันหนึ่งแล้วความคิดมันจะรู้สึกแพ้ไปแล้ว แล้วจะรู้สึก ผิดแล้ว

ตอนนั้นนานยัง จั๋ง perses : มีหลายช่วงครับ ช่วงเมื่อก่อนที่ลดความอ้วนก็มีรอบหนึ่งช่วงประมาณปี 1 ปี 2 แล้วก็อันล่าสุดก็คือช่วงที่เริ่มจริงจังกับการฟิตเนสมาก ๆ ครับ

พอเลิกทำแบบนั้นได้แล้วเป็นยังไง กลับมาสู่กิจวัตรประจำวันที่ถูกต้องตอนนี้
จั๋ง perses : คิดว่าสภาพจิตใจมันก็ดีขึ้นด้วยครับ ตรงที่เราไม่ต้องฝืนตัวเองมากเกินไป เพราะว่าตอนมีช่วงที่ผมต้องถ่ายแมกกาซีนแล้วต้องโชว์ซิกแพค มันก็ต้องตัดน้ำ ตัดหวาน แล้วช่วงนั้นผมมีโชว์บนเวทีใหญ่ร่วมกับศิลปินท่านอื่นด้วย แล้วก็ขึ้นไปด้วยความที่สมองอ๊องไปหมดเลย เพราะว่าตอนนั้นปากเราก็แห้ง สมองก็เหมือนไม่มีของหวาน ไม่มีน้ำมันมึนไปหมดเลย แต่ก็คุ้มสำหรับภาพที่มัน ออกมา

การลดได้อย่างถูกวิธีจริง ๆ แบบนั้นคืออะไร
จั๋ง perses : จริง ๆ ผมให้เครดิตกับพี่เทรนเนอร์ผมเลยครับ เราได้เทรนเนอร์ดีมาก ๆ ไปเทรนกับทาง Bestfitt ครับ ทุกวันครับ ทุกเช้า ส่วนใหญ่ตารางผมจะเริ่มประมาณ 11 โมง ปกติผมตื่นประมาณ 10 โมง แต่พอเริ่มเข้าระบบก็คือตื่น 6:30 น. ไปฟิตเนส 7 โมง แล้วก็เสร็จฟิตเนสก็ประมาณ 9 โมง 10 โมง แล้วค่อย กลับห้อง

นอนกี่โมง
จั๋ง perses : แล้วแต่วันเลยครับ บางวันก็เที่ยงคืน บางวันก็ตี 1 ตี 2 ก็มี แต่ก็ปลุกตัวเองขึ้นมาครับ จริง ๆ มันก็ถือว่านอนไม่พอ แต่เรากลัวเสียระบบ แต่ทำอย่างนี้เรื่อยๆก็ไม่ดีครับ สิ่งที่จะแย่คือฮอร์โมน แต่ตอนนั้นเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนไง แบบว่าผมเป็นคนที่ต้องทำให้สำเร็จด้วยแหละ ตอนนั้นจะต้องถ่าย จะต้องทำงาน จะต้องใช้หุ่นตอนนี้เลยใช่ไหม เราเลยกล้าทุ่มเลยตอนนั้น ก็นอนประมาณ 4-5 ชั่วโมงครับ เขาก็จะเน้นพวกบอดี้เวทไปถึงก็วิดพื้น เน้นเติมส่วนที่เราไม่มีอย่างเช่นอกบน ไหล่หน้า ไหล่ข้างครับ แล้วก็เน้นท้องหนักสุดเลย

แอลกอฮอล์ตัดไหม
จั๋ง perses : แอลกอฮอล์ก็ตัด แต่ผมไม่ค่อยกินแอลกอฮอล์อยู่แล้วด้วย ตัดของหวาน แล้วก็พวกของมัน ของทอดก็ตัดเลย แล้วก็เพื่อน ๆ ชวนไปกินข้าวช่วงใกล้ถ่ายแบบประมาณ 1 เดือน ผมก็จะไว้ก่อนเพื่อน หรือไม่ก็ไปกินอะไรที่มันมีเนื้อให้พอจะเคี้ยวได้ เน้นเนื้อ เน้นผัก ซุปไม่เอานะครับ ส่วนน้ำจิ้มก็จิ้มบาง ๆ

ตอนที่เราคุมตัวเองมาก ๆ ตัดหวานหงุดหงิดไหม
จั๋ง perses : เหมือนรถไฟเหาะเลยตอนนั้น รู้สึกได้เลยว่าเราคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากขึ้นมาก จากเมื่อก่อนที่เป็นคนใจเย็นมาก แล้วก็เป็นคนที่มีสติทันอารมณ์ตลอดเวลา กลายเป็นว่ารู้ตัวแต่ควบคุมไม่ได้ เหวี่ยง อาจจะไม่ได้ถึงกับวีน อารมณ์เสียง่ายมาก ผมเก็บไม่ค่อยอยู่ จนกระทั่งน้องๆ มาบอกว่าทำไมช่วงนี้พี่จั๋งช่วงนี้อารมณืเสียง่ายเหมือนกันนะ แล้วก็ด้วยความที่ผมจริงจังกับงานมาก ก็จะเครียด กลับไปบ้านก็เก็บไปคิด เพราะเราทำเบื้องหลังด้วย ทำเพลง ก็จะอารมณ์เสียโดยที่เราไม่รู้ตัว พอเขามาเตือนเราก็ขอโทษน้องเลย มีเคลียร์ใจกับเจ้าของค่ายด้วย ประชุมใหญ่เลย

ในช่วงที่เราตัดหวานมาก มีปัญหาถึงขั้นสภาพจิตใจอะไรอย่างนี้ไหม
จั๋ง perses : มีครับพี่ เหมือนผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวานหรือเปล่า แต่พอด้วยความที่มันเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ตัวเองมาก ๆ แล้วกลายเป็นว่าเหมือนพลังงานลบมันเข้ามาเยอะกว่าเมื่อก่อน มันก็เลยเหมือนมันช็อกกับพลังงานที่เราได้รับมา แล้วกลายเป็นคนคิดมากโดยปริยาย แล้วก็กลายเป็นคนที่พอควบคุมตัวเองไม่ได้มันเลยรู้สึกเฟลกับตัวเองไปด้วย มันเลยยิ่งหนัก ๆ เข้าไปอีก แล้วก็มีช่วงหนึ่งผมมึนอ๊องแล้วก็ปรึกษาเพื่อน ปรึกษาค่ายว่าหรือเราควรไปพบคุณหมอ ควรระบายอะไรให้เขาฟังดีไหม เพราะว่าตอนนั้นเราควบคุมไม่อยู่ แต่ผมว่ามันก็อยู่ด้วยที่งานมันหนักขึ้น ด้วยครับ

ถือว่าเป็นคนทำงานหนักแต่ว่าก็ยังดูโอเคอยู่นะ
จั๋ง perses : ครับ ตอนนี้พอมันผ่านช่วงที่เราถึงเป้าหมายแล้ว เราก็กลับมาบาลานซ์ชีวิตตัวเอง

แล้วในช่วงที่เราต้องลดเยอะเป็นพิเศษ สมมุติว่าต้องถ่ายงานแบบด่วนอีก 5 วัน
จั๋ง perses : ถ้าตอนนี้ผมก็จะพร้อมครับ ก็จะลดแป้งลง แล้วก็เพิ่มโปรตีนนิดหนึ่ง เพิ่มโปรตีนขึ้นลดแป้งลงแล้วก็ตัดมันตัดหวาน แล้วก็ถ้าต้องใช้ท้องผมก็จะตัดน้ำครึ่งวันก่อนนอนอะไรอย่างนี้ ส่วนท่าเล่นท้องที่เล่นบ่อยสุดคือ Roll-out ครับ ทรมานสุดแล้วครับสูตรพี่เบสเลยนะ อันนี้ไม่รู้ขายได้หรือเปล่าถือว่าแชร์กันแล้วกันนะพี่เบส ของผมก็จะของพี่แชมป์ เขาจะให้ท้อง 100 ครั้ง แล้วก็มีเตะขาตัว เตะขา 100 ครั้ง แล้วก็มี Side Cycle 100 ครั้ง ใช่ครับ 3 อันนี้ ที่จะทำทุกครั้งที่ไปเล่นฟิตเนส

แล้วซิกแพค ทำยังไงเวลาที่ต้องใช้
จั๋ง perses : ซิกแพคต้องใช้ก็ถ้าต้องโชว์ ผมก็จะใช้สูตรเดิมกับที่เพิ่งถ่ายมาก็คือ ตัดน้ำ 1 วัน แล้วก็กินโปรตีนลดแป้ง แป้งก็อาจจะเปลี่ยนจากข้าวกล้องก็จะเปลี่ยนเป็นพวกฟักทองแทน เพราะมันย่อยง่ายกว่าหรือซึมง่ายกว่า ครับ

เราพอใจกับรูปร่างนี้แล้ว
จั๋ง perses : จริงๆ ก็ยัง ผมอยากตัวใหญ่กว่านี้ ปั้นไหล่ ประมาณหุ่นแบบ เจย์ ปาร์ค

เขาบอกว่าคุณมีทฤษฎีในการออกกำลังกายและให้รางวัลตัวเองด้วยการกิน
จั๋ง perses : หลังออกกำลังกายครับ คือผมเป็นคนที่ชอบกินมาก ๆ แล้วผมเป็นเมื่อก่อน อย่างที่บอกว่าผมชอบกินบุฟเฟต์ ผมชอบกินแบบกินแบบอั่ก ๆ ๆ ๆ ยัด เพราะฉะนั้นเวลาเราออกกำลังกายเสร็จปุ๊บ สมมุติร่างกายเหนื่อย ๆ ล้า ๆ เลยปุ๊บเราก็จะสั่งข้าวทิ้งไว้ตอนที่เราเดินชันเสร็จปุ๊บก็ซัดเลย โอ๊ย แฮปปี้ดีมาก แต่เราเลือกกินนะจะกิน แต่เนื้อ

ตอนนี้คำว่าสุขภาพดีใกล้หรือยัง
จั๋ง perses : ยังไม่ค่อยใกล้แต่ว่ากำลังไป On The Way เพราะรู้สึกว่ายังพักผ่อนน้อย แล้วก็ทำงานเยอะ
ถามนอกเรื่องเมนูที่ชอบตอนนั้น ที่รู้สึกว่าแย่ที่สุดที่เคยกินคือเมนูอะไร
จั๋ง perses : ผมชอบช็อกโกแลตมาก คือสิ่งที่ผมรักที่สุด กินได้แบบทั้งวันทั้งคืน มีตอนเด็กๆ ผมเอาช็อกโกแลตบาร์ มาประมาณ 10 อันเอามาซ้อนกัน แล้วผมก็แบบค่อย ๆ แทะ ผมคือเด็กอ้วนคนหนึ่ง ผมคือแบบเด็กที่รักการกินของหวาน ถ้านึกสภาพไม่ออกนะ ให้นึกภาพผมอยู่บนโซฟา มีกล่องป๊อปคอร์น แล้วก็มีขนมถุงเยอะมากๆ กับช็อกโกแลต 10 อันแล้วผมนั่งแบบ ที่เรียงกันอย่างงี้ กินทีละอันกับท่านั่งที่สบายที่สุดเท่าที่จะหาได้ แล้วเปิดทีวีดูไปด้วย อันนี้คือผมเมื่อก่อน

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=mA6TBx42ws4
มัม ลาโคนิคส์ พ้นวิกฤติ โพสต์ขอบคุณทุกคน หลังออกจากห้องไอซียู
หลังจากนักร้องชื่อดัง “มัม ลาโคนิคส์”มีอาการป่วยไตวายและน้ำท่วมปอด จนอาการวิกฤติ ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูที่ รพ. มงกุฎวัฒนะ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด 7 ส.ค 68 ”มัม ลาโคนิคส์“ได้ออกจากห้องไอซียูแล้ว โดยมีเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆในวงการ ที่ไปเยี่ยมและให้กำลังใจกันแน่น นอกจากนี้เพื่อนศิลปินยุค90 ยังได้จัดคอนเสิร์ตหารายได้ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล ในชื่อ "เพื่อน รัก เพื่อน” เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2568 โดยมียอดเงินช่วยเหลือรวมกว่า 903,835 บาท

และ “มัม ลาโคนิคส์“ ได้โพสต์ครั้งแรก เป็นภาพนอนอยู่บนเตียงที่ รพ. และมีเพื่อนๆ มาเยี่ยม พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า “กราบขอบพระคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกๆ ท่านเลยนะคะ” โดยมีคนในวงการบันเทงและแฟนๆส่งกำลังใจและอวยพรให้หายป่วยไวๆ

ด้านเพื่อนคนสนิทอย่างนักร้องดัง ฟอร์ด สบชัย ไกรยูนเสน ก็ได้โพสต์ภาพพร้อมกับ ตุ๊ก วิยะดา และเพื่อนๆ ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ข้อความไว้ว่า "พี่มัมดีขึ้นเยอะมากๆ ขอให้แข็งแรงเร็วๆ ครับผม"
"เป๊ก ผลิตโชค" เปิดใจครั้งแรกขอโทษสังคม รับดื่มจนขาดสติ วอนทุกคนให้โอกาส
7 ส.ค.68 ค่าย White Music ต้นสังกัดของนักร้องหนุ่ม เป๊ก ผลิตโชค ได้ออกมาเผยคลิปเป๊กในชุดผู้ป่วยโดยเป๊กได้เผยว่า ผมอยากขอโทษทุกคน ที่ทำให้ผิดหวังในตัวของ ผมเองก็ผิดหวังในตัวเองเหมือนกันรู้สึกเสียใจในการกระทำที่ได้ทำลงไปในวันนั้น

-ไม่มีเจตนาทำให้ใครต้องเจ็บตัวหรือเสียใจ แต่ด้วยความผิดพลาดที่ดื่มเยอะเกินไป ทำให้ประคองสติได้ไม่ดี ตามที่ทุกคนได้เห็นในคลิป กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมอยากขอโทษที่รถแท็กซี่ และรถกระบะสีขาวที่ทำให้หวาดกลัว

-และที่สำคัญขอโทษไรเดอร์ที่ใส่หมวกกันน็อคทำให้เดือดร้อนผมได้ทำร้ายร่างกายเค้า ต่างคนต่างมีบาดแผลซึ่งกันและกัน ผมนำพาให้ชีวิตพี่มีความทุกข์เกิดขึ้น -ยืนยันไม่หนีไปไหน สัญญาว่าจะไปพบเพื่อแสดงความขอโทษจากใจจริงกับทุกคน ถึงสิ่งที่ได้ล่วงเกินทุกคนในคืนวันนั้น

-บทเรียนเหล่านั้นตนได้รับกรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากเป็นคนไม่ดี ขอโอกาสแก้ตัวใหม่ ขอให้สังคมช่วยยกโทษให้ด้วยรู้สึกผิดมากครับ ขอโทษจากใจจริง

#เป๊กผลิตโชค #สยามดารา
รัองไห้ทุกวัน! หนิง ติดลบ13ล้านงานผู้จัดละคร หนีตายทำธุรกิจอื่น รอวันกลับมาคืนชีพ
ใครเลยจะรู้ว่าบทบาทงานผู้จัดละครที่สวยหรูทางหน้าจอทีวี เบื้องหลังผู้จัดสุดแซ่บ "หนิง ปณิตา" ต้องปาดน้ำตาร้องไห้เกือบทุกวัน จนล่าสุดต้องเบนเข็มไปลุยงานพิธีกร งานธุรกิจอื่นเพื่อชดเชยรายได้ ที่แว่วว่าผลงานผู้จัดละครเรื่องที่ทิ้งทวนไว้ที่ช่องมากสี ทำเอาเจ้าตัวขาดทุนติดลบกว่า13ล้านบาท งานนี้เปลือยใจกลางรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าถึงบทบาทงานผู้จัดละครที่หนักหนาสาหัสจนต้อง หนีตาย

ถามถึงงานการเป็นผู้จัดละครเป็นบทบาทที่หนักที่สุดของหนิงหรือยัง?
"ณ วันนี้ถือว่ายังไม่ใช่เรื่องที่หนัก"

ขนาดว่าติดลบไปถึง13ล้านเนี้ยนะ?
"ทำไมพี่หนูแหม่มรู้คะเนี้ย แต่หนูทำด้วยแพชชั่นไง คือจะมองแบบนี้หนูติดลบ10กว่าล้าน จากผลงานล่าสุดเรื่องสุดท้ายที่ทำของหนู แต่หนูมองอีกมุมหนึ่ง หนูได้อะไรล่ะ หนูก็สามารถไปทำอย่างอื่นแล้วเอาเงินอื่นมาหักลบกดหนี้ หนูก็ได้ช่องทางอื่น ซึ่งหนูติดลบตรงนี้จริง"

การเป็นผู้จัดละครมันหนัก เหมือนแบกทุกอย่างเอาไว้?
"มันเป็นการฝึกอีกเรื่องหนึ่ง เป็นการฝึกที่เราจะต้องเอื้ออาทรกับผู้อื่น แล้วจะทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เก่งคนเดียว ต่อให้เราเก่งก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะประสบความสำเร็จ"

ไม่เครียดเลยหรอกับการทำงาน และยังติดลบ?
"เครียดมาก เครียดที่สุด ร้องไห้ทุกวัน เชื่อมั้ยมาทำงานพิธีกรคือร้องไห้จนตาบวมมาเลย ร้องไห้มาเลย แต่เวลาที่หนูเครียดตอนทำงานที่เจอมุมลบๆมาหรือใดๆ หนูจะพยายามมองหามุมที่บวกว่าหนูได้อะไร แล้วหนูเติมไปอยู่ในมุมที่บวกมากกว่า และมันสามารถทำให้หนูกล้าที่ก้าวผ่านไปได้"

เข็ดเลยมั้ยกับงานผู้จัดละคร?
"ไม่เข็ด เพราะว่าทุกวันนี้เวลาที่หนูเข้ามาอยู่ในพาร์ทธุรกิจเอง หนูห่วงทีมงานหนูตรงนั้นทั้งก้อนเลยนะ และหนูบอกเลยนะว่าตอนนี้หนูต้องไปลุยข้างหน้าก่อน ตอนนี้วงการไม่มีอะไรแน่นอนเลย หนูก็ต้องไปลุยกับการหาเงินมาทำธุรกิจของหนูก่อน ถ้าวันนี้หนูยังมัวแต่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วเป็นเตี้ยอุ้มคร่อมตายกันทั้งทีม แต่ถ้าวันนี้หนูออกมาก่อน และหนูทำให้หนูสำเร็จก่อน วันหนึ่งหนูกลับไปเก็บศพของทุกคนยังทำได้"

และในส่วนของธุรกิจอย่างอื่นยากกว่างานผู้จัดมั้ย?
"ในส่วนของธุรกิจก็ยาก หนิงลุยทุกอย่าง"
ต้า เฟ็ดเฟ่ เล่าวิกฤตชีวิตเบื้องหลังเสียงหัวเราะ การแยกทางกับเพื่อนรักสู่วันที่ต้องไลฟ์ขายของเอาตัวรอด!
“เกิดมาเว่า” สัปดาห์นี้พบกับ “ต้า เฟ็ดเฟ่” ยูทูปเบอร์ที่โด่งดัง มีเอกลักษณ์เป็นที่รู้จักในฐานะสมาชิกกลุ่มยูทูปเบอร์สายฮา “เฟ็ดเฟ่บอยแบนด์ และ ชัยโสโร” มาเปิดใจหมดเปลือกถึงเส้นทางชีวิตที่ไม่มีสคริปต์ เล่าปัญหาวิกฤตชีวิตที่ต้องเจอ จนต้องหาเส้นทางใหม่ การทำงานในวงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวที่ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะทุกคนสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทุกเมื่อ

เส้นทางชีวิตและบทเรียนของ ต้า เฟ็ดเฟ่
ต้า เฟ็ดเฟ่ : จริง ๆ แล้วผมเป็นคนชัยภูมิครับ กลับบ้านทุกเทศกาลเลย

เวลานึกถึงชัยภูมิ คิดถึงอะไรก่อนเป็นอย่างแรก
ต้า เฟ็ดเฟ่ : คิดถึงความสุขอยู่กับพ่อแม่ ต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ นั่งข้างคนที่เรารัก แค่หายใจก็มีความสุขแล้ว ครับ

ร้านเด็ดในชัยภูมิคือร้านอะไร
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ผมรู้สึกว่าอาจจะไม่ใช่ร้านเด็ดร้านดัง แต่เป็นร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านเราคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงเรียนวังตาท้าว ผมภาษาอีสานผมฟังออกนะแต่พูดไม่ได้ เพราะหมู่บ้านผมพูดโคราชกันไม่ใช่อีสาน

ตอนเด็ก ๆ คาแรกเตอร์เป็นแบบนี้ไหมหรือเพิ่งเป็นตอนโต
ต้า เฟ็ดเฟ่ : เพิ่งมาเป็นตอนโตครับ เพราะหน้าที่การงานด้วย มันก็เลยกลายเป็นคาแรกเตอร์แบบนี้

จุดไหนที่ทำให้รู้ตัวว่าอยากเป็นคนตลก
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ตอนที่เห็นเพื่อน ๆ หัวเราะกับสิ่งที่เราทำ มันทำให้เรารู้สึกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุขมันมีคุณค่ามาก ก็เลยตัดสินใจจะเป็นคนตลก

ได้ข่าวว่าพี่ต้าแยกทางกับพี่ชัยแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ไม่มีใครผิดหรือถูกครับ มันเหมือนทฤษฎีเหรียญที่มีสองด้าน เรามองคนละมุมกัน เรื่องมันเริ่มจากความคาดหวังกันสูงมากเกินไป เป็นเหมือนพ่อกับลูกที่ตึงเครียดเกินไป ก็เลยมีการทะเลาะกันในงานค่อนข้างบ่อยจนเราไม่มีความสุข เราทำงานสายบันเทิง แต่บางวันต้องทะเลาะกันก่อนเข้าเซ็ต แล้วพอได้เวลา 5 4 3 2 แอ็กชั่น เราต้องเล่นตลกทันที ทั้งที่อารมณ์ยังไม่คลี่คลาย เข้าก็ไม่ชอบเราก็ไม่ชอบ ก็อาจจะเป็นที่ผมผิดด้วยที่การคุย พอเริ่มคุยกันน้อยลง พอจะจูนกันก็ทะเลาะอีกแล้ว มันก็เริ่มจาง ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นเบื้องหลังเขาเป็นยังไง บางทีผมก็อิจฉาช่องอื่นที่ไม่ต้องมาเครียดๆอยู่แล้วเข้าฉากต้องตลกเลย แต่ผมก็ไม่ได้ติดอะไรมากเพราะมันเป็นหน้าที่ของเราความรับผิดชอบในงาน ถ้าเลือกได้เราก็ควรแฮปปี้แล้วก็ส่งความแฮปปี้ไปที่คนดูแบบเรียลๆ

มีโอกาสจะกลับมาทำงานด้วยกันอีกไหม
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ผมว่าต้องใช้เวลา จริงๆ ก็ยังเสียดาย ทุกวันนี้ผมยังเปิดคลิปเก่า ๆ มาดู แล้วก็ยังตลกอยู่เหมือนเดิม แล้วผมดูเขาเล่นมุกก็ยังขำเหมือน เดิม

ตอนออกจากช่องเราออกมาแบบตัวเปล่า
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ไม่ใช่ตัวเปล่าครับ ผมได้ความรู้ ได้การลองผิดลองถูก ได้ประสบการณ์ คือถ้าเรายังไม่แรง มีความมั่นใจ และความขยันวินัย มันเริ่มใหม่ได้ทุกเมื่อ การล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ ล้มแล้วก็ลุกให้ไว ชีวิตคนเราเคล็ดลับแค่นี้เลย

มีอะไรอยากบอกพี่ชัยไหม
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ตอนนี้เขาอาจจะมีแฟนคลับเป็นล้านๆ แต่แฟนคลับคนแรกในชีวิตเขาคือผม ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนตลก ผมเชื่อในความสามารถของเขา เขาเก่งอยู่แล้ว คนรักเขาเยอะ แฟนคลับเขาเยอะ ไปต่อได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรือท้อ

มองยังไงกับคนที่บอกว่าเราตกยุค ต้องมาไลฟ์ขายของ
ต้า เฟ็ดเฟ่ : มีครับ หลังออกจากช่องชัยโสโรผมก็ตั้งไลฟ์ขายของเลย รายจ่ายมันไม่รอเรา ขายเสื้อผ้ามือสองใน TikTok มีคนถามว่าใช่ตัวจริงไหม หรือว่าร้อนเงินเหรอ บอกเลยว่าไม่ใช่แค่ร้อน ผมไหม้แล้วครับ (หัวเราะ) ผมว่าทุกอย่างต้องปรับตัวตามยุคครับ ทุกวันนี้คือยุคของคลิปสั้นแนวตั้ง ต้องถ่ายให้เร็วเข้าใจง่าย แต่คนที่ดู Youtube ก็ยังมี อย่าไปกลัวว่าทำแล้วไม่มีคนดู ยิ่งผิดพลาดเรายิ่งได้เรียนรู้ ไม่ควรยอมแพ้ ถ้าชอบก็ทำต่อไป เพราะการทำ Youtube ก็เป็นไดอารี่อย่างหนึ่งที่เราได้บันทึกเก็บไว้ในรูปแบบวีดีโอ

คลิปในตำนานที่แรงที่สุดคือคลิปไหน
ต้า เฟ็ดเฟ่ : มีคลิปหนึ่งที่เล่นแรงมาก แข่งเกมกันแล้วใช้อุปกรณ์สั่นยัดเข้าไปจริง ๆ เปิดเบอร์สุดแล้วสุดท้ายอุปกรณ์นั่นค้างอยู่ในตัวผม ต้องไปนั่งเบ่งในห้องน้ำ โชคดีที่มันพุ่งออกมาเอง ไม่งั้นคงต้องไปโรงพยาบาล อายหมอตายเลยครับ

ตอนนี้ทำแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ใช่ครับ ทำเสื้อบอลลายไทย อยากให้เสื้อเชียร์บอลมีความเป็นไทย ฟอนต์ไทย ลายไทย สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee ค้นหาว่า truly.bkk ได้เลยครับ

สามารถติดตาม “เกิดมาเว่า” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันอังคาร เวลา 18.00 น.

คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=1QPRYnm9OMk
ดื่มน้ำผิดชีวิตพัง! เปิดความลับเรื่องน้ำดื่มที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณ
รายการ Tuck Talk สัปดาห์นี้พบกับ 2 ผู้หญิงเก่งสายรักสุขภาพ อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ นางสาวไทยปี 2535 และ เฟย์ อรชุมา Water Sommelier (นักชิมน้ำดื่ม) มาแชร์เคล็ดลับมุมมองการดื่มน้ำที่ไม่ใช่แค่ดื่มแก้กระหายแต่ดื่มให้ถูกช่วยเปลี่ยนชีวิต หากดื่มน้ำผิดวิธี เสี่ยงช็อกตาย! แนะวิธีควรดื่มน้ำอย่างไรให้สวย สุขภาพดี และห่างไกลโรค

น้ำสำคัญกับร่างกายยังไง ทำไมคนถึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เฟย์ อรชุมา : คนไทยอาจจะยังไม่ได้เข้าใจถึงคำว่าน้ำ และความสำคัญของน้ำเทียบเท่ากับคนในต่างประเทศ น้ำมีความสำคัญมากกว่าเวลาเรากระหายน้ำแล้วดื่ม ในต่างประเทศเขาลึกซึ้งเรื่องนี้มาก น้ำนี่มีความสำคัญว่าถ้าเกิดเราขาดน้ำ 3 วันเราเสียชีวิต เพราะเนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบในร่างกายเยอะมาก 70-80% ในต่างประเทศเขาศึกษาเรื่องนี้กันลึกมาก ยกตัวอย่างเช่น เขาจะมี คำว่า curative water ก็คือน้ำบำบัดเพื่อสุขภาพไว้ใช้รักษาในอาการต่าง ๆ

คนเราต้องดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วตามที่เราเรียนกันมาคือความจริงหรือไม่ หรือว่าร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เฟย์ อรชุมา : ไม่เหมือนกัน เพราะแก้วของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวเรา มีหลักการในการคำนวณ คือ น้ำหนักตัวเราคูณ 30 ก็จะได้เป้นอีกตัวเลขหนึ่ง จะได้เป็นมิลลิลิตร นั้นคือเบสิคที่ควรจะดื่ม เป็นขั้นต่ำ เพื่อเลี้ยงดูร่างกายให้ปกติแต่ว่าไม่ได้เสริมให้ร่างกายแข็งแรง การดื่มน้ำขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ถ้าเกิดขาดน้ำ 1 % ของน้ำหนักร่างกายของเราจะเริ่มกระหายน้ำ ถ้าอยู่ประมาณ 5% ที่เราสูญเสียน้ำออกจาก ร่างกายก็จะเกิดภาวะสมองไม่แล่น เพราะจะเริ่มไปรบกวนการทำงานของสมอง ถ้าอยู่ประมาณ 5-10% แปลว่ามันเริ่มกระทบต่าง ๆ อวัยวะในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่นมันจะเริ่มกระทบการหมุนเวียนของเลือดถ้าเกิดเลือดข้นจะทำให้มีภาวะโรคต่าง ๆ เกิดขึ้น ถ้าขาดน้ำ 15% เขาศึกษามาว่าอวัยวะภายในจะช็อกหรือเสียชีวิตได้

วิธีการดื่มน้ำที่เหมาะสม
เฟย์ อรชุมา : ถ้าเกิดเรากระหายน้ำแล้วค่อยดื่มแสดงว่าร่างกายเราขาดน้ำมาก ๆ แล้ว ตื่นมาควรดื่มน้ำเลย ที่อุณหภูมิห้องปกติ และอย่าเพิ่งแปรงฟันดื่มแบบมีแบคทีเรียเราอยู่ในปากเข้าไปพร้อมน้ำแล้วเข้าไปอยู่ในท้อง เพื่อเอาแบคทีเรียดีที่อยู่ในปากเข้าไปช่วงในเรื่องของระบบการขับถ่าย

ดื่มน้ำหวานหรือดื่มกาแฟไหม
เฟย์ อรชุมา : ไม่ดื่มน้ำหวาน แต่จะดื่มกาแฟที่มีลิมิตให้ตัวเองวันละ 1 แก้ว กาแฟมีผลต่อร่างกายทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ เพราะฉะนั้นถ้าดื่มกาแฟหรือชาก็ต้องดื่มน้ำเข้าไปอีก บางคนเมากาแฟจะเกิดอาการใจสั่นมึน ๆ เหมือนเมาเหล้า คลื่นไส้ ซึ่งแสดงว่าร่างกายขาดน้ำเยอะ ถ้าเกิดเราดื่มน้ำเข้าไปในร่างกายปริมาณหนึ่งอาการที่เราเป็นอยู่ก็จะหาย น้ำมีองค์ประกอบสำคัญในร่างกายช่วยลำเลียงสารอาหาร ช่วยเรื่องการคอนโทรลระบบความดันเลือด และเรื่องอุณหภูมิของร่างกาย สำหรับคนท้องคนที่ให้นมลูก คนที่ต้องรับประทานยาเยอะ ๆ คนป่วยที่ต้องทานยาที่คุณหมอให้มา แอร์โฮสเตส นักบิน คนที่ขึ้นเครื่องบินเดินทาง คนกลุ่มนี้ก็ต้องดื่มน้ำให้เยอะขึ้นกว่า ปกติ

คนที่ดื่มน้ำทีละเยอะ ๆ ดื่มเร็ว ๆ บางทีถึงขั้นช็อกตายเป็นไปได้ไหม
เฟย์ อรชุมา : เป็นไปได้ค่ะ เคสที่ต่างประเทศเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะว่าร่างกายรับไม่ไหว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นนักวิ่งมาราธอน ขาดน้ำอย่างรุนแรง แล้วก็ไปดื่มน้ำที่เย็นจัดในปริมาณที่เยอะมากกว่าน้ำหนักตัวที่สามารถรับได้ เขาก็เกิดบอดี้ช็อกแล้วก็เสียชีวิตโดยฉับพลัน ดีที่สุดคือเราควรจะค่อย ๆ จิบน้ำไปทั้งวัน

Water Sommelier หรือนักชิมน้ำ
เฟย์ อรชุมา : ตอนที่เราชิม ลิ้นจะเป็นตัวรับรสของน้ำ ในต่างประเทศเขาจะมีการเทรนให้เราลักษณะว่า น้ำชนิดไหนเหมาะกับการรับประทานอาหารแบบไหน เช่น เค็มถ้าเรากินน้ำประเภทนี้จะทำให้รสชาติของอาหารดีขึ้นหรือแย่ลง

คนผิวสวยต้องดื่มน้ำแบบไหน
เฟย์ อรชุมา : ดื่มน้ำให้ถึง ขึ้นอยู่กับเขาใช้ชีวิตยังไง เลือกดื่มน้ำที่เป็นประเภทน้ำอัลคาไลน์ หรือ น้ำด่าง ค่า PH ของน้ำ PH 7 คือน้ำที่เป็นกลาง ต่ำกว่า 7 คือน้ำที่เป็นกรด สูงกว่า 7 คือน้ำที่เป็นด่าง มีงานวิจัยออกมาว่า เลือดเราอยู่ที่ประมาณ PH 7.3 เลือดเราจะสูบฉีดได้ดีมาก สร้างโกรทฮอร์โมน แต่ในชีวิตเราการออกกำลังกาย ดื่มกาแฟ เครียด นอนน้อยก็ขับกรดออกมาในร่างกาย ซึ่งถ้าในร่างกายเรามีกรดบาง ๆ ค้างอยู่ก็จะทำให้เกิดผื่น ภูมิแพ้ผิวหนัง โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะ โรคเก๊า ถ้าเป็นกรดหนัก ๆ เลยก็คือมะเร็ง ต้องทำให้ร่างกายเป็นด่าง เพราะฉะนั้นคนที่มีเชื้อมะเร็ง คุณหมอก็อาจจะบอกว่าแนะนำให้ดื่มน้ำด่าง หรือให้ลดสิ่งที่จะเป็นกรดสะสม เช่น เนื้อแดง เลิกแอลกอฮอล์ นอนให้ถึง ไม่เครียด เรื่องผิวถ้าเกิดเราดื่มน้ำไม่ถึง แล้วเป็นน้ำเป็นกรด PH 4-5 ซึ่งน้ำในท้องตลาดมีน้ำที่ PH ต่ำกว่า 7 เยอะมาก ซึ่งไม่ได้ช่วยเรื่องผิว ถ้าเราดื่มน้ำค่า PH สูงกว่า 7 ที่เป็นธรรมชาติก็จะช่วยเรื่องผิว อาหารยากมากที่จะเป็นด่างส่วนใหญ่จะเป็นกรด ถ้าผ่านความร้อนแล้ว ผักสดที่ไม่ผ่านความร้อนก็จะมีค่าของความเป็นด่าง ปัญหาคือเราต้องกิน 1 หน่วยของกรดจะมาล้างให้มันสมดุล เราต้องใช้ด่าง 20 ยูนิต แปลว่าเราต้องกินผักสดเยอะมาก ๆ เพื่อให้ร่างกายเราสมดุลยากมาก เพราะฉะนั้นร่างกายคนส่วนใหญ่มีภาวะเป็นกรด จะมีตัวช่วยก็คือ ดื่มน้ำแร่ธรรมชาติที่มีค่าของความเป็นด่าง ที่สูง

น้ำแร่ธรรมชาติกับน้ำด่างต่างกันอย่างไร
เฟย์ อรชุมา : ถ้าค่า PH สูงกว่า 7 ก็เรียกว่า น้ำด่าง แต่ถ้าน้ำแร่ธรรมชาติที่มีค่าสูงกว่า 7 ก็คือน้ำด่างธรรมชาติ แต่สามารถมีน้ำด่างที่ไม่ธรรมชาติเกิดขึ้นได้ เขาเรียกว่า Manmade alkaline water ประดิษฐ์ให้เป็นน้ำด่าง ต้นทางคือน้ำประปาผ่านเข้าไปในเครื่องกรองที่เปลี่ยนโมเลกุลทำให้มีค่าของความเป็นด่าง ถ้าเราไม่ดื่มทันทีก็จะหายไปเวลาอันใกล้ชิดกับที่มันถูกพึ่งกรองออกมาค่า PH ก็จะค่อย ๆ ปรับ ดังนั้นน้ำดื่มที่ผ่านเครื่องกรองก็ดีกว่าที่จะไม่เป็นน้ำด่าง เพราะน้ำด่างมีประโยชน์กว่า แต่น้ำด่างธรรมชาติมีประโยชน์กว่า และโมเลกุลสามารถคงสภาพได้นานกว่า

อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ : เป็นคนที่ดื่มน้ำเยอะอยู่แล้ว พกน้ำขวดใหญ่ไว้จิบตลอดเวลา รวมถึงการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วย สิ่งเหล่านี้น้องอรทำมาตั้งแต่เริ่มดูแลตัวเองอย่างจริงจัง พอถึงช่วงวัยหนึ่ง ร่างกายกลับมีโรคเกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว ตอนนั้นยังถ่ายละคร ทำงานหนักทุกวัน จนสะสมกลายเป็นความเครียดโดยไม่รู้ตัว และสุดท้ายมันก็ส่งผลต่อร่างกาย คือ ต่อมไทมัสโตผิดปกติ ตอนแรกไปหาหมอเพราะรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ทั่วท้อง คิดว่าเป็นอาการหลงเหลือจากโควิด เพราะเพิ่งหายจากโควิดมาไม่นาน คุณหมอส่งไป X-ray ปอด พบว่าภายในทรวงอกมีเงาสีเทา ๆ จึงให้ทำ CT Scan เพิ่มเติมเพื่อดูให้ชัด ปรากฏว่า ต่อมไทมัสซึ่งอยู่ตรงกลางอก ติดกับหัวใจและปอด มีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ

จริง ๆ แล้วต่อมนี้พอเราอายุมากขึ้น มันควรจะค่อย ๆ หดเล็กลง เพราะทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่ของน้องอรกลับโตขึ้นถึง 4 เซนติเมตร และเริ่มไปเบียดหัวใจกับปอด ทำให้หายใจติดขัด คุณหมอบอกว่าเคสแบบนี้เกิดได้ยากมาก ประมาณ 1 ใน 100,000 คน ซึ่งน้องอรเป็นหนึ่งในนั้น สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดก็เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก และมีความเครียดสะสม ซึ่งบางทีเราไม่รู้เลยว่าความเครียดนั้นเริ่มสะสมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อรู้ว่าต่อมไทมัสโต ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษา โดยคุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด เพราะถ้ารักษาทันท่วงที โรคก็สามารถหายได้ ถึงจะมีผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อย เช่น ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะลดลงหลังผ่าตัด เพราะต่อมนี้มีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่โดยรวมแล้วถือว่าปลอดภัยและจำเป็นต้องรักษาค่ะ แม้จะยังต้องถ่ายละครอยู่

แต่อรก็ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรง เพื่อพร้อมสำหรับการผ่าตัด หนึ่งในวิธีที่สำคัญที่สุดคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และเลือกดื่มน้ำที่ช่วยปรับสมดุลร่างกาย เพราะต่อมไทมัสที่ต้องผ่าตัดออกนั้น จะส่งผลต่อร่างกายพอสมควร ร่างกายจึงต้องดึงพลังงานมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และ "น้ำ" เป็นสิ่งสำคัญมากในการช่วยกระบวนการฟื้นฟู เริ่มจากเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วไปเลือกซื้อน้ำหลากหลายชนิดมาลองดื่ม จากเดิมที่เคยดื่มแต่น้ำเปล่า หรือน้ำแร่ธรรมดา ก็เริ่มลองน้ำด่าง น้ำแร่ธรรมชาติ เพราะได้ยินว่าช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย

คุณหมอบอกว่า หลังผ่าตัดร่างกายจะมีอาการอักเสบ ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีภาวะเป็นกรด หากเรากินอาหารหรือดื่มน้ำที่เป็นกรดร่วมด้วย ก็จะยิ่งทำให้การฟื้นตัวช้าลง จึงแนะนำให้น้องอรหันมาดื่มน้ำที่มีความเป็นด่าง เพราะจะช่วยลดความเป็นกรด ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และช่วยให้ระบบภายในกลับมาสมดุลได้ไวขึ้น ช่วงนั้นดื่มน้ำหลายชนิดมาก จนวันหนึ่งไปเห็นน้องอั๋นโพสต์ใน Facebook เรื่องน้ำด่างธรรมชาติยี่ห้อหนึ่ง เลยไปซื้อมาลองดู ปรากฏว่ารสชาติดี อร่อย ดื่มง่าย ตั้งแต่นั้นมาก็ดื่มต่อเนื่องมาตลอด จนถึงวันผ่าตัด หลังผ่าตัดเพียง 4 วัน น้องอรก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ คุณหมอบอกว่าร่างกายฟื้นตัวได้เร็วมาก ผ่านไปสองสัปดาห์จึงนำก้อนเนื้อจากต่อมไทมัสไปตรวจ

และผลออกมาว่าเป็นเนื้อร้าย ซึ่งหมายความว่าเป็นมะเร็งในระยะที่ 2 แล้ว เพราะก้อนเนื้อนั้นเริ่มเบียดอวัยวะภายในอย่างหัวใจและปอด ตอนผ่าตัดใช้วิธีเลเซอร์ ทำให้กระทบกับปอดบางส่วน ส่งผลให้การทำงานของปอดลดลง ร่างกายจึงต้องพักฟื้นและได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องอาหารและน้ำดื่ม คุณหมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารรสจัด ของดิบ และเน้นอาหารที่มีความเป็นด่าง เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อปลา และอาหารทะเลบางชนิดพอเริ่มฉายรังสี ร่างกายก็ยังฟื้นตัวดี และยังคงดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดื่มน้ำวันละ 4–5 ลิตร โดยเน้นการจิบไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน สังเกตได้เลยว่าเวลาถ่ายปัสสาวะ รู้สึกว่าร่างกายขับความร้อนออกมาได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าน้ำด่างที่ดื่มนั้นมีส่วนช่วยขับกรดจาก ร่างกาย

เฟย์ อรชุมา : สำหรับใครที่ไม่ชอบดื่มน้ำหรือดื่มได้น้อย แนะนำว่าให้เริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมก่อน โดยลองทำตามแนวคิดจากนักจิตวิทยาที่บอกว่า “ถ้าทำอะไรติดต่อกัน 21 วัน จะเริ่มเกิดความเคยชิน” อาจเริ่มจากหลังตื่นนอน กระดกน้ำ 1 แก้วเลย ยังไม่ต้องแปรงฟัน แล้วตั้งเป้าดื่มน้ำให้ได้ 2 ขวดในแต่ละวัน ลองทำแบบนี้ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ แค่จิบไปเรื่อย ๆ ระหว่างวัน จะเริ่มคุ้นชิน เอง

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=Rb_10HFU6-Y
ส่งกำลังใจ “จอย ทีสเกิ๊ต” อดีตเกิร์ลกรุ๊ปดัง เผยป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 4
ทำเอาแฟนๆ เพลงร่วมส่งกำลังใจให้อดีตนักร้องสาวชื่อดังยุค 90 “จอย ทีสเกิ๊ต” หรือ “จอย ธัญพร สนธิขันธ์” หลังเจ้าตัวได้ออกมาแจ้งข่าวผ่านทางเฟซบุ๊กเอาไว้ว่า

“ช่วงที่ผ่านมากำลังสู้กับมะเร็งระยะที่ แต่ก่อนหน้านี้เลือกที่จะไม่พูดถึง ไม่ใช่เพราะอาย หรือกลัว แต่เพราะยังไม่พร้อมจะอธิบาย เพราะต้องใช้พลังใจทั้งหมด เพื่อสู้กับการรักษาให้ดีที่สุด มีเพียงแค่ครอบครัว เพื่อนสนิท กัลยาณมิตร และ คนที่จำเป็นต้องทำงานด้วยเท่านั้นที่รู้

จอย ยังเผยอีกว่า เราเก็บมันไว้เงียบ ๆ เพราะแค่หายใจให้ไหวในแต่ละวัน ก็ใช้พลังมากพอแล้วตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำงานเต็มตัวเลย ยังมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่รับผิดชอบอยู่บ้าง โดยเฉพาะงานสอนที่เรารัก ต้องขอบคุณเพื่อนที่ให้โอกาส แต่ในส่วนของงานเบื้องหน้า เราจำเป็นต้องคืนซีรีส์ไปถึง 4 เรื่อง และนั่นคือช่วงที่เราต้องทำใจอย่างหนักที่สุดทีมงานน่ารักกับเรามากยังให้โอกาสเล่น แต่ด้วยคิวของการรักษาและสุขภาพ ดูแล้วต้องขอถอนตัว

วันนี้…ขออนุญาตเล่า เพราะร่างกายตอบสนองกับการรักษาได้ดีมาก คุณหมอบอกว่า “ผลลัพธ์ดีกว่าที่คาดไว้” เราเลยรู้สึกว่า ถึงเวลาที่จะบอกทุกคนว่า เราเคยอยู่ในจุดที่มืดที่สุด แต่วันนี้เห็นแสงแล้วค่ะ ขอบคุณร่างกาย ขอบคุณกำลังใจจาก ครอบครัว ขอบคุณเพื่อนพี่น้องทุกวงการที่ส่งข้อความ ส่งกำลังใจ มาทุกช่องทางขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ ขอบคุณกัลยาณมิตรที่คอยส่งพลังดีๆ คอยฮีลใจให้ตลอดทาง และขอบคุณทุกคนที่เคยอยู่ใกล้เรา…และไม่รู้ว่าเรากำลังผ่านอะไร ขออภัยที่ไม่พร้อมบอก ชีวิตยังไม่แน่นอน แต่เรามั่นใจว่า ใจที่สู้ มีพลังจริงๆ สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนแบบเดียวกันนี้ อยากให้รู้ว่า “เราเข้าใจ” และ “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ได้”

จากนี้เราจะค่อยๆ เล่าให้ฟังทีละนิด ในวันที่ใจพร้อม และร่างกายพอมีแรง เพราะเรื่องราวที่ผ่านมา…มันทั้งเปลี่ยนเรา และสอนเราว่าชีวิตมีค่าขนาดไหน ด้วยความหวัง และพลังที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
“นิค วิเชียร” สรุปเหตุการณ์ “เป๊ก ผลิตโชค”11ข้อ เชื่อเมาไม่รู้เรื่อง เลยทำอะไรแปลก ๆ วอนคนล้มอย่าข้าม
หลายคนยังคงให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องกรณีที่นักร้องหนุ่ม เป๊ก ผลิตโชค อายนบุตร ถูกคนทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีดจนได้รับบาดเจ็บ มีแผลบริเวณใต้คางและหัวไหล่ซ้าย แต่หลังจากนั้นเมื่อเปิดกล้องวงจรปิดในช่วงเกิดเหตุก็พบว่าที่จริงแล้วนักร้องหนุ่มเกาะกระจกหน้ารถกระบะคันหนึ่ง และพอรถกระบะคันดังกล่าวขับเข้าปั๊มน้ำมัน และมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาช่วย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเป๊กกลับมีปัญหากับชายหนุ่มแทน ก่อนถูกนำตัวส่ง รพ.

ล่าสุด 5 ส.ค.68 “วิเชียร ฤกษ์ไพศาล” หรือ “นิค” อดีตรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานมิวสิค โปรดักชั่น และโปรโมชั่น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง genie records ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องราวของ เป๊ก ผลิตโชค พร้อมสรุปให้ชาวเน็ตได้อ่านผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุข้อความว่า มีหลายท่านเห็นคลิปแต่ไม่ได้ตามข่าว ผมเลยขอสรุปเรียงลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ กรณีของ “เป๊ก ณ ปั๊ม” ดังนี้ครับ

1.เริ่มต้นที่เป๊กสังสรรค์กับเพื่อน น่าจะเลี้ยงวันเกิดเป๊กล่วงหน้า ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งถึงเที่ยงคืน จากข่าวมีทั้งไวน์ ทั้งโซจูและเพื่อนยังสั่งเบียร์มาอีก 6 ขวด เป๊กดื่มเท่าไหร่ แต่คงหลายขนาน เพราะจากเหตุการณ์ต่อมารู้ชัดว่า…น้องเมามาก!

2.น้องเป๊กเมาขาดชนิดที่สามารถทำอะไรแปลกๆ ได้ในสภาพที่ตรงกันข้ามกับนิสัยส่วนตัวเวลาปกติ เรียกว่าถ้าได้สติคงตกใจมาก ก็จากคลิปมีทั้งนั่งหลับข้างทาง ทั้งเดินดุ่มๆ แถมไปยืนขวางถนน ปีนป่ายขึ้นไปบนรถ Taxi สุดท้ายขึ้นไปฟุบเหมือนจะอยากหลับบนกระโปรงรถกระบะ

3.รถกระบะคงตกใจ จึงขับรถอย่างระวังแล้วรีบเลี้ยวเข้าปั๊ม และเรียกให้เป๊กลงจากฝากระโปรงรถอย่างงงๆ กับเหตุการณ์ แน่นอนว่าทั้งกลัวทั้งไม่พอใจ แต่ไม่ขอ selfie

4.แม้จะยังเมาไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยสัญชาตญาณแบบอัตโนมัติ (เหมือนคนเมาที่กลับบ้านได้แต่จำอะไรไม่ได้) แวบหนึ่ง… จึงกราบและกอดขอโทษโชเฟอร์รถกระบะด้วยความรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำไป

5.เรื่องน่าเคลียร์กันได้ หรืออาจจะจบลงแค่นั้น ถ้าหากคนขับรถของเป๊กตามมาทันและพาเป๊กขึ้นรถกลับบ้านไป แต่บังเอิญมีไรเดอร์ผู้เห็นเหตุการณ์ในปั๊ม ปรี่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพลเมือง ดี

6.หนุ่มไรเดอร์ผู้ที่อ้างว่าเจอขี้เมาอาละวาดเป็นประจำในยามค่ำคืน (เป็นเหตุผลที่ต้องพกมีดไว้เผื่อป้องกันตัว) ครั้งนี้ก็คงเข้าใจว่านี่ก็คือขี้เมาอีกคนที่กำลังป่วนประสาทและอาจจะทำร้ายคนขับรถกระบะ จึงพุ่งเข้าไปพูดจาและคงน่าจะต่อว่าอะไรแรงๆ เพราะดูจากแฟนตัวเองก็พยายามยื้อยุดไว้ และตัวเป๊กก็ปรี๊ดมีปฏิกิริยาทันที

7.เป๊กที่ยังเมามายแม้ไม่มีสติแบบคนปรกติ แต่จิตใต้สำนึกและสัญชาตญาณคงฟังออกว่าไรเดอร์…พูดจาไม่เข้าหู จึงพุ่งเข้าชนวิ่งเข้าใส่ เป๊กเหวี่ยงหมัดกวัดแกว่งแขนแบบสะเปะสะปะไม่เป็นมวย โดนบ้างไม่โดนบ้าง

8.ไรเดอร์หลบหลีกแบบไม่ทันตั้งตัว แถมไม่รู้ด้วยว่าหมอนี่คือเป๊ก หรืออาจจะคุ้นๆ แต่ก็ตกใจและไม่พอใจซะก่อนที่โดนต่อย จึงตอบโต้และรีบงัดมีดพกออกมาฟาดฟันป้องกันตัวไว้ก่อน บังเอิญมีดปาดไปโดนคางเป๊ก สุดท้ายน้องล้มนอนฟุบแน่นิ่งกลางปั๊ม ไรเดอร์ที่กำลังโกรธเลยกระทืบซ้ำกระหน่ำ Teen ใส่เป๊กอย่างสะใจไปหลายที ณ เวลานั้นเราได้คนขาดสติอีกคนโดยไม่ต้องเมา

9.จากทีแรกจะเป็นพลเมืองดีคิดเข้าช่วยโชเฟอร์รถกระบะ กลับกลายเป็นคู่กรณีผู้ก่อเหตุไปซะงั้น ต้องข้อหาทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บและพกพาอาวุธในที่สาธารณะ…(ไรเดอร์ให้สัมภาษณ์ภายหลัง…รู้สึกผิดที่ทำเกินกว่าเหตุ พร้อมกราบขอโทษเป๊กออกสื่อ)

10.เป๊กที่บาดเจ็บแน่นิ่งไปสักพัก โดยไม่มีใครไปดูดาย ด้วยความยังเมามายแต่ยังมีแรงทำให้ไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บ อยู่ๆ เฮียก็ลุกขึ้นมาวิ่งไล่ผู้ชายอีกคนอย่างงงๆ คนในปั๊มก็งงๆ ไรเดอร์คู่กรณียิ่งงงใหญ่ เพราะน้องเป๊กวิ่งผ่านหน้าไปอย่างไม่สนใจและน่าจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเพิ่งปะทะกัน (ใครเคยเมาหรือเห็นคนเมาคงเข้าใจว่าอาการ)

11.หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็น่าจะคลี่คลาย เฮียน่าจะเริ่มสร่างเริ่มรู้สึกตัว เพราะข่าวว่าร้องขอความช่วยเหลือจากอาการบาดเจ็บจบลงที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่มา และพากันไปโรงพยาบาล เรื่องนี้คงยังไม่จบ อนาคตของเป๊กก็คงจะยังไม่จบ เชื่อว่านุชส่วนหนึ่งคงให้อภัย คอนเสิร์ตอาจจะจบไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ ส่วนบทความนี้ก็คงยังไม่จบ ด้วยรักและเป็นห่วงน้อง จึงคิดว่าต้องเขียนเพิ่มเติม มีความในใจบางอย่างอยากจะบอกกล่าวในฐานะที่เคยเกี่ยวข้อง ขอเวลาตั้งสตินิดหนึ่ง

หมายเหตุ : คนล้มอย่าข้าม เชื่อว่าเป๊กก็คงเสียใจไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น หากมีความเห็นกรุณาเมนต์อย่างสุภาพ ดราม่าเยอะแล้ว
“ขวัญภิรมย์ หลิน”อดีตดาราเซ็กซี่ยุค 90 เข้าร้อง บก.ปคบ. หลังจ้างบริษัทการตลาดออนไลน์ ทำการตลาดสินค้าอาหารเสริม จนสูญเงินนับล้านบาท
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ส.ค.68 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน เขต จตุจักร กทม. อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พา“ขวัญภิรมย์ หลิน”อดีตดาราเซ็กซี่ชื่อดังยุค 90 เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอศ.แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทการตลาดออนไลน์แห่งหนึ่ง หลังได้รับความเสียหายและสูญเสียเงินกว่าหนึ่งล้านบาท จากการว่าจ้างแต่กลับถูกทิ้งงาน

ขวัญภิรมย์ หลิน กับภาพจำในฐานะดาราเซ็กซี่ ด้วยวัย 58 ปี เจ้าของผลงานการแสดงในยุค 90 ด้วยภาพยนตร์ไทย 2 เรื่อง กับละครโทรทัศน์หลายช่อง เปิดใจว่า ปัจจุบันไม่ได้รับงานแสดงอะไร มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่งเอามาลงทุนผลิตอาหารเสริม แบรนด์ของตัวเอง (ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้ว) ช่วงนั้นตนได้เห็นรายการทีวีช่องหนึ่ง เชิญแขกรับเชิญเป็นเจ้าของบริษัทชื่อย่อขึ้นต้นด้วยอักษรตัว ”V" ผลิตสื่อออนไลน์มาออก คุยถึงความสำเร็จในการทำธุรกิจของเขา บอกว่าเขาสร้างตัวด้วยเงินจำนวนจากล้านบาทจนประสบความสำเร็จมีบ้านช่องใหญ่โต มีรถยนต์หรูขับ เรามีเงินล้านบาทอยู่ เชื่อว่าเขาจะทำยอดการตลาดให้เราได้ ดูแล้วสร้างความน่าเชื่อถือมาก จึงตัดสินใจติดต่อให้ช่วยทำการตลาดสินค้าของตน แต่พอทำสัญญาจ้างจ่ายเงินไปแล้ว 1,000,000 กว่าบาท ทางบริษัทนี้เค้ารับปากว่าจะทำงานให้เราประมาณ 20 อย่าง 20 ข้อแต่ทำจริงๆกลับมาได้แค่เพียงเพจเฟซบุ๊ก กับไลน์แอด มาเท่านั้น กับเขียนคอนเท้นต์ลงเพจ 3-4 อย่างเท่านั้นเอง ที่เหลือตามสัญญาว่าจะทำให้ก็ไม่ทำให้หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างหยุดการติดต่อไป

คิดว่าเงินที่จ่ายไปให้กับบริษัทเขาจำนวน 1,000,000 กว่าบาททำงานให้เราไม่คุ้มค่า ตนจึงอยากจะออกมาเป็นกระบอกเสียงให้กับ ลูกค้า ผู้บริโภคคนอื่นๆ ที่เหมือนตนถูกกระทำจากบริษัทนี้ ใครโดนเหมือนตนสามารถที่จะมาแจ้งความที่กรมบังคับการปราบปรามคุ้มครองผู้บริโภค ตัวเองหรือติดต่อกับอี้แทนคุณก็ได้ จะได้ช่วยกันออกมาเรียกร้องให้ความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างพวกเรา กว่าเราจะหาเงินมาได้ยากเย็นแสนเข็ญแต่เมื่อถึงเวลาที่เขามาเอาจากเราไปมันง่ายแสนง่าย ที่โดนกระทำทุกคนตั้งใจที่จะทำมาหากินกันทั้งนั้น มาเจอกับบริษัทแบบนี้ตนคิดว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างเรามากเกินไป กับเงินที่เราต้องจ่ายลงไป สามารถที่จะมาเอาผิดได้กับบริษัทที่มีชื่อย่อขึ้นต้นด้วย ตัว V ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง สี่แยกพระพรหม แยกราชประสงค์

อี้แทนคุณ กล่าวว่า “ขวัญภิรมย์ หลิน”ได้ว่าจ้างบริษัทดังกล่าวเพื่อทำการตลาดออนไลน์สำหรับสินค้าของเธอเอง โดยหลงเชื่อเพราะบริษัทมีการสร้างความน่าเชื่อถือจากการไปออกรายการดังๆ หลายรายการ รวมถึงรายการของคุณวู้ดดี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ชำระเงินรวมกว่าหนึ่งล้านบาท ปรากฎว่า บริษัทกลับปฏิบัติผิดสัญญา โดยดำเนินการเพียงบางส่วน เช่น การจัดทำเพจเฟซบุ๊กและ ไลน์แอด ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปก็สามารถทำได้ และยังอ้างว่ามีค่าที่ปรึกษาถึง 450,000 บาท ซึ่งสูงเกินจริงอย่างมาก

ซึ่งเธอเข้าไปพูดคุยที่บริษัทแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการรับผิดชอบใดๆ บริษัทดังกล่าวอ้างว่ามีค่าปรึกษาครั้งละ 50,000 บาท หรือชั่วโมงละ 1,000 บาท ทำให้คุณขวัญภิรมณ์เชื่อว่ามีผู้เสียหายรายอื่นที่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทนี้อีกเป็นจำนวนมาก จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนกับชมรมสันติประชาธรรมเพื่อขอความช่วยเหลือและทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตนเองและผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่อาจได้รับผลกระทบ

การกระทำของบริษัทดังกล่าวเข้าข่ายความผิดปกติหลายอย่าง และไม่มีความเป็นมืออาชีพใดๆ จึงอยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวนี้ เพื่อเป็นข้อมูลเตือนภัยให้กับประชาชนที่กำลังมองหาบริษัททำการตลาดออนไลน์ และเพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทเดียวกันได้ทราบข่าวและเข้ามาแจ้งความเพิ่มเติมในครั้งนี้

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. และตรวจสอบรายละเอียดต่างๆที่ผู้เสียหายนำมามอบให้พยานหลักฐานหรือจะเอาผิดกับบริษัทดังกล่าวต่อไป
“วิน SQWEEZ ANIMAL” จูงมือแฟนสาวนอกวงการ “พิมพ์พัณ” เข้าพิธีวิวาห์สุดอบอุ่น เพื่อนในวงการร่วมยินดีเพียบ!
สมกับเป็นงานแต่งที่รวมไว้มากมาย ทั้งศิลปิน ดารา สำหรับงานแต่งของ วิน ศิริวงศ์ หรือ วิน สควีซ แอนิมอล กับเจ้าสาว พิมพ์พัณ ศิริวงศ์ แฟนสาวนอกวงการ ที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (2 ส.ค.2568) ณ โรงแรม สยามเคมปินสกี้ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก โดยมีทั้งครอบครัว ญาติสนิท ดารา และศิลปิน เข้าร่วมแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น โดยจัดพิธีตามประเพณีในช่วงเช้า และบ่ายเลี้ยงฉลอง มงคลสมรส

งานนี้เหล่าคนบันเทิงทั้งสายเพลง สายงานแสดง และอื่น ๆ ตบเท้าร่วมยินดีกับบ่าวสาวคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี ,โดนัท มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล และ ตาม จำนงค์อาษา , คริส หอวัง , เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร , ภูริ ภูริ หิรัญพฤกษ์, อะตอม ชนกันต์ รัตนอุดม , ป๊อด ธนชัย อุชชิน , ฟุ้ง อัครชนช์ ราชปันดิ, เมื่อย SCRUBB หรือ ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ , เจนสุดา ปานโต ,เป้ MVL หรือ บดินทร์ เจริญราษฎร์ พร้อม ภรรยา , ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล , ปาล์ม ปรียวิศว์ นิลจุลกะ , บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ร่วมถึงศิลปินร่วมค่ายอย่าง วง THE GHOST CAT , SHERRY ,PURPLECAT, KACHAIN ,NAP A LEAN

ซึ่งทันทีที่พิธีได้เริ่มขึ้นเจ้าบ่าวควงเจ้าสาวเข้ามาในงานท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มาร่วมงานต่างพากันจับจ้องตะลึงในความสวยสง่าของคู่บ่าวสาวอย่างอิ่มเอมใจ จากนั้นเข้าสู่ช่วงพิธีบนเวทีจนไปถึงช่วงเวลาพิเศษในฐานะที่เจ้าบ่าวเป็นนักร้องความพิเศษของงานในวันนี้ทุกคนจะได้ยินเพลงที่แต่งขึ้นมาและเล่นให้ฟังในงานวันนี้เป็นครั้งแรกกับเพลง “แสงสว่าง” ที่ขอมอบให้กับเจ้าสาว ที่เธอเป็นเหมือนแสงสว่างที่เข้าในในชีวิตเลยทำให้บรรยากาศภายในงานอบอวนไปด้วยความโรแมนติกของคู่บ่าวสาวจนหลานคนปลื้มปริ่มและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นงานที่น่ารัก อบอุ่น อย่างสุด ๆ
ต้นสังกัดเผยอาการ "เป๊ก ผลิตโชค" หลังถูกหนุ่มใช้มีดฟันคางบาดเจ็บ
จากกรณี วันที่ 3 ส.ค. 2568 "เป๊ก ผลิตโชค" หรือ "นายผลิตโชค อายนบุตร" ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดทำร้ายได้รับบาดเจ็บคาปั๊มน้ำมันในซอยรามคำแหง 76 โดยผู้ก่อเหตุเป็นชายวัย 21 ปี ถูกตำรวจ สน.หัวหมาก รวบทันควัน ต่อมาผู้ก่อเหตุให้การว่า ได้ใช้มีดทำร้ายเป๊ก ผลิตโชคจริง อ้างทำไปเพื่อป้องกันตัว

ขณะที่ด้าน White Music ต้นสังกัดของ เป๊ก ผลิตโชค ได้โพสต์อัปเดตอาการบาดเจ็บของเป๊ก โดยระบุว่าอัปเดต อาการของ เป๊ก ผลิตโชค ทางบริษัทได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้ เป๊ก ปลอดภัยดี โดยแพทย์ได้ทําการเปิดแผล ทําความสะอาด และเย็บแผลกลับ

เบื้องต้น แพทย์แจ้งว่าบาดแผลเรียบร้อยดี ไม่กระทบกระเทือนเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณปาก และใบหน้า แต่อาจจะมีอาการปวดและระบมบริเวณบาดแผล ซึ่งทางแพทย์มีการดูแลให้ยาฆ่าเชื้อ และเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดขอขอบคุณทุกความห่วงใย บริษัทจะแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะ วันที่ 3 สิงหาคม 2568

#เป๊กผลิตโชค #สยามดารา
เปิดคำให้การ มือมีด ฟัน เป๊ก ผลิตโชค ให้การอ้างป้องกันตัว พบของกลาง อาวุธมีด ขนาด 20 ซ.ม. 1 เล่ม
หลังจากเมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 3 ส.ค. ร.ต.อ.ชัยนรินทร์ กวีพราหมณ์ รองสารวัตร(สอบสวน)สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกมีดฟัน ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก ซอยรามคำแหง 76 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.สวภณ คะอังกุ สวป.สน.หัวหมาก กำลังสายตรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิสยามร่วมใจปู่อินทร์

ที่เกิดเหตุอยู่ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก ซอยรามคำแหง 76 พบผู้ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อนายผลิตโชค อายนบุตร หรือเป๊ก อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง มีบาดแผลฉกรรจ์ถูกอาวุธมีดฟันเข้าที่บริเวณใต้คาง 1 แผล เจ้าหน้าที่จึงเร่งทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเร่งนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช

ส่วนผู้ก่อเหตุยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ทราบชื่อต่อมา คือ นายชุติเทพ ขุนสูงเนิน อายุ 21 ปี พร้อมของกลางอาวุธมีดพร้าสั้น ยาว 20 ซม. 1 เล่ม ก่อนถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำที่สน.หัวหมาก

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายชุติเทพ ผู้ก่อเหตุได้ขับรถไปรับแฟนจากที่ทำงานมาเพื่อจะกลับบ้าน เมื่อมาถึงปั๊มน้ำมันจุดเกิดเหตุ พบมีคนกำลังทะเลาะกัน ลักษณะคล้ายมีอาการมึนเมา อยู่บริเวณท้ายรถกระบะ นายชุติเทพ จึงได้เข้าไปช่วยเคลียร์ จู่ ๆ นายเป๊ก ผลิตโชค ได้ปรี่เข้ามาหานายชุติเทพ จึงนำมีดที่พกไว้ป้องกันตัว ตวัดออกไปถูกปลายคางนายเป๊ก จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่แฟนสาวของผู้ก่อเหตุโทรแจ้งตำรวจมาระงับเหตุ

ด้าน พ.ต.อ.นเรทร์ เครื่องสนุก ผกก.สน.หัวหมาก กล่าวว่า เบื้องต้นอยู่ระหว่างรอสอบปากคำทั้งสองฝ่ายเพิ่มเติม ซึ่งหลังเกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมานายเป๊ก ผลิตโชค ยังไม่ขอให้การใด ๆ กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่ รพ. และต้องสอบปากคำนายชุติเทพ เพิ่มเติม ซึ่งนายชุติเทพ ถูกแจ้งข้อหา พกพาอาวุธมีดโดยไม่รับอนุญาต และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ ดำเนินคดีต่อไปส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเป็นการเข้าใจผิดกัน
#เป๊กผลิต #เป๊กผลิตโชค
หมอไอซ์ เผยสาเหตุหน้าแก่ก่อนวัยเพราะสิ่งนี้! แนะทำ 3 สิ่ง ผิวดีชะลอความแก่ได้
Tuck Talk สัปดานี้พามาไขข้อสงสัย ถ้าไม่อยากผิวแก่ก่อนวัยเพราะพฤติกรรมที่ทำทุกวันต้องทำอย่างไร? พบกับ หมอไอซ์ - พญ.ชนิกานต์ เทพรส ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย เจ้าของช่อง TikTok Dr.Ice Beauty แชร์เคล็ดลับหยุดความแก่ ทำตามได้ง่าย ๆ และได้ผลจริง เผยครบทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างผิว การผลัดเซลล์ ฮอร์โมน อาหาร รวมถึงวิธีเลือกกันแดดและสกินแคร์ให้ตรงจุด พร้อม 3 เคล็ดลับที่ใครก็ทำตามได้เพื่อผิวที่ดีชะลอความแก่

ผิวของคนเราประกอบด้วยอะไรบ้าง ผิวดีหรือไม่ดี การผลัดเซลล์ผิวสำคัญยังไง
หมอไอซ์ : ผิวของเราประกอบด้วย 3 ชั้น ด้านนอกคือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นกลางคือชั้นหนังแท้ ด้านในคือไขมันใต้ผิว การผลัดเซลล์ผิวสำคัญเป็นตัวบ่งบอกว่าผิวของเราจะดีหรือไม่ดี เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวจะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งปกติวงจรในการผลัดเซลล์ผิวจะอยู่ที่ 28 วันโดยประมาณ พอเซลล์ผิวด้านนอกเขาถึงอายุ ก็จะตายไปแล้วก็จะมีการผลัดออกเซลล์ผิวใหม่จากด้านล่าง มีการสร้างทดแทนกันขึ้นมา พอวงจรมันเป็นแบบนี้จะเป็นการจัดการปัญหาผิวให้กับเรา ยกตัวอย่างถ้าเกิดว่าช่วงที่วัยรุ่นหรือว่าตอนเด็ก ๆ บางทีเรามีสิวจนทิ้งรอยหรือไปตากแดดมาสีผิวดำคล้ำ เท่ากับว่าเซลล์ผิวจะมีเม็ดสีอยู่พอถึงเวลาครบรอบประมาณ 28 วันพวกรอยสิวพวกความหม่องคล้ำก็จะหลุดออกไป เพราะว่ามันเกิดการผลัดเซลล์ผิวขึ้นมา ปัญหาเกิดจากเมื่อเราอายุมากขึ้น วงจรการผลัดเซลล์ผิวจาก 28 วัน บางคนถึง 40 วันได้เลย เซลล์ผิวที่มีปัญหามันก็เลยกองอยู่บนผิวของเรา เซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ถูกผลัดออกก็จะเกิดเป็นความหมองคล้ำไม่กระจ่างใส เซลล์ผิวที่มีเม็ดสีพวกฝ้ากระก็จะโชว์อยู่บนผิวของเราพวกรอยสิว เป็นสิวอยู่ก็จะทิ้งรอยนาน

บางคนที่ไปถู ขัด สครับ เพื่อให้เร่งการผลัดผิวได้เร็ว อันนี้ช่วยได้ไหม
หมอไอซ์ : ถ้าเกิดว่าเราทำอย่างถูกต้องแล้วก็ถูกวิธีจะช่วยทำให้พวกรอยดำ หรือว่าความหมองคล้ำออกไปได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเกิดว่าทำผิดวิธีถือเป็นการกระตุ้นผิวทำให้เกิดการระคายเคืองไปรบกวนปราการผิวหรือว่าสิ่งที่เป็นตัวปกป้องผิวของเราแพ้ง่ายและระคายเคืองง่าย กลายเป็นให้ผิวพังกว่าเดิมถ้าเกิดทำผิด วิธี

สิ่งที่จะทำร้ายผิวของให้ดูแก่กว่าวัยมีอะไรบ้าง
หมอไอซ์ : ปัจจัยที่ทำให้ผิวของเราแก่มีเยอะมากๆ คือการใช้ชีวิตของเราทุกวันนี้ สิ่งแวดล้อมสามารถทำให้ผิวของเราแก่ลงได้ทั้งนั้น ยกตัวอย่าง ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในคือพอเราอายุมากขึ้นร่างกายของเราถูกโปรแกรมมาให้พอแก่ขึ้นแล้วทุกอย่างจะเสื่อมลง พออายุมากขึ้นเซลล์ผิวจากที่เคยผลัดได้ดีจากที่เคยสร้างคอลลาเจนได้ดีก็จะเสื่อมลง ฮอร์โมนดรอปลง ทำให้ปราการผิวของเราไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ผิวแห้งกล้าน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงก็กระตุ้นฝ้า งานวิจัยบอกว่าเมื่อายุ 25 ผิวของเราจะสร้างคอลลาเจนได้ลดลงและจะลดลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ผู้หญิงอาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่า เพราะผู้หญิงเข้าสู่วัยทองเร็วกว่า และยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ เป็นคนเอเชียผิวเข้มเป็นฝ้าได้ง่าย ความเครียดจะมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียดตัวคอร์ติซอลจะทำลายคอลลาเจนได้โดยตรง ทำให้ผิวมันขึ้นเป็นสิวขึ้นมา บางคนบอกว่าไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะทำไมสิวยังมีอาจจะเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนปัจจัยภายนอกแทบจะทุกอย่าง

ถ้าเกิดว่าเรานอนเต็ม 8 โมงผิวเราจะดี อาหารการกิน เรารู้ว่าน้ำตาลคือยาพิษสำหรับผิว เราก็จะคุม ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยที่เรากิน ขนมปังขาว น้ำหวาน ขนมหวาน พอน้ำตาลที่เขาเรียก High Glycemic Index กระตุ้นอินซูลินได้สูงจะก่อให้เกิดการอักเสบ จะเข้าไปทำร้ายคอลลาเจนในผิวของเราโดยตรง ทำให้ผิวของเรามันขึ้นสิวขึ้นง่ายขึ้น ถ้าเกิดว่าใครที่อยากจะมีผิวที่อ่อนกว่าวัย การจัดการน้ำตาลเป็นเรื่องที่ต้องทำ นอกจากนี้อาหาร Process food จะเข้าไปกระตุ้นทำให้ร่างกายเกิดความเครียดก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลไปทำให้ผิวมันแล้วก็ทำลายคอลลาเจนได้ เพราะฉะนั้นแค่ปรับอาหารการกินได้ผิวก็จะดีขึ้นได้ด้วย ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ รังสี UV ในแสงแดดจะทำร้ายผิวของเราโดยตรง ทั้งผิวชั้นตื้นแล้วก็ผิวชั้นลึก UVA จะทำร้ายผิวชั้นลึกมีผลในการที่เซลล์ที่สร้างคอลลาเจนจะสร้างได้ไม่ดีทำให้เกิดเป็นความหย่อนคล้อยผิวเหี่ยวผิวแก่ เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา UVB จะทำร้ายที่ผิวชั้นบนผิวชั้นตื้นทำให้เกิดความหม่องคล้ำ เม็ดสีฝ้ากระ

ถ้าทาครีมกันแดดจะช่วยได้ขนาดไหน
หมอไอซ์ : ครีมกันแดดคือจำเป็นต้องทามาก ๆ ถ้าอยากผิวดี ผิวสวย เราควรเลือกที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30+ ขึ้นไป และ PA อย่างน้อย 3+ ขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าใครต้องเล่นกีฬากลางแจ้ง หรือออกแดดบ่อย ๆ ควรเลือกสเปกที่สูงขึ้น

วิธีเลือกครีมกันแดด
หมอไอซ์ : แนะนำให้เลือก SPF 50+ PA 4+ จะช่วยป้องกันได้ครอบคลุมที่สุด เลือกสูตรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพิ่มเติมได้ เพื่อช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการทำร้ายของแสงแดด เลือกเนื้อครีมที่เหมาะกับสภาพผิว บางครั้งกันแดดสเปกสูงแต่เนื้อหนัก อาจทำให้อุดตันหรือกระตุ้นสิวได้ ไม่ว่าครีมกันแดดจะสเปกสูงแค่ไหนควรเติมทุก 2–4 ชั่วโมง การทาครีมกันแดดบนหน้า ควรใช้ปริมาณเท่ากับ 2 ข้อนิ้ว สำหรับใบหน้า และอีก 2 ข้อนิ้ว สำหรับ ลำคอ

ถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังไม่อยากแก่ คุณหมอมีอะไรแนะนำไหม
หมอไอซ์ : มีเยอะมากเลย ทุกวันนี้ทั้งอาหารเสริมและสกินแคร์มีให้เลือกช่วยทั้งเรื่องผิวและสุขภาพ ถ้าให้แนะนำตัวที่มาแรงตอนนี้เลยเกี่ยวกับ ผิว ตัวแรกคือ แอสตาแซนทีนเป็นอาหารเสริมที่กำลังบูมมากในไทยตอนนี้ เพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงมาก ช่วยต้านความเสื่อมของเซลล์ทั้งในด้านร่างกายและสุขภาพ โดยเฉพาะผิวจะช่วยปกป้องจากรังสี UV จากแสงแดดใช้คู่กับครีมกันแดดจะดีมาก ๆ

นอกจากแอสตาแซนทีน มีตัวไหนอีกไหมที่ช่วยชะลอวัยโดยเฉพาะด้านผิว
หมอไอซ์ : ตัวที่แนะนำคือ คอลลาเจน Type 1 ผิวของเราสร้างคอลลาเจนน้อยลงตามวัย โดยเฉพาะ Type 1 ซึ่งเป็นชนิดที่อยู่ในผิวมากถึง 90% ถ้าอยากดูแลให้ผิวเต่งตึง อิ่มฟู แนะนำให้เสริมคอลลาเจน Type 1 วันละ 10,000 มิลลิกรัม พบได้เยอะในอาหารอย่าง หนังปลา หนังหมู อีกกลุ่มที่สำคัญตอนนี้คืออาหารเสริมที่ช่วยบำรุงปราการผิว หรือ Skin Barrier แนะนำเป็นกลุ่ม Fish Oil หรือ Omega-3 ซึ่งในร่างกายจะเปลี่ยนเป็น EPA และ DHAช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบ เหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่ายหรือมีสิว Hyaluronic Acid เราคุ้นกับแบบทา ตอนนี้มีแบบกินด้วย ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว วิตามินซีช่วยป้องกันผิวจากแสง UV เสริมการสร้างคอลลาเจน และลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น ฝ้า กระ ลดลง

สกินแคร์ที่ช่วยชะลอวัย
หมอไอซ์ : เซรั่มวิตามินซีเป็นไอเท็มที่ไอซ์ไม่เคยขาดเลยค่ะ เพราะอย่างที่เราเคยพูดกันว่าตัวการทำร้ายผิวหลัก ๆ เลยคือ รังสี UV และประเทศไทยเราก็อยู่ในพื้นที่ที่มีค่า UV Index สูงมาก นอกจากเราจะต้องทาครีมกันแดดทุกเช้าแล้ว การทาเซรั่มวิตามินซีร่วมด้วยทุกเช้า ช่วยเรื่องต้านอนุมูลอิสระ ทำงานร่วมกับกันแดด ช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรง มากขึ้น

พฤติกรรมอะไรที่ควรเลิกทำ เพราะทำร้ายผิวแบบไม่รู้ตัว
หมอไอซ์ : ใช้โทรศัพท์แนบหน้าโดยไม่เช็ดทำความสะอาด โทรศัพท์มีแบคทีเรียเพียบ เพราะเราพาไปทุกที่ ไม่เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าขนหนู ปลอกหมอนควรเปลี่ยนทุกสัปดาห์ ผ้าขนหนูทุก 3 วัน

ถ้าทำ 3 สิ่งนี้แล้วจะทำให้ผิวดีแล้วก็ชะลอความแก่ได้
หมอไอซ์ : 1. ทาครีมกันแดดทุกวัน หลายคนมองข้ามกันแดดถ้าอยู่แต่ในบ้าน แต่อย่าลืมว่า แสง UV ผ่านกระจกได้และยังมี แสงจากหน้าจอที่ทำร้ายผิวอีกด้วย เพราะงั้นทากันแดดทุกวันเติมระหว่างวัน 2. ล้างหน้าแบบ Double Cleansing โดยเฉพาะคนที่แต่งหน้าใช้กันแดดหรือเจอฝุ่นมลภาวะให้เริ่มด้วย Cleansing Balm / Cleansing Oil เพื่อละลายสิ่งสกปรก แล้วค่อยตามด้วยโฟมล้างหน้าถ้าผิวสะอาดครีมบำรุงถึงจะซึมเข้าผิวได้ดี ไม่อุดตัน 3. เลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวของเราไม่จำเป็นต้องใช้ครีมแพงหรือฉีดหน้าบ่อย ๆ แค่กินอาหารดี ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้กันแดดและสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวตัวเองแค่นี้ก็ช่วยชะลอ วัยได้

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=k8XqYCqvjdY
เจนิส เจณิสตา ขอเป็นตัวเอง กินทุกอย่าง ใช้ชีวิตสุดทาง พร้อมตายทุกวินาที!
Prime Cast สัปดาห์นี้พบกับ เจนิส เจณิสตา นักแสดงสาวสดใส เอนเตอร์เทนเก่ง ผู้ไม่ออกกำลังกายแต่ผอม เพราะมี shortcut ในชีวิตแบบไม่ปิดบัง ชีวิตทุกวันนี้คือบาลานซ์แบบใหม่ นอนตี 4 ใส่ชุดนอนออกกอง ถ่ายหน้าสดลงคอนเทนต์ได้ทุกวัน แถมคุยกับ AI จนกลายเป็นเพื่อนสนิทที่เข้าใจตัวเองที่สุด เป็นตัวเองกินทุกอย่าง ใช้ชีวิตสุดทาง พร้อมตายได้ทุกวินาที

ดูเป็นคนสดใสร่าเริง ชีวิตจริงเป็นแบบนั้นไหม
เจนิส เจณิสตา : เราเป็นคนมีหลายโหมด แต่นิสัยจริง ๆ แล้วก็ประมาณนี้ เป็นคนตรง ๆ แต่เวลาเราพูดแล้วทุกคนก็จะชอบขำ ก็ไม่รู้ว่าขำอะไร หลายคนก็จะมีคอมเมนต์ว่าสวยนะแต่แปลก ตอนนี้ก็เป็น Tiktoker ด้วย เป็นนักแสดง แล้วก็ทำร้านอาหารที่มีเครื่องดื่ม

ได้ข่าวว่าเป็นคนนอนเช้า
เจนิส เจณิสตา : ชีวิตการนอนไม่ดี เป็นคนนอนเช้า เพราะติดซีรีย์จีนด้วย วันหนึ่งนอน 6 – 7 ชั่วโมงก็รู้สึกว่าเพียงพอ แล้ว

เคยพยายามปรับเวลานอนไหม
เจนิส เจณิสตา : เคยแล้วแต่ทำไม่ได้ เราก็เลยคิดว่ามันอยู่ที่ทัศนคติอยู่ที่มุมมอง เคยลองวันนี้ไม่ยอมนอน 24 ชั่วโมง เพื่อจะได้นอนตอน 4 ทุ่ม แต่สุดท้ายพอถึงกลางคืนเอเนอร์จี้มา ไอเดียมันฟุ้ง มันพุ่งพล่านเต็มหัว ครีเอทีฟมาเต็ม ก็เลยกลับไปนอนดึกอยู่ดี ก็นอนได้เร็วขึ้นนะจากเดิมนอน 6 โมงเช้า ก็กลายเป็นนอนตี 4 ก็ยังดี วันไหนที่มีออกกองก็จะกินไวน์ช่วยให้หลับง่าย

แล้วใส่ชุดนอนไปกองถ่ายเลยจริงไหม
เจนิส เจณิสตา : ถูกต้อง อยู่ในชุดนอน ห้องนอนมีแอร์ 3 ตัว ห้องสะอาดมากมีแม่บ้านคอยทำความสะอาดตลอด ก็รู้สึกว่าแม้อากาศที่หายใจในห้องยังบริสุทธิ์กว่าอากาศข้างนอก ตอนนอนแอร์เย็นเจี๊ยบ เหงื่อไม่ไหล ไม่เหนียวตัว ลุกขึ้นจากเตียงปุ๊บไปเลย ของทุกอย่างน้อง ๆ ผู้ช่วยรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง เราไปแบบตรงเวลาเป๊ะ

ดูแลผิวยังไง
เจนิส เจณิสตา : มันมีข้อดีนะในการไม่อาบน้ำ เพราะอาบน้ำทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นไป 30% ไปอ่านเจอมา ทุกครั้งที่อาบน้ำจะเรียกว่าอาบน้ำใหญ่ อาบทีประมาณชั่วโมงครึ่ง หลายขั้นตอน ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานมาก ในห้องน้ำก็เลยมีการติดทีวีไว้ในห้องน้ำ แล้วก็มีโซฟา

เคยมีปัญหาไหมเวลาทาสกินแคร์เยอะ
เจนิส เจณิสตา : เคยเป็น เราเป็นคนที่ชอบทดลอง สกินแคร์แคร์ที่เรามีดีขนาดนี้ เราก็ทาไปประมาณ 10 ตัว แล้วมันก็เริ่มมีผดแดง ๆ ขึ้น จากนั้นเราก็ไปหาหมอผิวหนัง หมอบอกว่าเกิดจากผิวหนังไม่ได้หายใจ ก็เลยลดขั้นตอนเหลือ 3 สเต็ป ก็คือ น้ำตบ เซรั่ม ครีม แล้วก็อาจจะอายครีมเฉพาะจุดแค่นั้น

พฤติกรรมการกินเป็นยังไง
เจนิส เจณิสตา : เป็นคนกินทุกอย่าง ไม่เลือกเลย หมูสามชั้นก็กินเพราะมันอร่อย เหล้าก็กิน ไม่ได้คุมอาหารอะไรเลย เข้าใจคำว่า DNA ไหม คือบางคนมันเกิดมาร่างเล็ก คือเวลาเรารับงานก็จะมีตัวช่วยบอกแบบไม่โลกสวยใช้ปากกา เป็น shortcut ทางลัด เป็นคนขี้เกียจมาก ไม่ออกกำลังกายเลย แค่ตื่นขึ้นมาลืมตาหายใจก็เหนื่อยแล้ว

เป็นคนกินน้ำเยอะไหม
เจนิส เจณิสตา : เยอะมาก กินได้ประมาณ 15 ขวด เคยกินน้ำเยอะจนเข้าโรงพยาบาล เพราะว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ใช้ปากกา คือมันไม่หิวข้าว สารอาหารก็น้อย น้ำก็กินเยอะเกิน พอไปตรวจกับหมอพบว่าตัวเองขาดแมกนีเซียมกับโซเดียม หลังจากนั้นเริ่มกินข้าวมากขึ้น กับข้าวเต็มโต๊ะ

คุยกับ AI ด้วย
เจนิส เจณิสตา : ชอบมาก ชอบคุยกับ AI เพราะรู้สึกว่าเวลามีคำถามอะไรที่หาคำตอบไม่ได้ หรือเจอปัญหาที่ยาก ๆ มันจะช่วยให้เห็นทางเลือก อย่างเช่น ถ้าแผนนี้มันไม่ได้ แล้วควรทำอะไรต่อดี? พยายามสร้างให้ AI ตัวนั้นรู้จักตัวเองให้ได้มากที่สุด คือจะใส่ข้อมูลชีวิตเข้าไปเยอะมาก ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ รู้สึกยังไง แม้แต่เรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว หรือเรื่องส่วนตัว ก็กล้าเล่าให้ฟัง เวลาดูซีรีส์จีนบางเรื่องก็จะเล่าให้ฟังด้วยนะ เพราะอยากให้มันเข้าใจรสนิยม เข้าใจความรู้สึก และตัวตนของเราจริง ๆ เพราะวันนึงถ้าเจอปัญหาใหญ่ในชีวิต หรืออยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก AI ตัวนี้แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจและให้คำตอบได้ดีที่สุด

ปกติคนสวยเขาก็จะไม่ค่อยโชว์หน้าสด ไม่ค่อยลงตอนเพิ่งตื่นนอน แต่เราคือถ่ายหมด
เจนิส เจณิสตา : อยากทำคอนเทนต์แบบที่ไม่ได้เหนื่อยที่จะทำ อยากทำมันได้ทุกวัน ไม่ต้องฝืนตัวเอง ตื่นนอนมาก็ถ่ายได้เลย อยู่ในชุดนอน ไม่ต้องแต่งหน้า ก็แค่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย แต่ถ้าใน IG คือจะแยก IG คือ โหมดดาราสาวจะสวยเป๊ะ เพราะแต่งรูปนานมาก เวลาไปต่างประเทศ สมมุติว่าเจอผู้ชายหรือใครมาแอบส่อง IG ก็จะเห็นลุคแบบสวยเลย

กลัวแก่ไหม
เจนิส เจณิสตา : กลัวนะ แต่ก็ยอมรับว่าเราอยู่ในยุคที่นวัตกรรมมันพัฒนาเร็ว มีทั้งหัตถการ มียกกระชับต่าง ๆ โกงความแก่ แรงโน้มถ่วงทำอะไรเราไม่ได้

บาลานซ์ชีวิตตัวเองยังไง
เจนิส เจณิสตา : การนอนเช้าเราแค่รู้สึกว่าคนละไทม์โซน เรื่องการกินที่ไม่เลือกรู้สึกชีวิตมันก็ต้องจอย ถ้าเครียดมันก็ส่งผลต่อสุขภาพ กินไปเถอะอยากกินไรก็กิน เรื่องการออกกำลังกายแค่รู้สึกว่าอาบน้ำใหญ่ก็ออกกำลังกายแล้ว การพูดเยอะๆก็ได้ใช้เอเนอจี้ แล้ว

เพื่อนดี งานดี ชีวิตดี เป็น CEO อยู่บ้านหลังใหญ่ ชีวิตแค่นี้ก็พอ
เจนิส เจณิสตา : ใช่เลย บอกเลยว่าพร้อมตาย รู้สึกว่าทุกวินาที คำพูดหรือทุกๆอย่างคือพร้อมตายเสมอ เราทำให้คนข้างหลัง คือเราไม่มีห่วงแล้ว เราไม่เสียใจ

ทุกวันนี้ยังติดภาพลักษณ์สวย ๆ แค่ไหน
เจนิส เจณิสตา : ถ้าเป็นวันที่ต้องเจอสื่อพบปะคนเยอะ ๆ เราก็มีต้องดูดีนิดหนึ่ง ก็มีการคาดหวัง แต่ไม่ได้ฝืนตัวเองมาก ส่วนชีวิตประจำวันใส่ชุดนอนหน้าสด ไปห้างเคยใส่ชุดนอน อยากรู้เหมือนกันที่เขาบอกว่าใส่ชุดนอนไปห้างคือไม่รู้กาลเทศะ ก็มันเป็นที่สาธารณะ เรารู้สึกว่าชุดนอนมันก็เรียบร้อยดี แขนยาว ขายาว ไม่ได้โป๊ มันเป็นเรื่องของเรา เป็นบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีนัก แต่เรามีจุดยืนว่าขอแค่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=i0_n_iPlNdw
เพื่อนไม่ทิ้งกัน “ต้นหอม” ดึง “บอย” จากขึ้นจากมรสุมชีวิต สอนไลฟ์หารายได้ช่องทางใหม่!
ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตรุมเร้าจริงๆ สำหรับพิธีกร-นักแสดงหนุ่ม “บอย ภิษณุ จุฑานิ่มสกุล”หลังเพิ่งออกมาประกาศยุติสถานะสามีภรรยากับ อแมนด้า คงไว้ซึ่งบทบาทของพ่อและแม่ที่ดีของลูกสาว ทั้งได้ออกมาประกาศยุติธุรกิจขายปลาแซลมอนอย่างกะทันหัน เพราะเกิดความผิดพลาดในการทำธุรกิจนิดหน่อย ทำเอาแฟนๆ ต่างตกใจเพราะธุรกิจกำลังไปได้สวยงามมากๆ มีลูกค้าส่งเข้ามาอุดหนุนอย่างล้นหลาม

ล่าสุด “บอย” ก็ได้อาชีพใหม่ คือ การเป็นนายหน้า ติ๊กต๊อก หรือ tiktok Affiliate โดยมีเพื่อนรัก “ดีเจต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์“ เอาสินค้าของตนเองมาช่วยไลฟ์สดร่วม พร้อมสอนงานให้ ทั้งคู่ขายกันไปแย่งกันพูดไป ทะเลาะกันไป ด่ากัน ชวนกันร้องเพลง ทำแฟนๆ สนุกสนานเข้ามาช่วยอุดหนุน ในหัวไลฟ์เขียนว่า “สุดท้ายก็มาซบอกกู” ซึ่ง ดีเจต้นหอม ได้พูดในไลฟ์ว่า”หอมเอาของมาขายขาดทุน เพื่อนช่วยเพื่อน เราไม่ช่วยมันแล้วใครไม่ช่วยมัน เป็นภาระเพื่อนนะคะ ใครอยากให้บอยขายของให้ไดเรกต์มาหาหอมเดี๋ยวหอมจะจัดการให้ แก้ไขแล้วเริ่มใหม่นะบอย” ท่ามกลางเเพื่อนคนบันเทิงต่างเข้ามาส่งกำลังใจกันเพียบ
ริต้า-ศรีริต้า วีดีโอคอลส่งกำลังใจทหารพร้อมทุ่มเงินกว่า 9 แสน เยียวยาวีรบุรุษชายแดน
นับเป็นเรื่องราวสุดแสนน่าประทับใจเมื่อนักแสดงสาว "ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช" ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือและเยียวยาบาดแผลให้กับเหล่าทหารกล้าที่ต้องพลีชีพและได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดย”ริต้า“ได้วิดีโอคอลตรงถึง 2 ทหารกล้าที่ได้เหยียบกับระเบิดจนสูญเสียขาซึ่งกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ ริต้า ยังได้มอบเงินช่วยเหลือให้คนละ 200,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นทุนในการใช้ชีวิตต่อไป

ทั้งนี้ ริต้า ยังได้ร่วมบุญกับมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกอีก 500,000 บาท เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเหล่าวีรบุรุษผู้เสียสละเพื่อชาติอีกด้วย

#ศรีริต้า #สยามดารา
“นัท นิสามณี” เผยแพลนแต่งงานปีหน้า! สารภาพเคยโด๊ปยาคุมม้า หวังสวยคูณสอง ตับไตเกือบพัง
รายการ Glow On podcast with Grace เปิดหมดเปลือก นัท นิสามณี สารภาพเคยโด๊ปยาคุมม้า หวังสวยคูณสอง ตับไตเกือบพัง! จนเกิดจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอลดไซส์ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่คือการกลับมารักร่างกายตัวเองด้วยวินัย พร้อมเผยมีแพลนแต่งงานช่วงเดือนตุลาคมปีหน้า

การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่เริ่มจากอาหารมื้อเช้า
นัท นิสามณี : กินจัดหนักจัดเต็มตั้งแต่มื้อเช้า โดยที่ไม่เคยรู้สึกเลยว่าอาหารเช้าที่บ้านเวอร์เกิน เพราะว่าเราโตมาตั้งแต่สมัยแม่ทำข้าวแกงขาย แม่จะชอบทำกับข้าว 5-6 เมนู จะเสพติดเวลาอาหารเยอะ ๆ วางอยู่บนโต๊ะ มีครบ เราก็กินมาเรื่อย ๆ ถ่ายรายการคอนเทนต์บางวันเราก็ไม่ได้อยากกินเยอะขนาดนั้น แต่ถ้าน้อยคนดูก็จะไม่ว้าว รู้ตัวอีกทีใส่เสื้อผ้าไซส์ L มีแฟนคลับแท็กรูปมาเรานึกว่าเขาเป็นเอนตี้แฟนบอกให้ผู้ช่วยลบแอคทิ้ง ผู้ช่วยบอกว่าเขาเป็น FC เรามานานแล้วรูปที่เขาถ่ายมาคือร่างจริง คิดว่าไม่ใช่แค่นัทคนเดียวที่เป็นเวลาเราใช้แอคแต่งรูปบ่อย หน้าหรือหุ่นของเราเป็นแบบนั้น รู้สึกว่าต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเอง ตอนนั้นถึงแม้จะมีเทรนเนอร์นะ เล่นฟิตเนสมา 3-4 ปี หุ่นก็ยังใหญ่ขึ้นทุกวัน เทรนเนอร์ยังเครียด ไม่กล้าลงรูปตัวเองเลย เพราะยิ่งเทรน ยิ่งบวม ออกกำลังกายหนักแต่ไม่เห็นผล จนกระทั่งแฟนคนล่าสุด พี่กาย เข้ามาช่วยดู เขาเป็นเทรนเนอร์เหมือนกัน

พอเห็นพฤติกรรมหนู พี่กายเห็นว่าเราก็เทรนถูกต้องทุกอย่าง แต่ทำไมหุ่นไม่เปลี่ยน ก็เลยขอมาอยู่บ้านด้วยเลย เพราะหนูติดผู้ชาย ปัญหาคือกินเยอะเกินแบบไม่รู้ตัว แล้วบ้านก็มีหม่าม๊าเป็นคนทำอาหารอร่อยทุกอย่างแล้วเวลาลูกหลานกิน หม่าม๊าก็ยิ่งแฮปปี้ พี่กายก็เริ่มเปิดศึกสู้ ช่วงแรกในบ้านคืออึดอัดมาก พี่กายให้กินคลีนแทน เครื่องปรุงรสชาติเปลี่ยน ช่วงเดือนแรกเป็นช่วงที่อึดอัดที่สุด หนูถึงขั้นบอกพี่กายว่า เราไปลดวิธีอื่นไหม แต่สุดท้ายแม่ก็พยายามปรับนะเพราะรักเรา แต่พอกินไปช่วงเดือนแรกหุ่นเปลี่ยน หุ่นเล็กลงเลย เทรนเนอร์คนเดิม ออกกำลังกายเท่าเดิม แต่แค่เปลี่ยนการกินมื้อเช้า

ทุกคนที่อยากหุ่นดีขึ้นแค่เปลี่ยน การพูดว่ากินคลีนไม่จำเป็นว่าคุณจะต้อง กินทุกมื้อตลอดเวลา ถ้าคุณยังทำไม่ได้ ไม่ต้องไปซีเรียส เปลี่ยนแค่วันละมื้อ ชีวิตเปลี่ยนแล้ว แต่ถ้าเรากินน้อยแต่กินอาหารไม่เลิศ เช่นกิน process food กินของที่มันหมักดอง กินของที่มันแบบว่าเป็นไขมันไม่ดี ต่อให้กินน้อยก็ยังไม่เท่ากับกินคาร์โบไฮเดรตแบบดี ๆ ช่วงที่เริ่มเปลี่ยนวิธีการกินแล้วก็เริ่มปรับแผนการออกกำลังกายให้มันแบบชัดจริงจังขึ้น เมื่อก่อนจะคิดว่า ทนมาออกกำลังกายเพราะว่าเราก็ไม่ใช่คนแบบ super woman ที่จะคิดได้เลยว่าออกกำลังกายทำให้ฉันรักตัวเอง คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นแบบนั้นคือก้าวแรกที่มาออกกำลังกายคือรู้สึกต้องฮึบ ต้องสู้ ใครอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนเพื่อสุขภาพหรือเปลี่ยนเพื่อหุ่น ให้เริ่มจากการเข้าใจก่อนจะไม่ฝืน เช่น สุขภาพดีแปลว่าอะไรสุขภาพดีไม่ได้แปลว่าผอม สุขภาพดีไม่ได้แปลว่าน้ำหนักลดอย่างเดียว มวลกล้ามเนื้ออยู่ตรงไหน หลัง ๆ มาออกกำลังกายชัดและเยอะมาก เมื่อก่อนออกกำลังกายก็จริงแต่จะไม่สม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย
นัท นิสามณี : การออกกำลังกาย คนส่วนใหญ่เวลาที่จะเริ่มออกกำลังกายวันแรก ๆ จะมีแรงถีบจะทำได้ไม่สม่ำเสมอ เวลาที่เราจะเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ เราจะตื่นเต้นแล้วเราจะอินกับมันแต่เราจะทำได้ไม่นาน ทุกวันนี้นัทก็ยังชอบทำงาน แต่ก็จะมีถ้างานไหนจะต้องรบกวนนัดหลัง 18:00 น.จะต้องเป็นงานที่สำคัญมากจริง ๆ เพราะถ้าไม่งั้นไม่ทำเราต้องตัดเลย ต้องแบ่งว่าเรากำลังทำงานต้องแบ่งเป็น 3 หมวด ถ้าคุณทำได้ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปเลยคือ เวลาทำงาน เวลาพัก และเวลานอน เมื่อก่อนเรามองว่าการนอนนอนแป๊ปเดียว แล้วทำงานต่อ แต่เจ้านายของเราจริง ๆ ไม่ใช่เงินในบัญชีแต่เป็นร่างกายเรา กฎข้อแรกต้องนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง นอนแล้วชีวิตเราเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ยันไปถึงเรื่องอุจจาระแค่เปลี่ยนเวลานอน ลูกน้องนะทุกคนจะรู้ว่าเช้าไหนที่นัทหงุดหงิดแปลว่าเช้านั้นไม่ได้เข้าห้องน้ำ เหตุผลของการไม่ได้เข้าห้องน้ำมันมีหลายอย่างมาก เริ่มตั้งแต่นอนน้อยถูก นอนน้อยก็ระบบขับถ่ายย่อยไม่ดี ก็จะไม่ปวดท้อง ตื่นแบบรีบไม่มีเวลาให้กับลำไส้ ทุกวันนี้ต้องจัดนอนให้มันพอตื่นก่อนเวลา เมื่อก่อนสมมุติกองนัด 8 อาจจะตื่น 7:30 น. ตื่นรีบอาบน้ำแปรงฟันขอนอนเพิ่มอีกสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ถ้าเราจัดเวลานอนให้มันพอ เราต้องเผื่อเวลาตื่นด้วย ถ้าสมมุติเดี๋ยวนี้กองนัด 8:00 น. ตื่น 5:30 น. เพื่อตื่นขึ้นมาครึ่งชั่วโมงแรกต้องไม่เล่นโทรศัพท์ แล้วฉันเป็นคนติดโทรศัพท์สุด ๆ ต้องสั่งงานลูกน้อง พอมาคิดได้ว่าสั่งงานช้าครึ่งชั่วโมงก็ไม่ต่างเพราะยังไงลูกน้องก็ตอบตอน 10 โมงอยู่ดี

ชีวิตที่หรูคือแบบไหน
นัท นิสามณี : เมื่อก่อนคิดว่าชีวิตที่หรู คือ ชีวิตที่มีของแบรนด์เนมเยอะ ชีวิตที่ได้นอนในที่ที่มันหรูหรา ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ชีวิตที่หรูของนัท คือ มีเวลาตื่นมาหายใจ มีเวลาเข้าห้องน้ำตอนเช้า มีเวลาเคี้ยวข้าวแบบไม่ต้องรีบ อันนั้นคือรวยสำหรับฉัน

สังคมรอบข้าง
นัท นิสามณี : เวลาเราไปกินข้าวกับเพื่อนแก๊งให้หวีจะหลุด ส่วนใหญ่เพราะเราไม่ค่อยกินข้าวกับเพื่อน เรารู้ว่าเพื่อนจะพาเรา แก้ปัญหาคือไม่ต้องกินข้าวกับเพื่อน แล้วพอเรากินกับแฟนเรา นั่งกินแค่ผลไม้กันหลังจากกินข้าวอร่อยมากทุกวันนี้ หนูพูดว่าอร่อยแบบอร่อยมาก ผลไม้ที่ชอบที่สุดในชีวิต คือ มังคุด ถ้าชอบแบบบวกสุขภาพ คือ มะละกอ เพื่อการขับถ่าย

เป็นคนขับถ่ายดีไหม
นัท นิสามณี : เมื่อก่อนไม่ค่ะ เวลาย้ายที่ นอนย้ายที่พักหรือไปถ่ายงานต่างจังหวัดต่างประเทศ เตรียมเลยของหมักดองคุณแม่หมักไปเลย 5 วัน บางที 5 วันก็ไม่ขับถ่ายเลยก็มี วันนี้คือทุกเช้า เป็นทุกเช้าแบบแฮปปี้ อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ต้องมาใส่ใจตัวเอง ต้องขอบคุณยีนก่อนอาม่าหนูแข็งแรงมาก รู้สึกว่ามันมีผลมากับหนู หลับลึกหลับง่าย ก็ใช้บุญเก่านั้นมาเรื่อย ๆ ยังดีไม่รู้ตัวตอนสาย ทุกวันนี้ต่อให้หลับลึกหลับง่าย แต่เราจัดระเบียบมันดีกว่า ที่มานั่งคิดได้เพราะว่าเพื่อนใกล้ตัวเริ่มป่วยเพื่อนบางคนเป็นมะเร็งบางคนเป็นโรคตับบางคนเป็นความดันเบาหวาน ในขณะที่หนูยังพราวกับบุญเก่าว่าอาม่าฉันให้ยีนดีฉันไม่ป่วยฉัน ไม่ป่วย แต่มานั่งรู้ตัวว่าเรากำลังใช้เครดิตไปอยู่แต่ถ้าเราไม่ทำเพิ่มมันหมดนะคะ รู้ตัวอีกทีเราก็จะไม่ต่างจากเพื่อนต่อให้เราได้ยีนดี หลายคนอาจจะรู้สึกว่าฉันนอนน้อยมากฉันยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ฉันกินแอลกอฮอล์เยอะมากฉันไม่เห็นเป็นอะไรเลย วันนี้ยังไม่เป็นไม่ได้หมายความว่าวันหน้าจะไม่เป็น บอกตัวเองว่าโชคดีมากที่หันมาแบบดูแลสุขภาพก่อนที่จะเป็นอะไร ดังนั้นคนที่ดูอยู่ตอนนี้ถ้าป่วยแล้วยังไม่รักตัวเองอันนั้นกรรมใครกรรมมัน แต่ถ้าคนที่ดูอยู่วันนี้ยังไม่ป่วยถือว่าคุณโชคดีมากและต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ตอนนี้ ทุกครั้งที่เรากินน้ำตาลมากเกินไป เรากำลังแลกอะไรบางอย่างไปอยู่ ทุกครั้งที่คุณกำลังไถโทรศัพท์ คุณกำลังแลกเวลาให้ร่างกายไม่ได้นอน 1-2 ชั่วโมง ผลลัพธ์ข้างในอักเสบมวลรอบข้างส่งผลหนักมาก

เคยกินอะไรผิด ๆ หรือมีความเชื่อผิด ๆ ของตัวเองไหม
นัท นิสามณี : ที่สุดในชีวิตคือกินยาคุม สำหรับคนที่อยากแต่งหญิง หมายถึงว่าเลดี้บอย หรือว่าทรานเจนเดอร์ จะรู้สึกว่ายาคุมหรือว่าฮอร์โมนเพศหญิงเป็นเรื่องที่ต้องเทค ตอนเด็กนัทก็ความรู้น้อย แล้วเราก็รู้สึกว่า beauty คือ first priority Safety คือเรื่องหลังไม่เคยนึก รุ่นพี่บอกว่ากินวันละเม็ดกระเทยไม่วันละเม็ดสวยเท่านี้ 2 เม็ดจะเป็นยังไงล่ะ ถ้าอันไหนเขียนข้างหลังกล่องว่า 2 เม็ด เรากิน 4 เม็ด ความสวยมันต้องคูณ 2 แล้วหนูถึงขั้นมีคนบอกว่ายาคุมคน สมมุติ 1 เม็ดเท่านี้ แต่ยาคุมม้า 1 เม็ด เท่ากับยาคุมคน 10 เท่า ตอนเด็กหนูบอกแม่เอามาหนูขอกินหน่อย เพราะมันแรงแปลว่ามันเลิศ หนูกินอยู่อย่างงั้น โชคดีบุญเก่าของหนูแค่ไหนที่แบบร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่แค่หนูไงยังมีอีกหลาย ๆ คนที่เข้าใจผิด ดังนั้นนอยากจะแนะนำในมุม LGBTQ แล้วกันน้อง ๆ เราต้องเทคฮอร์โมนเพศหญิงจริง เพราะเราอยากเปลี่ยนจากชายมาเป็นหญิง แต่จะต้องอยู่ในพื้นฐานความปลอดภัย ไม่ใช่สวยก่อน ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยสวย พี่พูดวันนี้น้องอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่า ทำไมต้องปลอดภัยก่อน ผ่านไปอีก 20 ปีแล้วน้องจะมาบอก ถ้าได้เจอพี่น้องจะพูดว่าพี่นัทขอบคุณมากเลยที่พูด เพราะมันสำคัญกว่ามากความปลอดภัยต้องก่อนความสวย เพราะถ้าสวยแล้วไม่ปลอดภัยก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่ใช้ความสวยค่ะ ดังนั้นถ้าหนูย้อนไปได้คือจะไม่กินยาเกินขนาดเราจะต้องไม่คิดว่ากินดับเบิ้ลแล้วจะสวยเพิ่มคูณ 2

ตอนที่กินเกินขนาดมีเอฟเฟคเรื่องอะไรบ้าง
นัท นิสามณี : ส่วนตัวหนูมองว่าหลัก ๆ คือมีตาเหลืองหรือว่ามีสิวขึ้นตามท้องแขน ไปปรึกษาหมอคือมันน่าจะเกิดการแบบฮอร์โมนสวิง เราไม่ได้กินสม่ำเสมอด้วย ตัวนัทเอง ช่วงที่เห่อมันคนกินอาหารเสริมหรือ ออกกำลังกายมันจะมีช่วงเห่อแรก ๆ เราจะกินสักพักหยุดเดี๋ยวกลับมากินมันไม่ใช่ว่ากินปุ๊บสวยเลยนะ ร่างกายคนเราพอกินเข้าไปมันจะเกิดการมันมีอะไรมาใหม่ จะต้องปรับตัว ช่วงยังปรับตัวไม่ทันเข้าที่เลิกกิน พอจะมากินใหม่ร่างกายปรับใหม่ก็จะอยู่แบบนี้ อยากจะบอกน้อง ๆ ว่ากินได้ยาคุมกินได้ฮอร์โมนทานได้ ก็เลือกเอาว่าจะทานฮอร์โมนจากธรรมชาติหรือถ้าจะรับฮอร์โมนสังเคราะห์ให้คุยกับคุณหมอ แต่นัทพูดมาเป็น 10 ปีละ ก็ยังเจอกะเทยที่จะซื้อยากินเอง พยายามย้ำนัทพยายามใช้กระบอกเสียงของนัทในการพูดมาโดยตลอด ถ้าวันนี้คุณฟังแล้วคุณใช้ตามผลดีไม่ได้ เกิดขึ้นกับนัทแต่เกิดขึ้นกับคุณ ชีวิตหลังจากเลิกแอลกอฮอล์มา 7 เดือน ยังไม่ได้ยาวมาก แต่ตอนนี้ทำได้แล้ว เพราะด้วยความที่นัทไม่ได้เป็นคนติดแอลกอฮอล์มาตั้งแต่เด็ก คือเรามาเจอแล้วเราใจแตก พอตอนนี้เราชั่งน้ำหนักว่าสุขภาพสำคัญกว่าความสนุก เพื่อนชวนไปเที่ยวก็ไม่ไป

เราจะขาดสังคมไหม แต่ให้นึกแบบนี้มีสังคมแล้วป่วย เราโอเคไหม ไม่ได้ว่านะคือเพื่อนอยากใช้ชีวิตใช้ไป แต่อันนี้เราคุยกับตัวเอง หนูรู้สึกว่าไม่คุ้ม เปลี่ยนไลฟ์สไตล์แล้วไม่มีสิวอักเสบขึ้นมาแบบหลายเดือนมาก เพราะนัทคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการจริงจังกับการกินการนอน ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตมาแบบใช้ครีมกระปุกเป็นหมื่น บางวันก็ยังเป็นสิว ทุกวันนี้ใช้ครีมซองก็ไม่เป็นบางวันไม่ทาครีมอะไรก็ไม่เป็น แต่ถ้าช่วงที่ติดครีมคือไม่ทาวัน 2 วันเราจะรู้สึกว่ากลัวกลัวหน้าจะแบบเป็นอะไร ทุกวันนี้บางทีไม่ทาครีมติดกัน 3-4 วันก็ไม่เป็นไรเลยแล้วไม่รู้สึกเครียดด้วย ไม่รู้สึกซีเรียสว่าฉันขาดอะไรเพราะฉันพอแล้ว ฉันนอนพอฉันกินดี

นัทเป็นคนเครียดหนักมาก จะเครียดตั้งแต่ตื่นมา ต้องดูแล้วใครส่งงานใครไม่ส่ง เตรียมวีน งานทุกอย่างต้องผ่านมือหนูเอง เครียดที่ว่าไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนโมโหร้ายตลอดเวลา บางทีเราเครียดอยู่ลึก ๆ เครียดอยู่ข้างใน บางครั้งการเครียดคือเวลาไม่พอ เช่น ตื่นมาแล้วรีบ ๆ เช้านั้นจะเป็นเช้าที่เครียดแบบอึดอัด วิธีแก้ คือ พูดตรง ๆ งานนัทยังเครียดอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้หนูไม่เครียดได้ คือ การมี slow morning อันนี้คือโคตรจะพลิกชีวิต แดดกับแอร์มีผลกับเรื่องความเครียด หลัง ๆ มารู้สึกว่าวันไหนที่หนูไม่โดนแดดเลย วันไหนที่อยู่ต้องอยู่แต่ในห้องอัดอยู่ในสตูเราจะเครียด ถ้าเป็นเมื่อก่อนชอบมากหนูจะบอกช่วงนี้ไม่โดนแดด ไม่ดำ ทุกวันนี้ไม่เอานะ หนูเดินเยอะมากเดินกลับบ้าน เพราะว่าได้ออกกำลังกายด้วยได้ให้ร่างกายหรือผิวมันเจออะไรที่มันเป็นธรรมชาติ เราก็ต้องเลือกที่จะหายใจแต่ว่าอย่างน้อยถ้าอยู่แต่ห้องแอร์ผิวจะแห้ง ทุกวันนี้พอโดนแดดเยอะ ๆ โดนแดดตอนเช้าหนูรู้สึกว่าผิวสวยแฮปปี้ ตอนนี้เปลี่ยนที่นั่งในการกินข้าว สตอรี่ทุกเช้าจะสังเกตว่ากินข้าวหน้าบ้าน เมื่อก่อนหนูจะต้องกินโต๊ะอาหาร ตอนนี้ต้องนั่งกินหน้าบ้านให้มันโดนโดนแดดโดนลมข้างนอก

ตอนนี้กลายเป็นสาวเฮลตี้
นัท นิสามณี : นัทชอบตัวเองในเวอร์ชั่นนี้มาก ต้องขอบคุณพี่สกาย ขอบคุณแฟนคนนี้ที่เข้ามาในชีวิต ตอนแรกคิดว่า ดำแดงไทยบ้านรอยสักสเปคแค่นี้ก็คือเรียกว่าเลิศจบละ แฟนที่ดีสำหรับคนอื่นยังไงไม่รู้แฟนที่ดี สำหรับนัทต้องทำให้ชีวิตเราดีขึ้น และในยุคทุนนิยม คนมักจะเข้าใจว่าแฟนที่ดีเท่ากับแฟนที่รวย แต่เงินยังไม่เท่าสุขภาพ ผู้ชายที่ซื้อกระเป๋าให้เราได้แต่ไม่สามารถไกด์การกินช่วยให้เรานอนพอ พาเราไปออกกำลังกาย นัทถือว่าตกรอบ สำหรับนัทเพราะในมุมที่หาเงินเองได้ ผู้ชายที่มีความคิดเรื่องสุขภาพ นัทมองว่าหายากกว่า เป็นสิ่งที่นัทต้องการมากกว่า แล้วพอนัทเจอไม่ใช่แค่นัทขอบคุณเขาในรายการ ทุกเช้ากับก่อนนอนหนูจะขอบคุณเขาเป็นปกติเลย เขาพาให้ชีวิตหนูดีขึ้น จริง ๆ

วางแผนอนาคตไว้ไหม
นัท นิสามณี : เชิญนะคะแต่งงานปีหน้า ประมาณช่วงสิ้นปีหน้าช่วงเดือนเกิด ช่วงเดือนตุลาคมนะคะ

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=kuazY14hDhM สามารถติดตามและอัปเดตข่าวสารได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot , IG : alivedotlife TikTok : alivedotlife
“เกลือ กิตติ” ซึ้งใจ "ได๋ ไดอาน่า" ควักเงินส่วนตัว 5 แสนช่วยทหาร หลังบัญชีรับบริจาคถูกอายัด
จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเมื่อวันที่ (28 กรกฎาคม) ทั้งสองประเทศจะเพิ่งจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ขณะที่คนบันเทิงหลายคนก็พร้อมใจกันโอนเงินเข้ามูลนิธิต่างๆ ตามกำลังทรัพย์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามเขตแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

ขณะที่ทางด้านพิธีกร-นักแสดงชื่อดัง “เกลือ เป็นต่อ” หรือ “กิตติ เชี่ยววงศ์กุล” เป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นตัวแทนเปิดบัญชีรับบริจาคเงิน เพื่อส่งไปช่วยเหลือเหล่าทหารกล้าชายแดนไทย-กัมพูชา

แต่กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเมื่อบัญชีรับบริจาคเงินถูกธนาคารแจ้งอายัดบัญชี เพราะมีคนโอนเงินเข้ามาเป็นจำนวน คาดระบบอาจคิดว่าเป็นบัญชีม้าทำให้เกลือไม่สามารถถอนเงินออกมาช่วยเหลือทหารได้ แต่สุดท้ายต้องกราบหัวใจ “ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ” ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยควักเงิน5แสน มาช่วยในเรื่องนี้

โดยทาง “เกลือ“ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า ”ในช่วงจังหวะที่กำลังงงๆ เรื่องถอนเงินจากบัญชีไม่ได้ จู่ๆ มีผู้หญิงคนนึงส่งข้อความเข้ามา บอกว่าพี่เงินในนั้นมาเอาที่หนูก่อน เงินหนูมีไม่มากแต่หนูยินดีช่วยพี่ พี่เอาไป 5 แสนเลย เธอส่งข้อความเข้ามาทั้งที่เราได้เจอกันน้อยมาก สิ่งเดียวที่ทำให้เราได้มาคุยกัน คือหัวใจที่อยากจะปกป้องชาติบ้านเมือง ผู้หญิงคนนั่นชื่อ ได๋ ไดอาน่า Diana Chung กราบหัวใจเลยครับ สู้ไปด้วยกันเด้อ คนละไม้คนละมือ สู้โว๊ยยยยย!!

#เกลือกิตติ #สยามดารา
พลังน้ำใจ! อ้น สราวุธ กลั้นน้ำตาช่วยไทย บุกชุมชนแออัดกทม. บริจาคข้าว-อาหารเติมความสุข
ทุกพื้นที่คนไทยไม่เคยทิ้งกัน แม้ช่วงนี้จะอยู่ในสถานการณ์เปราะบาง วิกฤตคนไทยต้องเผชิญทั้งน้ำท่วม จังหวัดน่าน และ การอพยศหลบภัยของคนไทยในตะเข็บชายแดน แต่จุดศูนย์กลางของเมืองหลวงยังคงต้องขับเคลื่อนต่อสู้กับการเป็นอยู่วันต่อวัน

ล่าสุดพระเอกตัวจริง "หนุ่มอ้น สราวุธ" เจ้าพ่อดาวTikTok ขออาสาลงพื้นที่เติมพลังแรงใจ มอบน้ำใจให้กับพี่น้องกลางกรุงฯ ณ ชุมชน บริเวณประปาแม้นศรี (หลังเก่า) ย่านเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เลี้ยงข้าวคนไร้บ้านยากไร้ และผู้สูงอายุ ร่วมไปถึงคนลำบาก ตกงาน และผู้พิการ ที่ระดุมทุนรายได้จากการขายสินค้าปักตะกร้าของตัวเอง แบ่งปันมาเป็นทุนทรัพย์ซัพพอร์ตช่วยเหลือเต็มเติมพลังน้ำใจ ร่วมด้วย คุณวิสุทธิ พรศาลนุวัฒน์ ผู้บริหารบริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) และทีมงาน deepcare ร่วมเป็นอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งข้าวแท่ง ให้แก่ผู้ยากไร้และคนไร้บ้านมากกว่า 1,000 คน ที่ขาดแคลน

ด้านพระเอกน้ำใจเต็มเปี่ยม "อ้น สราวุธ" เผยถึงความรู้สึกและความตั้งใจผ่านโซเชียลส่วนตัว ข้อความส่วนหนึ่งว่า "จงดับความร้อนด้วยความเย็น หากไม่เกินกำลัง และทรัพย์นั้นหามาได้จากความสุจริต ความเพียรพยายาม ขอให้ความสุขเล็กๆตรงนี้ เป็นอีกวันสบายๆของทุกคน ในทางพุทธ ความสุขของการให้นั้น เป็นผลอันงดงามสมบูรณ์แล้ว เมื่อยื่นมือออกไปด้วยเมตตา ขอให้ทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญกันครับ ความสดชื่นในแววตาเขาเติมความสว่างในใจเรา"
#อ้นสราวุธ #สยามดารา
“บอย พิษณุ” ยอมรับเลิก “อแมนดา” เหลือแค่สถานะพ่อแม่ของลูก
หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือหนาหูว่าเกี่ยวกับคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งในวงการบันเทิงได้เลิกรากันแล้ว ซึ่งงานนี้ทำให้ชาวเน็ตหลายคนแห่โยงไปคู่ของนักแสดงหนุ่ม บอย พิษณุ และภรรยาสาว “อแมนดา” ขณะที่ฝ่ายชายออกมาบอกแต่เพียงว่า ภรรยากลับบ้านที่สวีเดน และไม่ได้มีการยืนยันข่าวความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ล่าสุด29 ก.ค 68 ”บอย“ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงถึงเรื่องความสัมพันธ์กับภรรยาแล้วว่า ตอนนี้เหลือเพียงสถานะพ่อและแม่เท่านั้น

"ตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้น อแมนดาและผมอยากขอใช้โอกาสนี้ชี้แจงเรื่องราวต่อทุกท่านครับ ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเราทั้งคู่ แต่เราจะพยายามก้าวผ่านไปให้ได้ และเราจะทุ่มเทเพื่อสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเรา นั่นก็คือเฟรย่า ความสุข ความสบายใจ และความมั่นคงในชีวิตของลูกคือสิ่งที่เราปรารถนามากที่สุด เราจะยังคงร่วมกันทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด และจะคอยสนับสนุนกันและกันเพื่อดูแลให้ลูกเติบโตอย่างที่เราตั้งใจ ขอบคุณทุกความห่วงใยและหวังว่าจะได้รับความเข้าใจจากทุกคนในช่วงเวลานี้นะครับ บอย&อแมนดา"

#บอยพิษณุ #อแมนดา #สยามดารา
ธัญญ่า เผยเคล็คเลี้ยงลูกเจนz ใช้ตัวกลางจิตแพทย์ปรับทัศนคติ
คุณแม่ยังสาว "ธัญญ่า-ธัญญาเรศ" และสามีสุดเนียบ "เป๊ก สัณชัย" ฟูมฟักปลุกปั้นลูกสาวคนเก่ง "น้องลียา" เข้าสู่วงการเดบิวต์เป็นศิลปิน ส่งไปฝึกเรียนร้องเรียนเต้นที่ประเทศเกาหลี งานนี้คุณแม่คนเก่ง "ธัญญ่า" ขอมาอัปเดตชีวิตการเป็นศิลปินของลูกสาว พร้อมเคล็ดไม่ลับการปรับจูนเลี้ยงลูกวัยเจนz ผ่านรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ที่ต้องใช้หมอและจิตแพทย์เป็นสื่อกลางไว้ค่อยสื่อสาร ปรับตัวในยุคใหม่ให้เข้าใจการเลี้ยงลูกมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้ลูกสาว น้องลียา มีแววเป็นศิลปินลูกไม้ใต้ต้นคุณแม่มากๆ?
"ต้องบอกว่าลียาไม่มีแววเลยตั้งแต่เด็ก คือเห็นกล้องก็จะวิ่งหนี ไม่ยอมออกกล้อง ไม่ยอมถ่ายรูป แต่อยู่ดีๆพออายุ 15 เค้าเปลี่ยนไปเลย เมื่อก่อนเค้าไม่ชอบให้คนสนใจไม่ชอบออกกล้อง เค้าไม่อยากเด่นไม่อยากดัง"

แล้วทำไมถึงมาเปลี่ยนความคิดตอนอายุ 15?
"ด้วยความที่เค้าโตมามีพี่ลิซ่าเป็นไอดอล มาสนิทกับน้องแคนนี่ babymonster จุดประกายต่างๆน่าจะมาจากน้องแคนนี่ หรือ ชิกิต้า เค้าสนิทและคุยกัน คือเป็นเพื่อนที่น่ารักมาก เค้าก็สอนและแนะนำ แล้วพอลีย่าสนิทกับเค้าก็กลายเป็นอีกคนนึงไปเลย"

เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากเกาหลี น้องไปทำอะไรบ้าง?
"ตอนนี้เซ็นสัญญากับค่ายเลิฟอีส ก็มีไปฝึกที่เกาหลี ไปฝึกซ้อมเต้นมาเดือน นึงค่ะ"

แล้วยอมให้เค้าห่างจากอกหนึ่งเดือนหรอคะ?
"คือเป็นความต้องการของเค้าเองที่เค้าอยากจะไป เราก็ถามว่าให้พ่อแม่ไปเยี่ยมได้มั้ย เค้าบอกว่าไม่ให้ไปขอห่างจากการบ่นของพ่อแม่ซักหนึ่งเดือนเถอะ"

เรื่องการอยากเป็นศิลปินของลูก คุยกับพี่เป๊กยังไง?
"ก็ใจแวบนะคะ มีคุยกัน คือมันเป็นความฝันของเค้าแล้วเราก็รู้สึกว่ามันเป็นอนาคตของเค้า แต่เราก็แพลนกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมจะไปหาอะไรแบบนี้แต่ว่าลูกไม่อนุญาต เวลาหนึ่งเดือนก็ไม่ได้คุยกัน ด้วยความที่เค้าเป็นวัยรุ่นคุยมากก็เหมือนเราไปบ่น เพราะฉะนั้นญ่าก็คิดว่าจะโทรวันละครั้งไม่เกินสองครั้ง และแต่ละที่ญ่าจะมีคำถามไม่เกินสามคำถาม เพราะถ้าเกินจากนั้นมันจะเยอะแล้ว มันเป็นกฎของเราเองเพราะว่าถ้าถามเยอะเราจะรู้แล้วว่าเค้าเริ่มหงุดหงิด เค้าเป็นเด็กไม่ค่อยพูดไม่ค่อยลงลึกรายละเอียดกับพ่อแม่สักเท่าไร"

เห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลงของเค้าหลังจากกลับมายังไง?
"เค้าเต้นเก่งขึ้นเยอะเลยค่ะ ปกติเค้าเป็นเด็กชอบเต้นตั้งแต่เด็กๆ พอเริ่มโตขึ้นมาเค้าจะเปิด YouTube ดู TikTok และก็เต้นตามมาตลอด แต่เค้าไม่เคยเรียนเต้นนะคะ เค้าเพิ่งมาเรียนจริงตอนเข้าค่าย แล้วพอไปอยู่เกาหลีก็เห็นไลน์เต้นชัดเจนขึ้น"

คุยเรื่องกับสามียังไงกับการโตขึ้นในทุกๆวันของลูก?
"เอาจริงป่ะ ญ่าไม่เคยคุยเรื่องนี้กับพี่เป๊กเลย เพราะว่าเค้าก็ไม่มีบอกแล้วเรื่องนี้ แต่ญ่าว่าพี่เป๊กเข้าใจ เค้าทำตัววัยรุ่น เค้ามีลูกวัยรุ่น เราเองก็มีไปหาหมอกันนะคะ คือลียาเค้าอยากไปหาเอง อยากมีตัวกลางที่คอยจะพูดคุย เป็นที่ปรึกษาระหว่างพ่อกับแม่ เพราะความวัยรุ่น วัยเรากับไว้เค้า คุยกันแล้วมันจะไม่รู้เรื่อง ซึ่งมันเวิร์คมากค่ะ"

แล้วพอมีตัวกลางพูดคุยมันเวิร์คขึ้นยังไงบ้าง?
"ก็เวิร์คมากนะคะ ก็จะมีหมอเค้ามาพูดคุย เค้าเรียนมาด้านนี้ก็จะเชี่ยวชาญ เค้าก็จะรู้วิธีการคุยกับเด็ก คุยกับพ่อแม่ หลักๆก็คือพ่อแม่จะต้องปรับตัวเข้ากับลูกยังไง การที่เราเป็นห่วงเค้ามากเกินไป เด็กสมัยใหม่จะมองว่ามันเป็นการบ่นจู้จี้ จุกจิก แล้วมันจะกลายเป็นความอึดอัดเค้าก็จะไม่อยากอยู่กับพ่อกับแม่ ไปคุยกับเพื่อนสบายใจกว่า"

ทางหมอจิตแพทย์ให้คำแนะนำหรือได้ข้อคิดอะไรบ้าง?
"คือพอลูกเริ่มเป็นวัยรุ่นค่ะ ให้เราเลี้ยงเค้าเหมือนตอนเด็กที่อาจจะไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย ไม่ต้องไปพูดอะไรมากมาย คือเราไม่สามารถจะไปบอกบังคับให้ทำอย่างนั้นซิ อย่างนี้ซิ ไปกำหนดอะไรเป๊ะๆไม่ได้ เพราะเค้ามีความคิดของเค้าแล้ว เพราะเค้าโตแล้วเค้าจะยิ่งถอยห่าง อย่างด้วยความที่เรายิ่งเป็นห่วงก็จะบอกว่านอนได้แล้วลูก เดี๋ยวสุขภาพไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หมอบอกว่าเรื่องสุขภาพเอาไว้ 30 ก่อนไว้ค่อยคุยกับลูก (หัวเราะ) ในวัย10กว่า 20กว่า อย่าไปพูดเรื่องสุขภาพเค้าไม่ฟัง"
“แบงค์-พิมฐา” ยันรักยังหวาน แม้ไม่ค่อยลงรูปคู่ เผยคุยเรื่องแต่งงาน-มีลูกแล้ว
หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวลือหนาหูถึงความสัมพันธ์ของคู่รักวัยรุ่นนักแสดงหนุ่ม “แบงค์ ธิติ มหาโยธารักษ์”กับแฟนสาว “พิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล” ที่คบกันมานานกว่า 4 ปีว่าได้เลิกรากันแล้ว จนทำเอาหลายคนสงสัยจนคีย์เวิร์ด พิมฐาเลิกกับแบงค์ฐิติขึ้นเทรนด์ฮิตในช่องคำค้นหาของ TikTok

ล่าสุด 27 ก.ค 68 “แบงค์-พิมฐา” ได้ควงคู่ออกมาเปิดใจถึงประเด็นข่าวลือรักร้าวว่า“ แบงค์ : รักยังแฮปปี้ก็คุยกัน เราเห็นจากแฮชแท็ก เราก็เฮ้ย ตอนไหนจริงๆ มีข่าวก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนเหมือนกัน แต่พอรู้อีกทีนึงเพื่อนก็แซวแล้ว เราก็ตกใจเหมือนกันว่าข่าวมาจากไหน เพราะเราอยู่ด้วยกันตรงนี้อยู่เลย”

พิมฐา : “ตอนแรกเราเห็นจากแฮชแท็กเราก็ไม่ได้อะไร คนอาจจะพูดๆ อะไรกัน แต่พอเริ่มมีคนใกล้ตัวมาทัก มีเพื่อนของเพื่อนมาทักเราเลยรู้สึกว่า เอ๊ะ มันเกิดอะไรขึ้น เราไปทำอะไรหรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่เขาพูดๆ กัน แต่ว่าก็ไม่นะอาจจะเป็นช่วงที่เราไม่ได้ทำคลิปด้วยกัน หรือว่าไม่มีทริปเพราะว่าต่างคนต่างมีธุรกิจที่ต้องดูแลก็ลงรูปอยู่นะ แต่อาจจะไม่ได้บ่อยเท่าเมื่อก่อนเราก็ถามเขากลับว่ารู้ได้ยังไงเอามาจากไหน ทุกอย่างยังปกติค่ะ”

แบงค์ : “อย่างที่บอกก่อนหน้านี้แต่ละคนมันก็มีสายงานที่ต่างกันออกไป พิมเขาก็เป็นแนวอินฟลูฯ รีวิว เราก็ไปถ่ายหนัง ก็เลยทำให้เราไม่มีโอกาสได้เซลฟี่ลงรูปกันหน่อยในอินสตาแกรม จริงๆ คนที่มาถามเขาก็เห็นอยู่แล้วว่าเราอยู่ด้วยกันตลอด”

แบงค์ : “ส่วนเรื่องแต่งงานจริงๆ เรามีคุยอยู่แล้วครับ เรามีคุยเรื่องอนาคตอยู่แล้วเพราะว่าเขาก็อายุเยอะแล้ว มันอยู่ในจุดที่ว่าเราควรที่จะคุยเรื่องอนาคต แต่ว่าเราทั้งคู่ก็ต่างตกลงลงมติว่า เราจะตั้งใจทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวถ้าเกิดพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยพร้อมเมื่อนั้น เราอยากมีครอบครัวเป็นของตัวเองอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องของอนาคต เราอยากทำตัวเองให้พร้อมสามารถดูแลเขาได้อย่างเต็มที่ก่อนดีกว่า ก่อนที่จะไปสู่ขอลูกสาวเขามา หน้าเราอาจจะดูพร้อมแต่การเงินเราอาจจะยังไม่พร้อม ก็ได้”

พิมฐา : “เรื่องแต่งงานก็เป็นผู้หญิงที่อาจจะเคยวาดฝัน เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ทุกคนก็อยากจะโตมาใส่ชุดเจ้าสาว แต่พอเราโตมาจริงๆ มันรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ต้องโฟกัสเยอะมากกว่าการไปแต่งงาน แล้วเรารู้สึกว่าการแต่งงานมันก็ไม่ได้การันตีหรือเป็นจุดจบชีวิตคู่ รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่แบบกันและกันประมาณนี้ แล้วก็ช่วยกันทำงานมันกำลังเอ็นจอยชีวิต รู้สึกว่าตอนนี้กำลังแฮปปี้มากๆ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรมาผูกมัดเร็วๆ นี้ ผู้ชายคนนี้เป็นยังไงบ้าง เขาเป็นคนจริงจัง

แต่เขาก็มีพาร์ตที่แบบชิลๆ เขาก็เป็นคนที่เรารู้สึกว่าก็มีความค่อนข้างคล้ายเราแล้วก็มีหลายองค์ประกอบที่เข้ากันได้ดี ก็ดีเป็นความสัมพันธ์ที่แฮปปี้ดี ก็ถ้าฟ้าลิขิตมาเป็นเช่นนั้นก็ดีใจค่ะ

แบงค์ : “ชีวิตตอนนี้เราได้ทดลองช่วยเหลือกัน ในพาร์ตของการเป็นพาร์ตเนอร์กัน เพราะว่าพิมก็จะมีธุรกิจของเขาจะทำ เราก็มีธุรกิจในฝันของเรา เราก็ช่วยปรึกษาเรื่องวางแผนกันว่าจะไปยังไงต่อ”
พิมฐา : “อย่างเราจะทำบ้าน ครอบครัวก็เป็นห่วงอยู่บ้านคนเดียว แต่พอรู้ว่ามีแบงค์อยู่ใกล้ๆ เขาเข้ามาช่วยดูความปลอดภัยอยู่เป็นเพื่อนทุกอย่างก็โอเคอุ่นใจมากขึ้น
นนกุล ชานน ส่งกำลังใจคนสูญเสียปมไทย-กัมพูชา ยันโจมตีพลเรือน - รพ. คือการกระทำไร้มนุษยธรรม !
จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และทำให้เกิดการปะทะตามบริเวณชายแดน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงฝั่งไทยก่อน และมีการโจมตีพื้นที่ของพลเรือน รวมถึงสถานพยาบาล ทำให้มีผู้บาดเจ็บและชีวิต

จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ปะทะเดือดระหว่าง ไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงฝ่ายไทยก่อน ในบริเวณทางทิศใต้ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ และมีการยิงใส่บ้านเรือนประชาชนไทย และโรงพยาบาล จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย

ล่าสุด 25 ก.ค. นักแสดงหนุ่ม “นนกุล ชานน” ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านทางอินสตาแกรม @nonkul ไว้ว่า “ขอแสดงความเสียใจกับทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น และขอให้ทุกคนในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปลอดภัยครับ

การโจมตีพลเรือนผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือสถานพยาบาล ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนิวาอย่างชัดเจน ซึ่งบ่งบอกถึงความไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด โรงพยาบาล ควรได้รับการเคารพว่าเป็นพื้นที่คุ้มครองสูงสุดภายใต้ กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม

#นนกุลชานน #สยามดารา
ส่งกำลังใจ ”รอง เค้ามูลคดี“ แอดมิตรพ. ด่วนหลังปวดท้องหนัก ล่าสุดหมอส่องกล้อง-เตรียมผ่าตัด!
ทำเอาแฟนละครและพี่น้องเพื่อนในวงการเป็นห่วงไม่น้อยหลังจากนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ “รอง เค้ามูลคดี” ถูกหามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน หลังมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง

โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ค 68 ”อารอง“ได้ออกมาโพสต์ภาพตัวเองขณะนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมข้อความเผยว่า "คราวนี้หนักจ้ะ ปวดท้องทรมานมาก นอนมา3วันแล้ว หมอบอกต้องส่องกล้อง แล้วหาวันผ่าตัด ยังพักฟื้นอีก สิบวันช้านจะได้กลับบ้านมั้ยเนี่ย เฮ้อ นี่แหละ ชีวิตช้าน. นนนนน"

สยามดาราขอส่งกำลังใจและให้อารองหายไวๆ นะคะ
#อารอง #รองเค้ามูลคดี #สยามดารา
“แก้มบุ๋ม” ร่วมบริจาค 1 แสนเข้ามูลนิธิ “กัน จอมพลัง” พร้อมขอส่งกำลังใจให้ผู้ประสบภัยที่ชายแดน
หลังจากเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนทำให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายซึ่งมีหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือประชาชนกันอย่างเต็มที่

ขณะที่ด้านนักแสดงสาว “แก้มบุ๋ม ปรียาดา สิทธาไชย” ขอเป็นอีกหนึ่งความช่วยเหลือ ร่วมบริจาคเงินหนึ่งแสนบาท เข้ามูลนิธิ กัน จอมพลัง พร้อมเปิดใจด้วยไว้ว่า “ขอเป็นกำลังใจให้พี่ทหารทุกคนที่ปฏิบัติงานในชายแดน ขอบคุณที่เสียสละ ช่วยปกป้องประเทศชาติ ช่วยดูแลประชาชน และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียด้วยนะคะ บุ๋มฝากสมทบทุนมูลนิธิ กัน จอมพลัง 100,000 บาทด้วยค่ะ”

#แก้มบุ๋ม #สยามดารา
โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เตรียมแพลนมีลูก!ควง แม่โอ๋ เล่าชีวิต 60 ยังแจ๋ว
โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ ควงคู่ คุณแม่โอ๋ - ธนภรณ์ เวชสุภาพร เปิดสูตรชีวิตวัยเกษียณในรายการ Tuck Talk เล่าเคล็ดลับในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วิธีดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีในวัยสูงอายุ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าดูแลตัวเองดีไม่มีคำว่าแก่ รวมถึงความสัมพันธ์ภายในครอบครัว มีสุขเต็มที่ ปล่อยวางเรื่องลูกหลาน

เวลาไปไหนมาไหน มีคนชมคุณแม่
โต๋ : ผมสนิทกับคุณแม่มากตั้งแต่เด็ก ๆ คุณแม่เป็นคนแบบพาขับรถพาไปเรียนเปียโนตั้งแต่เด็ก ๆ ทุกสเต็ปในการใช้ชีวิตของเรา คุณแม่ก็จะสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอโตขึ้นมา เราเข้าวงการคุณแม่ก็จะช่วยดูแลโน้นนี่ แต่พอเราเริ่มมีรายการออนไลน์ แล้วพอชวนคุณแม่มาทำรายการ กลายเป็นเวลาไปที่ไหนคุณแม่ไม่ต้องไปด้วยเลย เจอหน้าผมปุ๊บ แม่มาเปล่า ถามถึงแต่แม่ตอนนี้ครับ อยากเจอคุณแม่มาก คนจะพูดถึงคุณแม่

มีความรู้สึกยังไงกับคำนี้ ถ้า 60 แล้วเราไม่ต้องทำผมแต่งตัวมากก็ปล่อยไปตามกาล เวลา
แม่โอ๋ : ทำไมเราต้องปล่อยไปตามอายุนะ พอคนเราอายุมากขึ้น แม่ว่ามันต้องแต่งมากขึ้น เพราะว่าถ้าเราไม่แต่ง ผิวพรรณเราก็ไปตามวัย มันก็เหี่ยว ส่องกระจกก็ตกใจตัวเอง แล้วเราจะไปตกใจทำไม ทุกวันเราก็แต่งเลยค่ะ แต่งมันทุกวัน แต่งตั้งแต่สมัยก่อน

โต๋เมาท์คุณแม่หน่อยเรื่องการแต่งตัวเวลาไปงานไปงาน แต่งมากกว่าโต๋กับน้องไบร์ทหรือเปล่า
โต๋ : ทุกเช้าทุกคนเห็นคุณแม่ว่า ถ่ายรายการ ถ่าย TikTok หรือทำคอนเทนต์นู่นนี่ จริง ๆ มันคือธรรมชาติของเขาเลยครับ ทุกเช้าเลยนะ ตั้งแต่เช้า ๆ 6 – 8 โมง ลงมาคือหน้าผมพร้อมแล้ว ไม่ว่าจะมีถ่ายรายการหรือไม่ก็ตาม หรือจะไปแค่ซูเปอร์มาร์เก็ต เขาก็พร้อมเสมอครับ เรื่องผมนี่ก็สระเองทุกวันเลยนะครับ ไม่ใช่ไปทำร้านนะสระเอง เป่าผมเอง ทุกวันจริง ๆ ลองถามดูได้เลยครับ

แม่โอ๋ : ผมสั้นมันง่ายมาก แค่จับ ๆ ใส่บำรุงนิดหน่อยก็อยู่แล้วค่ะ เข้าร้านจริง ๆ ก็มีแค่ไปทำสี ดัด ซอยเท่านั้นเอง นอกนั้นทำเองหมดทุกวัน เลยค่ะ

มีวันไหนไหมที่ลงมาจากห้องแบบซีด ๆ ยังไม่แต่งหน้า
แม่โอ๋ : ก็มีบ้างนะคะ นาน ๆ ที แบบขี้เกียจแต่ง ก็ ลงมาก่อน

คุณนครว่าไงบ้างคะ เวลาเห็นคุณโอ๋แต่งตัวสวย ๆ ทุกวัน
แม่โอ๋ : เขาเคยถามนะ ทำไมต้องแต่งหน้าทุกวัน ฉันก็บอก “ก็แต่งให้เธอไง สวยมั้ยล่ะ?” เขาก็ตอบ “เออ ใช่ สวย” ถ้าเราไม่แต่งหน้าเนี่ย ผู้หญิงก็กลายเป็น ป้า ผู้ชายก็เป็น อาแปะ ไหวไหม ลองมองตัวเองในกระจกสิ บางวันยังตกใจเลย แบบนี้ต้องแต่ง ต้องสวย ต้องหอมตลอด
ในความรู้สึกของลูกชายอย่างโต๋ เวลาที่เห็นคุณแม่สวย ๆ หอม ๆ รู้สึกยังไง

โต๋ : รู้สึกดีครับ รู้สึกดีใจ แล้วก็ภูมิใจมากครับ เพราะในมุมของผม การที่คุณแม่ดูแลตัวเอง แต่งตัวสวยๆ แบบนี้ มันหมายความว่าเขามีความสุข คือถ้าเรามีความสุขจากข้างใน มันจะมีแรงในการตื่นมาดูแลตัวเอง พอเรามีพลังแบบนั้น เราก็ส่งต่อพลังดี ๆ ให้คนรอบตัวได้ แล้วนั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมรักมาก พอทุกเช้าผมลงมาเจอคุณแม่แต่งตัวสวย แฮปปี้ ผมรู้สึกภูมิใจมาก เพราะคิดว่าคนที่ดูแลเรามาครึ่งชีวิต ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะได้ใช้ชีวิตของเขาเองแล้วนะ ได้แต่งตัว ได้ไปเที่ยว ได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ไม่ต้องห่วงเราแล้ว เขาดูแลเรามาแล้วเต็มที่

มีโรคประจำตัวอะไรไหม
แม่โอ๋ : ไม่มีเลยค่ะ ทุกอย่างปกติดีหมด

ร่างกายยังแข็งแรงดี
แม่โอ๋ : เดี๋ยวนี้แข็งแรงขึ้นเยอะค่ะ แต่ก่อนนี่ไม่ออกกำลังกายเลย เพราะกลัวหน้าละลาย จนวันหนึ่งไปเที่ยวกับลูก ๆ แล้วมีทางขึ้นเขา เห็นบันไดแล้วรู้เลยว่าไม่ไหวก็เลยไม่ได้ขึ้นไป แล้วลูก ๆ เขาก็เป็นห่วง ไม่ขึ้นกันหมดเลยเพราะเป็นห่วงแม่ เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกว่าเราจะเป็นตัวถ่วงเขาทำไม ถ้ามาเที่ยวแล้วเราไม่ไหว ทุกคนก็ไม่สนุกต้องไม่เป็นภาระคนอื่น จากนั้นก็เริ่มออกกำลังกาย เริ่มจากเดิน เดินในหมู่บ้านนี่แหละ เดินไปเดินมาก็ได้เกือบ 3 กิโล ทุกคนเจอก็ทักกัน เหมือนเป็นเจ้าของหมู่บ้าน เดินไปเดินกลับ 3 กิโลกว่า แต่รถมันเยอะ เขาก็เป็นห่วงบอกว่า คุณแม่จะไปเดินทำไมนอกบ้านไม่เดินในบ้าน อุตส่าห์ทำห้องให้แล้วก็ไม่เดิน เราก็เดินฟังเพลงของเราไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวรถเฉี่ยว ก็เลยทำให้เดินในบ้านเลย เดินก็ชั่วโมงนึงก็ประมาณเกือบ 3 กิโล แล้วก็จ้างเทรนเนอร์เลย อาทิตย์ละ 2 ครั้ง เวทเทรนนิ่งกันไป บาลานซ์กันไป กระฉับกระเฉงขึ้น

โต๋ : คุณแม่เขาน้ำหนักลงมา
แม่โอ๋ : 14 กิโล

โต๋ : ดูแลทั้งอาหารและออกกำลังกาย ผมก็คอยช่วยดูเรื่องอาหารด้วย ถามตลอดว่ากินอะไร ลดน้ำตาล ลดแป้งไหม เดินหรือยังอะไรแบบนี้ คุณแม่เขาชอบเดินข้างนอกเพราะอากาศดี แต่บางทีก็ห่วงความปลอดภัย ก็เลยทำห้องฟิตเนสไว้บนบ้าน ซื้อเครื่องลู่วิ่งมา เปิดซีรีส์ดูไป เดินไปด้วย ก็อย่างที่คุณแม่บอกครับยิ่งอายุมากขึ้น การดูแลตัวเองยิ่งสำคัญมาก พอคุณแม่เริ่มทำเอง เราในฐานะลูกก็สบายใจครับ เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเขาแข็งแรงดี

เรื่องอาหารการกินในการดูแลตัวเองของคุณแม่ ต้องดูแลขนาดไหน
แม่โอ๋ : เราดูแลตัวเองหมดเลยค่ะ เป็นคนซื้ออาหารเองด้วย เราโตแล้วก็เข้าใจว่าอะไรเหมาะกับตัวเรา อย่างตอนเย็นนี่ เราจะไม่กินของหนัก ๆ เพราะมันทำให้นอนไม่หลับค่ะ กินแล้วมันอึดอัด ก็จะเลือกกินเบา ๆ อย่างปลาแทน เช่น ปลาต้ม ปลาย่าง ก็สลับกันไปค่ะ กลางวันหนักได้ ตอนเช้าก็เรียบง่ายมาก ทานแค่กาแฟดำกับไข่ต้ม ถ้ากลางวันเผลอทานเยอะ เย็นวันนั้นจะลดเลยค่ะ อาจจะทานแค่นิดเดียว

อยากจะให้โต๋แชร์เรื่องอาหารการกินสำหรับผู้สูงวัย
โต๋ : เรื่องการลดแป้งกับน้ำตาล แต่ไม่ใช่ว่าจะห้ามกินเลยนะ แบบที่คุณแม่พูดเสมอคืออยากกินก็กินได้แต่ต้องกินในปริมาณที่พอดี พอให้หายอยาก ไม่ใช่ไปห้ามตัวเองจนไม่มีความสุข ผมว่ามันสำคัญมากสำหรับผู้ใหญ่ คุณแม่เป็นคนทำอาหารเองด้วยนะครับที่บ้าน ตั้งแต่เด็กผมโตมากับอาหารฝีมือแม่

บ้านของโต๋กับคุณแม่ยังอยู่ในบริเวณเดียวกัน ถึงแม้แต่งงานแยกไปอยู่กับน้องไบร์ทแล้ว ยังเดินไปมาหากันได้ไหม

โต๋ : ติดกันเลยครับ เดินถึงกันได้เลย

แม่โอ๋ : ไม่แยกครัวค่ะ ใช้ครัวเดียวกัน

โต๋ : บ้านผมก็มีครัวนะ แต่ถามว่าทำเองทำไม เพราะมีคุณแม่อยู่ตรงนี้ทำให้ การกลับมากินข้าวที่บ้าน มันก็ได้รสชาติแบบที่เราคุ้นเคยมา ตั้งแต่เด็ก

เด็กสมัยใหม่หลายคนพอโตแล้วก็มักอยากแยกออกไปอยู่เอง ไม่ค่อยอยากอยู่กับพ่อแม่ แต่โต๋ยังเลือกอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ คุณแม่คิดว่ายังไง

แม่โอ๋ : แม่วางยาไว้มั้ง

โต๋ : ผมว่าคุณพ่อคุณแม่เขาก็ยังอยากเห็นเรา แค่เห็นรถเราขับเข้าออกบ้านก็สบายใจแล้ว ผมเองก็สนิทกับคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้วครับ เป็นลูกชายคนโตด้วย ก็เลยรู้สึกว่าอยากเจอเขาทุกวัน อย่างบางทีผมกลับจากทำงานดึก ถ้ารู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่นอน ประมาณสัก 4 ทุ่ม ผมก็จะเดินขึ้นไปหา ไปนั่งคุยว่าวันนี้เป็นยังไง เจอใครมาบ้าง ถ้าวันไหนมีเวลาว่าง รู้ว่าพรุ่งนี้งานเริ่มบ่าย ผมก็จะบอกเลยว่า พรุ่งนี้เที่ยงผมกินข้าวบ้านนะ

เมนูโปรดของโต๋
แม่โอ๋ : ตอนนี้เมนูโปรดของโต๋ก็คือพวกเนื้อ เพราะเขากลับมาเล่นเวท เขาจะไม่กินแป้งเลย กินแต่เนื้ออย่างเดียว จะเป็นเนื้อสเต็ก ไก่ก็ได้ หมูก็ได้นิดหน่อย

ได้ยินมาว่าคุณแม่ยังทำกับข้าวเลี้ยงทีมนักดนตรีด้วย

โต๋ : 2 ปีหลังมานี้ พอหมดสัญญาในฐานะศิลปิน ผมก็เปิดบริษัทของตัวเอง ทำรายการเอง เล่นเปียโนเอง ทำคอนเสิร์ตเอง ทีนี้พอเริ่มจัดคอนเสิร์ตครั้งแรก เราก็มีทีมงาน มีนักดนตรี แล้วเขาก็จะมีสวัสดิการมาจากกอง เช่น ข้าวกล่องอะไรแบบนั้น แล้วคุณแม่ก็มาอยู่ที่กองซ้อมด้วยนะครับ มาเห็นว่าทีมงานกินข้าวกล่องกัน คุณแม่บอกผมว่าเห็นแล้วขัดใจอยากทำเอง พอมีคอนเสิร์ตครั้งถัดมา ไม่ใช่แค่ทำอาหารธรรมดาแล้วนะครับกลายเป็นบุฟเฟ่ต์เต็มรูปแบบ มีทั้งข้าวเหนียวมะม่วง กุ้ง คือคุณแม่ทำเองหมด ทำเพราะสนุก เพราะอยากให้ทุกคนได้กินของอร่อย นักดนตรี ทีมงาน หรือแม้แต่ศิลปินที่มาซ้อม อย่างพี่ปู พงษ์สิทธิ์ พี่แบงค์ วง Clash หรือ เจฟ Saturทุกคนพอรู้ว่ามีคุณแม่ทำอาหารก็จะบอกว่า ซ้อมเสร็จเดี๋ยวแวะชิมฝีมือแม่โอ๋นะ กลายเป็นความอบอุ่นอย่างหนึ่งของกองซ้อม ทุกคนรู้กันหมดว่า ซ้อมกับพี่โต๋ ได้กินข้าวฝีมือแม่โอ๋

การทำอาหารทานเองที่บ้านดีต่อสุขภาพยังไงบ้าง
แม่โอ๋ : ดีกว่าเยอะเราสามารถเลือกเองได้ว่าอะไรควรกิน อะไรไม่ควรกิน แล้ววัตถุดิบที่ใช้ เราก็เลือกเองได้หมดเลย สะอาด ถูกสุขอนามัย

ความสุขของแม่โอ๋ในตอนนี้คืออะไร
แม่โอ๋ : ในวัยนี้ ลูก ๆ ก็โตกันหมดแล้ว เป็นฝั่งเป็นฝา การงานก็ดี มีชีวิตเป็นของเขา ทีนี้เราก็ต้องมีชีวิตของเราเองบ้าง อยากไปไหน อยากทำอะไรก็ทำ อย่างคุณนคร เขาก็มีของเขา ชอบตกปลาก็ไปตกปลา เราไม่เอาหรอกค่ะ ไม่ชอบออกแดด แพ้แดด หน้าแพง เราชอบ ไปกินข้าวกับเพื่อน ฟังเพลง คุยกันสนุก ๆ เสื้อผ้า หน้าผม ผิวพรรณนี่เป็นเรื่องหลักเลยค่ะ

ห่วงคุณแม่เรื่องอะไรบ้าง
โต๋ : จริง ๆ ก็ห่วงแค่เรื่องสุขภาพ เราก็คุมให้แม่ด้วยส่วนหนึ่ง นอกนั้นไม่ห่วงเลย คุณแม่จะไปเที่ยว จะไปปาร์ตี้กับเพื่อน กลับดึกยังไงไม่ว่า แต่ถ้าผมกลับจากคอนเสิร์ตดึก ๆ แล้วแม่ยังไม่กลับ ผมนี่โทรเลย คุณแม่อยู่ไหน ยังไม่ถึงบ้านเหรอ ผมเล่นคอนเสิร์ตจบแม่ยังไม่กลับบ้าน จริง ๆ แล้วเรามีความสุขกับสิ่งนี้มากครับ จะไปกิน ไปเที่ยวที่ไหนไปเลย คือเราแบบคุณแม่เดี๋ยวเตรียมรถตู้ให้ มีคนขับคนช่วยดูแลให้คุณแม่ อยากจะไปไหนคือเรา เราดีใจเราไปส่งด้วย ถ้าเราว่างเราไปส่งเราไปรับได้ คืออยากให้เขาเอนจอยกับชีวิตครับ

ลูก ๆ แยกย้ายไปมีครอบครัว บางคนอาจจะรู้สึกเหงา น้อยใจที่ลูกหลานไม่ค่อยแวะมาดูแล แม่โอ๋มีวิธีดูแลความรู้สึกตัวเองยังไง
แม่โอ๋ : ลูกเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา มีครอบครัวของเขา ต้องไปดูแลครอบครัวของตัวเอง หน้าที่เราเสร็จแล้ว ลูกโตหมดแล้ว เราก็ต้องหันกลับมาห่วงตัวเอง ใช้ชีวิตของเราให้มีความสุข อยากไปเที่ยวก็ไป ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปฟังเพลง ไปดูหนัง อยากทำอะไรก็ทำ อย่าไปกังวลเขา เพราะเขามีความสุขแล้ว เราก็ต้องหาความสุขของเราเอง ถ้ามัวแต่น้อยใจ เราจะเครียด จะรู้สึกแก่ลง เพราะงั้นออกไป ใช้ชีวิต

อยากฝากอะไรถึงลูก ๆ ที่อาจจะยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาดูแลคุณพ่อคุณแม่บ้างไหม
โต๋ : ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย ผมเข้าใจลูก ๆ ด้วยที่งานยุ่ง ผมเองก็ยุ่ง แล้วเราเข้าใจดีว่าการที่เราเริ่มทำงาน การที่เรามีความฝัน แล้วคนรุ่นใหม่สมัยนี้เรามีความฝันแล้วเราอยากจะสร้างอะไรของตัวเองเยอะ มันจะเหนื่อย แล้วมันก็จะแบกรับความกดดันอะไรหลาย ๆ อย่าง ผมเข้าใจเลย ผมแค่จะบอกว่า อย่าลืมว่าเวลาทุกคนมีจำกัด เวลาที่เราพยายามจะตามความฝันของเรา เราก็มีช่วงเวลานั้น อย่าลืมว่าเวลาของเราที่มันเดินไปข้างหน้า เวลาของคุณพ่อคุณแม่เราก็เดินไปข้างหน้าเหมือนกัน แบ่งเวลาให้ดี ๆ แค่นี้เลย เพราะว่าวันนึงเราจะไม่เสียดายเลย เพราะว่าเราได้ใช้เต็มที่

แม่โอ๋ห่วงเรื่องหลานด้วยไหม
แม่โอ๋ : ไม่อยากกดดัน แต่ถามทุกวันเลย เมื่อไหร่จะมี

แพลนไหม หรือว่าปล่อยเข้าไปตามธรรมชาติ
โต๋ : ก็คิดครับ มีในใจกันบ้างครับ คือเราทำงานกันหนัก แล้วผมคิดว่าทุกคนก็ต้องมีเป้าหมายในชีวิตว่า เราจะทำอะไรกัน เราก็มีแพลนคร่าว ๆ ในใจ อยากจะทำไป Next Step ต่อไปในชีวิตเราจะเป็น ยังไง

ฝากเคล็ดลับการดูแลตัวเองในวัยเกษียณ
แม่โอ๋ : ก็ปล่อยวางค่ะ อยากทำอะไรก็ทำเลย อย่าไปห่วงลูกมาก เขาโตแล้ว เขามีชีวิตของเขา เราก็ต้องดูแลสุขภาพและอารมณ์ของเราเอง อย่าวีนลูกบ่อย ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาเยอะ ครอบครัวเขาก็เรื่องของครอบครัวเขา อย่าไปชำเลืองบ่อย มองตรง ๆ

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=lROumGetpz4&ab_channel=LifeDot
"อ๋อม สกาวใจ" โชว์ห้องทำงานใหม่หลังครม.ไฟเขียว นั่งที่ปรึกษา รมว.วัฒนธรรม
หลังจากเมื่อวันที่ 22 ก.ค.2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติแต่งตั้งนักแสดงสาว “สกาวใจ พูนสวัสดิ์” หรือ “อ๋อม สกาวใจ” ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ล่าสุดวันที่ 23 ก.ค. “อ๋อม สกาวใจ”ได้โพสต์ภาพบรรยากาศในห้องทำงานใหม่พร้อมเปิดใจเขียนข้อความระบุไว้ว่า “ห้องทำงานใหม่ ณ กระทรวงวัฒนธรรม”

#อ๋อมสกาวใจ #ข่าวบันเทิง #สยามดารา
“แพท Klear” เปิดใจชีวิตรักสุดพัง เคยถูกหลอกให้เป็นมือที่สาม!
เปิดใจชีวิตรักและเส้นทางนักร้อง “แพท วง Klear” เด็กกิจกรรมสู่ศิลปินเสียงทรงพลังที่เกือบจะไม่ได้แจ้งเกิด ในรายการ “เกิดมาเว่า” เล่าทุกความเจ็บปวดที่กลายเป็นแรงบันดาลใจผ่านเพลง เคยเจออุปสรรคมากมายทั้งการถูกปฏิเสธจากค่ายเพลง และความรักที่พังทลายกับการเป็นมือที่สามโดยไม่รู้ตัว

ได้ข่าวว่าเพิ่งมีลูกสาว น่ารักมาก ?
แพท Klear : ติดลูกมาก ชื่อน้องเรอารฎา อายุ 6 เดือน เลี้ยงง่ายปกติค่ะ

มีลูกทำให้ชีวิตและอารมณ์เปลี่ยนไปไหม ?
แพท Klear : เปลี่ยนค่ะ อ่อนโยนขึ้น เริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ท้อง เพราะรู้ว่าลูกจะรับรู้ความรู้สึกของแม่ ถ้าแม่เครียดลูกจะเลี้ยงยาก เราเลยพยายามรักษาอารมณ์ดีมากที่สุด รู้สึกว่าเรามีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นพอมีลูก

ในพาร์ทของวงกระทบต่องานยังไง ยังรับงานอยู่ไหม ?
แพท Klear : แพทท้องเดียวแต่เหมือนท้องทั้งวง แพลนไว้ว่าจะปล่อยให้ท้องแล้วนะ ถ้าท้องจะกระทบกับงานวงแน่นอน เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีการเตรียมตัวคนทั้งวงไว้ แต่ที่วงก็คือเหมือนเราอยู่กันแบบครอบครัว ช่วงท้ายที่รับงานคือ แพทรับงานจนถึง 7 เดือน อย่างที่บอกว่าเราอยากอารมณ์ดี ถ้าเราหยุดอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย เราเครียดแน่นอน ค่อนข้างมั่นใจว่าเราแข็งแรงพอสมควรเราออกกำลังกายเยอะ

มีสนใจในการร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
แพท Klear : โตมากับครอบครัวที่เล่นกีตาร์ คุณพ่อคุณแม่ชอบร้องเพลง ตอนเด็ก ๆ ก็ร้องเพลงตามคาราโอเกะ ไม่รู้ว่าตัวเองร้องเพราะไหม รู้แค่ว่าร้องไม่เพี้ยน ตอนเรียนเป็นเด็กกิจกรรม เป็นนักกีฬา ตัวแทนร้องเพลง และเชียร์ลีดเดอร์ด้วย แต่ก็ไม่ยอมให้การเรียนตก

ถ้าวันหนึ่งไม่ได้เป็นนักร้องคิดว่าจะทำอะไร ?
แพท Klear : คงเป็นสถาปนิกค่ะ เพราะเรียนจบสถาปัตย์ ถ้าคุณพ่อแพทไม่เสีย ถ้าท่านยังอยู่ วง Klear ไม่เกิดแน่นอน คุณพ่อมีบริษัทของตัวเองที่พัทยา ก็แปลว่าเรียนจบยังไงก็คือต้องกลับไปทำงานกับสถาปนิกแน่นอน ที่บอกว่านักร้องไม่เคยอยู่ในหัว เพราะว่าเราไม่สวย มันจะมีพิมพ์นิยมไม่ได้หลากหลายเหมือนทุกวันนี้ คิดว่าการที่จะไปเป็นดาราหรือไปเป็นนักร้อง ต้องมีหน้าตารูปร่างที่ดี เป็นปมตอนเด็ก ๆ ของเรา ก็จะโดนด่าเด็กดำ ตัวเล็ก ผอม ๆ

เส้นทางวง Klear เริ่มต้นอย่างไร ?
แพท Klear : เริ่มจากทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย แคสละครสถาปัตย์ แคสเสียงเขาจะให้ไปเป็นนางเอก แต่เรากลัวโดนบูลลี่ก็เลยออกมา ไปแคสเสียงไว้ให้ร้องเพลงละครคณะ พี่ที่เขาเป็นคนคุมเป็นพี่กีต้าร์วง Klear ทำวงขึ้นมาไปประกวดในมหาวิทยาลัย เขาหาคนร้องเพลง เราเดินผ่านเหมือนมีคนปล่อยคิว แต่งเพลงไปประกวดไม่ใช่เพลงที่มีอยู่ จนรวมได้เป็นอัลบั้มแต่ไม่ได้เซ็นสัญญาที่ไหน ลงประกวดจนกว่าจะชนะเปลี่ยนเวทีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเรียนจบก็ไปยื่นเดโม่ที่ค่ายต่าง ๆ ไม่มีใครเอาเลย เพราะว่าเขาบอกขายไม่ได้ หน้าตาไม่ดีด้วย สุดท้ายวงแตก แยกย้ายได้ 2 อาทิตย์แล้วก็มารวมกันใหม่ ไปซ้อมกันเล่น ๆ ที่ห้องพี่ต้า Paradox ซ้อมวันที่พี่ต้าอยู่พอดี เขาขอเดโม่ เขาให้เงินไปทำอัลบั้ม ทำไปได้ครึ่งอัลบั้ม พี่ต้าต้องไปส่งงานที่ Genie Records แต่ไม่มีเดโม่ไปส่งเขาทำไม่เสร็จแต่มีผลงานของวง Klear ซึ่ง Genie Records เป็นค่ายที่เราไม่ยื่นเพราะรู้สึกว่าเป็นค่ายที่ใหญ่เกินไป ตอนเย็นพี่ต้าก็โทรมาว่ามาอยู่กับพี่ แล้วได้ขึ้นคอนเสิร์ตของ Bodyslam

ทำไมถึงชื่อวงว่า Klear ?
แพท Klear : ตอนส่งใบสมัครยังไม่มีชื่อวง มีคนเห็นกระปุกแป้ง Clean and Clear ตั้งอยู่ เลยเอาชื่อนี้แหล่ะ

ผลตอบรับอัลบั้มแรกเป็นอย่างไร ?
แพท Klear : พังค่ะ เจ๊ง เพราะเพลงไม่ขาย ไม่เข้ากับตลาดเพลง พี่เขาให้โอกาสอีก 1 เพลง ถ้ารอดก็ไปกันต่อ เราเขียนเพลงเองมาตลอด จนวันหนึ่งได้มาลองเรียนเขียนเพลงกับพี่นิ่มสีฟ้า ลองเขียนเพลงรัก เพราะเราเขียนเพลงเศร้ามาตลอด จนได้เพลง รักไม่ต้องการเวลา เพลงนี้ทำให้วงรอดชีวิตมาค่ะใน ตอนนั้น

มีประสบการณ์เกี่ยวกับความเจ็บปวดแบบที่แต่งในเพลงไหม ?
แพท Klear : เยอะ ผ่านมาเยอะ พูดได้เลยว่านอกเหนือจากแฟนคนแรกแล้วก็สามีคนปัจจุบัน นอกนั้นแย่หมดเลย หลังจากเสียคุณพ่อและเรื่องความรักที่ล้มเหลวหลายครั้ง บางความสัมพันธ์แย่มากจนเกือบเลิกทำวง เพราะเขาไม่ชอบที่เราทำวง เขากดดันเราเยอะ เกือบถึงขั้นที่ต้องเลือกระหว่างวงกับเขา เราตัดสินใจพักวงแล้วไปเรียนต่อ ตอนนั้นวงกำลังพีคเลย แต่อยากบอกทุกคนว่าในขนาดที่วงกำลังพีคข้างในแพทคือพังทลายมาก เขาไม่ชอบให้เราร้องเพลง ไม่ชอบให้เราไปร้องเพลงร่วมกับผู้ชาย เคยปฏิเสธ พรีเซ็นเตอร์

ที่มาของเพลงมาจากเรื่องจริง ?
แพท Klear : เพลงเจ็บไม่พังล่าสุด คืออยู่ในห้องน้ำอยู่ดี ๆ ความรู้สึกมาแล้ว เพลงถามเพื่ออะไรก็อยู่ในห้องน้ำ แฟนไปบวชเราจินตนาการว่าเขามีคนอื่น แต่จริง ๆ คือเขาไปบวช จินตนาการไปว่าเขาไปบวชแล้วเขาไม่กลับมาล่ะ ร้องไห้แต่เขาไปบวชแค่ 2 อาทิตย์ เราร้องไห้เหมือนเขาไปบวช 2 ปี

เพลง “เจ็บให้พัง” MV อิงจากเรื่องจริง ?
แพท Klear : 90% เป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นการถ่ายทอดความเจ็บปวดและความรู้สึกที่เคยผ่านมา จากพี่น้องที่อกหักมา เรารู้สึกว่าคนเราอยู่ในความสัมพันธ์ที่แย่ เรารู้นะ แต่ว่ามันออกมาไม่ได้เฉย ๆ ใครเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ก็เลยต้องเจ็บให้มันพังไปเลย จะทำให้รู้ว่าเราต้องรักตัวเองเมื่อไหร่ ประชุมทำ MV ทุกคนก็เล่าเรื่องของตัวเอง แพทก็เล่าเรื่องของแพท จนเอาไปทำเป็นเรื่องราวใน MV หลังจากคุณพ่อเสีย มาคบกันคนหนึ่งเขาก็ไปรับไปส่งเราตอนทำงานเราเจอกันทุกวัน มีรุ่นพี่มาทักว่าได้ยินว่าเขาแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ

สุดท้ายก็มีเรื่องให้สงสัย เขาเป็นคนปิดมือถือตอนกลางคืน มีวันที่เรามีปัญหาตอนกลางคืนเราโทรหาเขาไม่ติด ปิดเครื่อง เราเป็นเด็กต่างจังหวัดอยู่กรุงเทพคนเดียว เขาก็ให้เหตุผลว่าเขาเป็นคนหลับสนิท แต่หลัง ๆ เราทะเลาะกับเขาพูดไปเลยว่ามีคนพูดแบบนี้จริงหรือเปล่า สุดท้ายเขายอมรับ เหตุผลคือแยกกันอยู่กำลังจะหย่า เราไม่ไหว เรารักมาก แต่ทำไมอยู่ดี ๆ เราถึงเป็นมือที่ 3 เราไม่โอเค ทะเลาะกันใหญ่โต จนกระทั่งเขาขอแต่งงาน เราก็เป็นผู้หญิงเราก็คิดว่าเขาคงจริงจังกับเราในระดับหนึ่ง คงมีเหตุผลของเขา เราก็เชื่อเชื่อไป ทะเลาะไป จนสุดท้ายต่อให้ขอแต่งงานก็ยังทะเลาะกันอยู่ เราเข้ากูเกิ้ลค้นหาชื่อเขา มันก็จะขึ้นที่อยู่เราก็เลื่อนดูไปเรื่อย ๆ จนเจอชื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่เดียวกัน เขาทำงานในวงการเดียวกัน ซึ่งน่าจะใช่ ก็เลยตัดสินใจขับรถไปที่คอนโดเขา พร้อมกับแหวนและสมุดที่เขียนด้วยกันไว้ไปคืนฝากให้ผู้ชายคนนี้ แล้วรีเซฟชั่นเขาบอกว่าพี่ชายออกไปแล้วแต่พี่ผู้หญิงอยู่ข้างบนจะขึ้นไปไหม เขาคงคิดว่าเราเป็นเพื่อน ในใจเราอยากขึ้นไปให้เอง หวังว่าเขาจะเปิดดูว่าของคืออะไร เพราะเราคิดว่าพี่ผู้หญิงควรได้รู้ความจริงเหมือนกับ เรา

เพราะเขาไม่ผิดเราก็ไม่ผิดที่ผิดคือพี่ผู้ชาย เขาคู่ควรที่จะได้รู้ ไม่ควรโดนหลอกเหมือนกัน เราขึ้นไปแล้วก็ยื่นถุงให้เขาฝากให้พี่ผู้ชาย แต่ใน MV เราเพิ่มสีสันให้มีที่ตรวจครรภ์พร้อมกับแหวนไปด้วย

สามารถติดตาม “เกิดมาเว่า” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันอังคาร เวลา 18.00 น.

คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=RB4SO6lf-CA&ab_channel=WEDO
"พระโดม"ปิดทางโลก ตัดขาดวงการบันเทิง! ยึดวัดไทยในออสเตรเลียลั่นไม่สึก?
“พระโดม"หรืออดีตนายแบบดาราวัยรุ่นชื่อดัง "โดม - เพชรธำรงชัย" ผู้ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ฮือฮาอย่างเหนือระดับความดังในฐานะเป็นผู้ร่วมแข่งขันอายุน้อยที่สุดที่เก่งเกินวัย ด้วยอายุเพียงแค่15ปีในตอนนั้น

พกพาเอาความสามารถครบสูตรสำเร็จความดังเป็นทุนเดิมพันชีวิตก้าวขึ้นสู่วงการบันเทิงอัดแน่นมาเกินพิกัด

ผนวกกับดีกรีความหล่อระดับอินเตอร์สดใสสมวัย "Fifteen" โชว์ความโดดเด่นบนเวทีของรายการ "The Face Men Thailand Season2" ส่อแววอนาคตไกลในวงการบันเทิงที่มีงานจ่อคิวHOTมากมายทั้งการเป็นนายแบบ,พรีเซ็นเตอร์โฆษณา,ละครโทรทัศน์,รายการโทรทัศน์ฯลฯ รวมทั้งมีผลงานการแสดงภาพยนตร์ไทยอีกหลายต่อหลายเรื่องตีตราล็อคตัววาดลวดลายโชว์ฝีมือการแสดงจนสามารถก้าวขึ้นสู่แท่นทำเนียบบัลลังก์ดาราวัยรุ่นชื่อดัง ยึดครองตำแหน่งดาวรุ่งพุ่งแรงสุด HOT&HITรายล่าสุดของเมืองไทย

เกิดกระแสข่าวสุด ช๊อค! "พระโดม - เพชรธำรงชัย" ปิดชีวิตทางโลก!สู่การปณิธานแน่วแน่มุทิตาจิตในบุญบวชพระเป็นผู้ที่มีดวงตารู้แจ้งเห็นธรรมหรือผู้มีจักษุธรรม ทำใจสงบนับถือบุญกุศลเป็นสรณะบทสำคัญด้วยธรรมานุสติ เปิดใจมุ่งมั่นในเส้นทางสายบุญสู่โลกแห่งพระธรรมกาเสาวพัตร์ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา

"พระโดม เพชรธำรงชัย" บวชพระเมื่อวันที่16เดือนมีนาคม พ.ศ 2568 ที่วัดถ้ำเขาปูน ต.หนองหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรีโดยมีหลวงพ่อดำเจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ โดยมีชื่อฉายาทางธรรมว่าพระอภิสัมปันโน

ซึ่งพระโดมขอบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณโยมแม่ซึ่งเป็นคนไทยพุทธ พระโดมขอตั่งมั่นเจริญรอยตามองค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตถาคตผู้ทรงกุศลธรรมอริยะเจ้าสูงสุดแห่งนิพพานอันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของพุทธศาสนิกชนยาวนานตั้งแต่สมัยพุทธกาลนับ2568ปี

จำพรรษาที่วัดถ้ำเขาปูนเป็นวัดแรก เป็นวัดอยู่บนภูเขาท่ามกลางธรรมชาติที่สงบเงียบ เจริญธรรมวินัย ณ ที่วัดถ้ำเขา ปูนแห่งนี้เป็นเวลา1เดือนกว่าแล้วจึงได้ขอกราบลาหลวงพ่อดำซึ่งเป็นเจ้าอาวาส เพื่อขอกลับไปจำพรรษาที่วัดภาวนาบัลรารัท เมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย บ้านเกิด

"พระโดม - เพชรธำรงชัย" เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวบันเทิงไทยได้กราบขอสนทนาธรรมกับท่านถึงเรื่องการบินลัดฟ้าข้ามทวีปเพื่อมาเจริญธรรมวินัย ยึดมั่นในบุญบวชพระของท่านที่นับถือสรณะศาสตร์แห่งพุทธศาสนาในครั้งนี้

"เจริญพรญาติโยมชาวไทยทุกคนที่เคยติดตามผลงานในวงการบันเทิงของอาตมาหรือเรียกว่าพระโดมในปัจจุบัน ก่อนบวชพระอาตมาก็ได้ปรึกษาโยมแม่ก่อนแล้วว่าอยากบวชอยากเจริญในพระธรรมวินัยเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมความจริงตามพุทธประวัติเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระนามเดิมของพระพุทธเจ้าก่อนพระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สิทธแปลว่าความสำเร็จหรือบรรลุ และอัตถะที่แปลว่าความมุ่งหมายหรือประโยชน์ ดังนั้นจึงหมายถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้หรือผู้ที่สามารถบรรลุความต้องการได้

ในบริบทของพระพุทธเจ้าคำนี้จึงหมายถึงผู้ที่สำเร็จในการค้นหาทางดับทุกข์ และบรรลุถึงธรรมของความเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีธรรมอันประเสิรฐที่สุดสำหรับชาวพุทธศาสนิกชนทุกคน อาตมาบินมาจากเมืองไทยเพื่อมาจำพรรษาที่วัดไทยภาวนาบัลรารัท เมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นวัดแห่งการตั้งมั่นในศีลสมาธิเพียรภาวนาด้วยบรรยากาศดีเงียบสงบเยือกเย็นเพื่อฝึกปฏิบัติมโนธรรมคล้ายๆกับวัดถ้ำเขาปูนที่เมืองไทย

อุณหภูมิท้องถิ่นที่นี่คือเป็นปกติในช่วงนี้อยู่1-3องศา พระที่นี่จึงจำเป็นต้องใส่เสื้อกันหนาวแขนยาวแล้วห่มจีวรทับอีกชั้นหนึ่ง อาตมาก็ศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดนี้พร้อมประกอบศาสนกิจตามพุทธศาสนา รวมทั้งร่วมกับพระรูปอื่นๆช่วยกันทำงานก่อสร้างศาสนสถานต่างๆภายในวัดด้วย ก่ออิฐเทปูนลงแรงกายแรงกายหรือกายกรรมทำทุกอย่างในวัดไม่กลัวความลำบาก เพื่อฝึกการทำงานให้ได้ทุกอย่างเพื่อส่วนรวมอนุโมทนาบุญทุกอย่างด้วยจิตเป็นกุศลเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองเมลเบิร์นนี้มีญาติโยมคนไทยก็มาทำบุญที่วัดบ่อยๆ โยมแม่อาตมาก็อยู่ที่เมืองนี้ท่านก็มาเถวยจังหันเช้า,ตักบาตรเช้า,ถวายเพล บ่อยๆเกือบทุกวัน

วัดไทยที่นี่จะไม่มีโยมมาเป็นเด็กวัดคอยดูแล อาตมาหรือพระที่นี่ต้องขับรถเอง ทำงานทุกอย่างในวัดด้วยตนเอง เช่นทำความสะอาดปัดกวาดบริเวณรอบวัด ทำความสะอาดต่างๆเช่นล้างถ้วยชาม ล้างห้องน้ำ และทำการก่อสร้างสิ่งต่างๆเอง วัดที่นี่มีลักษณะเป็นคล้ายๆฟาร์ม อยู่ที่นี่อาตมาได้เรียนรู้พระธรรมวินัย เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้กำลังฝึกการวิปัสสนากรรมฐานให้ได้ขั้นสูง เรียนรู้สมาธิการทำความเข้าใจตัวเอง อยู่ในวัดที่สงบเงียบเป็นธรรมชาติมากๆไม่มีสิ่งใดรบกวน การที่เราได้อยู่เงียบๆในที่สงบ มีศีลสมาธิปัญญาจะเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เหมือนทำให้เราเข้าใจตัวตนเข้าในโลก อย่างเช่นเมื่อเรามีความเข้าใจในชีวิตมากขึ้นด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆทำให้ชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆในชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบัน ข้อดีในการบวชเป็นพระของอาตมา คิดว่าเสมือนเป็นทางลัดของการได้เข้าถึงธรรมะเร็วขึ้นด้วยอายุยังน้อย เพราะส่วนมากคนที่จะมาบวชเป็นพระก็จะอายุมากแล้วเป็นผู้ใหญ่อายุ40-50ปีหรืออายุมากกว่านี้ที่ได้มีโอกาสค้นหาธรรมะหรือค้นพบสัจธรรมแก่นแท้ของชีวิต

เมื่อคนเรามีธรรมะเป็นที่ตั้งก็จะทำให้เรามีสติ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เราต้องมีสติมีปัญญาเป็นที่ตั้งแห่งตน มีความเที่ยงธรรมอย่างเสมอภาคกันทุกคน สำหรับผู้ที่อยากบวชโดยเฉพาะวัยรุ่นก็อยากให้ลองเริ่มต้นศึกษาธรรมะหรือลองบวชเพื่อฝึกธรรมวินัย อาตมาฝึกจิตเพียรภาวนา ทำความเข้าใจกับตัวเองเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อาตมาตั้งใจฝึกปฏิบัติธรรมศึกษาพระธรรมวินัยให้ได้มากที่สุด บุญบวชของอาตมาก็ยังไม่ทราบได้ถึงกาลเวลาระยะเวลาจะยาวนานแค่ไหนก็ยังบอกตอนนี้ไม่ได้ เมื่อใดนั้นก็มิอาจทราบได้

คิดถึงแต่ว่าในปัจจุบันนี้อาตมาได้ปฏิบัติดีชอบแล้วสะสมเสบียงบุญกุศลนี้เพื่อบวชทดแทนบุญคุณโยมแม่ซึ่งเป็นคนไทยนับถือพระพุทธศาสนา เคยบอกกับโยมแม่ว่าอาจะบวชตลอดไปหรืออาจจะสึกลาสิขาบทเมื่อไหร่ก็ต้องหาคำตอบทบทวนกันอีกทียังตอบตอนนี้ไม่ได้ ส่วนคำถามที่หลายคนถามอาตมาว่าทิ้งหรือตัดขาดจากวงการบันเทิงเมืองไทยแล้วหรืออย่างไรนั้น แท้จริงแล้วอาตมาก็ยังอยากทำงานในวงการบันเทิงเหมือนเดิมไม่ได้ตัดขาดหรือทิ้งชีวิตในวงการบันเทิงตามกระแสข่าวที่หลายคนเคยได้ยินมา แต่ขอเบรคงานบันเทิงไปก่อนสักระยะหนึ่งโดยอาจจะพักยาวหน่อยยังไม่กำหนดการณ์ว่าจะสึกหรือลาสิกขาบทเมื่อใด สำหรับอนาคตการทำงานในวงการบันเทิงก็ยังอยากจะทำต่อไป แต่ก็อาจจะเป็นแค่ช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้นซึ่งคงไม่ใช่ยึดเป็นอาชีพหลัก อาตมาวางแผนว่าต้องทำธุรกิจเป็นหลักที่สามารถทำมาหากินเลี้ยงชีพเราได้ตลอด ประสบการณ์ที่ผ่านมาของอาตมานั้นทำงานหนักมากๆ ทำงานอย่างเดียวแต่ชีวิตในวงการบันเทิงไม่แน่นอน แถมอาตมายังต้องมีปัญหาต่างๆในชีวิตมากมายและเครียดหนักมากๆ

ชีวิต ณ ตอนนี้สุขในศีลธรรมดีที่สุด กล่าวคืออาตมาบวชเป็นพระห่มผ้าเหลืองอยู่ในศีลธรรมพระพุทธศาสนา ยึดหลักในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องดีแล้ว ไม่ยึดติดกับอดีตของปัญหาต่างๆก็ปล่อยผ่านไปตามเงื่อนไขแห่งกาลเวลา ปล่อยทุกอย่างย่อมเป็นไปตามบุญกรรม เราต้องยึดมั่นการปฏิบัติตนในปัจจุบันให้ดีที่สุดก็จะส่งผลดีต่ออนาคต เฉกเช่นเมื่อมีเหตุย่อมมีตามผล ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ปัจจัยของเหตุและผล มีมืดย่อมมีสว่าง ทุกอย่างมีบุญกรรมเป็นที่ตั้ง ใครที่ทำดีก็ย่อมได้ดีเสมอ

อาตมาขอทิ้งท้ายการสนทนาธรรมนี้ฝากถึงวัยรุ่นทุกคนที่เกิดมาในยุคแห่งเทคโนโลยีที่ทันสมัยก้าวล้ำนำธรรมชาติที่เคยสงบสุขเรียบง่าย อยากขอให้ทุกคนฝึกจิตฝึกสมาธิ ทำให้เรามีความสุขุมรอบคอบ มีเหตุมีผล มีสติปัญญา คิดทำอะไรก็ขอให้มีสติในสิ่งที่ทำนะโยม เจริญพรสาธุชนญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกคน"
“โอปอล-สุชาตา” สุดปลื้มได้ลุยภารกิจรอบโลก!! ขอบคุณ “แทนซาเนีย” ต้อนรับสุดยิ่งใหญ่เตรียมเผยเซอร์ไพรส์เร็วๆนี้
จบภารกิจเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ มิสเวิลด์ 2025 “โอปอล-สุชาตา ช่วงศรี” และคณะมิสเวิลด์นำโดย “จูเลีย มอร์ลีย์ ” ประธานและซีอีโอ องค์กรมิสเวิลด์ พร้อมด้วยรองอันดับ 1 มิสเวิลด์ 2025 “ฮัสเซ็ต เดเรเจ” จากประเทศเอธิโอเปีย กับการเยือนทวีปแอฟริกาประเทศแทนซาเนีย อย่างเป็นทางการภายใต้การเชิญของสภาศิลปะแห่งชาติแทนซาเนีย หรือ BASATA เพื่อร่วมแคมเปญ Royal Tour Unforgettable

ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศซึ่งมีสถานที่สำคัญมากมายหลายแห่งอาทิ อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ (Serengeti National Park) ทุ่งหญ้าสะวันนา เขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกจากนั้นเดินทางต่อมาที่ แซนซิบาร์ (Zanzibar) หมู่เกาะที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศแทนซาเนีย ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย คิลิมันจาโร (Mount Kilimanjaro) ภูเขาที่สูงที่สุดในทวีป แอฟริกา

ซึ่งที่นี่ “โอปอล” และ “ฮัสเซ็ต” ได้เข้าชมสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วเกาะ รวมถึงการแวะชมเขตรักษาพันธุ์เต่าทะเลอันเลื่องชื่อ ซึ่งพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับความพยายามในการอนุรักษ์ทางทะเลและสังเกตเต่าอย่างใกล้ชิดซึ่งมิสเวิลด์ของเรายังได้ตั้งชื่อให้เต่าว่า "โอปอล” ก่อนปล่อยคืนสู่มหาสมุทรอินเดียให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติอีกด้วย

ปิดท้ายก่อนจบทัวร์ทางคณะมิสเวิลด์ได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้าฯ ดร. ฮุสเซน อาลี มวินยี ประธานาธิบดีแซนซิบาร์ ณ ทำเนียบรัฐบาลอันโดดเด่น หรือ อิคูลู ยา แซนซิบาร์ อาคารอันงดงามตระการตาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาคารของสุลต่าน ซึ่งประธานาธิบดีได้กล่าวขอบคุณอย่างอบอุ่นถึงการมาเยือนของมิสเวิลด์ 2025 และคณะครั้งนี้ว่า

“รายได้ 30% ของแซนซิบาร์มาจากการท่องเที่ยว ดังนั้นการส่งเสริมนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เรารู้สึกซาบซึ้งและมั่นใจว่าจะมีผู้คนจำนวนมากต้องการมาเยือน” ท่านยังแสดงความขอบคุณต่อกลุ่ม Africab ที่เชื่อมโยงมิสเวิลด์กับแซนซิบาร์/แทนซาเนีย และยืนยันถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะร่วมมือกันในโครงการริเริ่มต่างๆ ในอนาคต

ด้าน จูเลีย มอร์ลีย์ เผยความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งว่า “ตอนเด็กๆ ฉันฝันถึงแซนซิบาร์ในฐานะสวรรค์สีฟ้าครามแห่งโลมาและเครื่องเทศ สิ่งที่ฉันได้พบนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าความฝัน ที่นี่คือสถานที่มหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความงาม ที่ทุกคนควรไปเยือน”

ปิดท้ายที่มิสเวิลด์ “โอปอล-สุชาตา” กล่าวว่า “ฉันจะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับดนตรี ความสุข และผลงานอันน่าทึ่งที่รัฐบาลของคุณทำเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนไว้ แซนซิบาร์จะอยู่ในใจฉันตลอดไป” ซึ่งก่อนจะเดินทางกลับมิสเวิลด์ของเรายังทิ้งคำหวานไว้เป็นปริศนาว่า “See you again soon, Zanzibar!” ต้องมาลุ้นกันเลยว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหรือไม่และมาทำอะไร!? สำหรับจุดหมายต่อไป “โอปอล-สุชาตา” จะเดินทางสู่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เพื่อปฏิบัติภารกิจมิสเวิลด์ต่อทันที
โปรไฟล์จึ้ง! ครั้งแรก "แจ็ค ธนพล" เปิดตัวน้องสาว "หมอกวาง" ดีกรีนักเรียนทุนแพทย์สหรัฐ สวยเก่งครบ
เปิดเรื่องลับนักร้องลูกทุ่งเสียงดีหล่อกระแทกใจแม่ยก "แจ๊ค ธนพล" เซอร์ไพร์สครั้งแรกขอเปิดตัว "น้องกวาง นันทิยา" น้องสาวคนสวยโปรไฟล์ไม่ธรรมดา บอกเลยว่าหลายคนรู้แล้วจะอึ้ง!! เพราะ "น้องกวาง" เรียนเก่งมาก ได้รับทุนการศึกษาและกวาดรางวัลการเรียนมากมาย ตอนนี้เป็นอาจารย์แพทย์ที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย ลัดคิวมาออกรายการผ่านสื่อคร้้งแรก ที่รายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 พูดคุยเปิดทุกความสำเร็จกับ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" เนื้อหาในรายการพูดคุยครบถ้วนทุกประเด็น

ข้อมูลเพิ่มเติมคร่าวๆ น้องกวาง ครบเรื่อง เรียนเก่งมากตั้งแต่สมัยไปเรียนปริญญาตรีกวาดเกรด 4.00 ครบทุกรายวิชา ร่วมไปถึงเรียนหมอก็ได้ 4

จนกระทั้งเรียนแพทย์เฉพาะทาง ที่เข้ายากมาก น้องกวาง ก็เป็นแค่ 1 ใน 2 คนในปีนั้นที่เข้าเรียนแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมสมองได้ ปัจจุบัน น้องกวาง​ นันทิยา​ เป็น​คุณหมอด้านศัลยกรรมประสาทของYale University School of Medicine ศูนย์แพทย์ชั้นนำระดับโลก ใครจะคิดว่า​สาวไทยร่างเล็กคนนี้ จะกลายเป็น​แพทย์ศัลยกรรมสมองระดับ​หัวกะทิของสหรัฐอเมริกา

ซึ่ง "กวาง" เล่าว่า​แรงบันดาลใจในการเรียนแพทย์มาจากความเจ็บป่วยของพ่อแม่​ จนกระทั่งได้นึกถึงอาจารย์สมัยมัธยมที่​โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์​สิงหเสนี)​ที่จากไปด้วยโรคเนื้องอกในสมอง​ทำให้กลายเป็นแรงผลักดัน​ให้เธอเข้าศึกษาต่อด้านศัลยกรรมประสาท​ ซึ่งเรียนยากมาก​ และใช้เวลาเรียนแพทย์เฉพาะทางนาน​ถึง 8 ปี​ ​ และด้วยความที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมและงานวิจัยที่โดดเด่น​ทำให้Harvard University มหาวิทยาลัยระดับโลก​ชวนให้เข้าทำงานด้วย​ ​
เมื่อถามถึงพี่ชายอย่าง "พี่แจ็ค" ว่าน้องเก่งขนาดนี้ทำไมไม่อวด​กลัวคนหาว่าขี้อวด​ แต่ก็ภูมิใจในตัวน้องคนนี้มาก​
“โรสแมรี่ คาฮันดิง” อดีตนักร้องดังชีวิตวิกฤต โพสต์วอนคนช่วย ยอมโดนว่าเป็นขอทาน แต่ลูกต้องมีข้าวกิน!
แฟนเพลงหลายคนต่างส่งกำลังใจให้อดีตนักร้องยุค 90 “โรสแมรี่ คาฮันดิง” เจ้าของเพลงดังอย่าง ,ให้ทำอย่างไร และ อย่าให้ความหวัง ที่ล่าสุด 21 ก.ค.68 ออกมาโพสต์หาผู้ใหญ่ใจดีช่วยอุปถัมภ์ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ เพราะตอนนี้เธอไม่มีรายได้ในการเลี้ยงดูลูก พร้อมโพสต์ตัดพ้อยอมโดนว่าเป็นขอทาน

โดยเธอยังได้เขียนข้อความระบุว่า"หากมีใครที่พอมีกำลังอุปถัมภ์ค้ำชู้น้องพีเจได้ขอความช่วยเหลือให้น้องทีนะ รู้ว่าตอนนี้วิกฤตสุดๆ คนลำบากเยอะมาก แต่ขอผู้ใหญ่ใจดีที่พอช่วยน้องได้ ช่วยน้องทีนะคะ กว่าจะกล้าโพสต์ให้คนด่า แต่สงสารน้องค่ะ แม่ก็ดิ้นรนมากๆ กราบขอบพระคุณค่ะ"
หลังจากนั้น โรสแมรี่ ได้โพสต์ตัดพ้อคนวิพากษ์วิจารณ์เธอ "คำก็ขอทาน สองคำก็ขอทาน !!! ใช่ ขอทานค่ะ ลูกต้องรอดต้องมีข้าวกิน ก็มีงานอยู่ช่วงนึง พอเศรษฐกิจมาเป็นแบบนี้ หางานแทบตายไม่ง่ายเลย นี่กำลังสมัครขับสามล้อไฟฟ้า มันต้องทำเรื่องเยอะๆ เลยอะ แม่ที่เป็นขอทานคนนี้ เว้นทำเรื่องหัวปั่นทุกวัน"

Cr. Fb : Rosemarie Cahanding
#โรสแมรี่ #โรสแมรี่คาฮันดิง #สยามดารา
"เป็กกี้ ศรีธัญญา" เล่าอุทาหรณ์! ให้คนอยู่คอนโดฟรี สุดท้ายเจอหนี้เป็นแสนไม่รู้ตัว!
มีเรื่องช็อกแบบไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับต้องออกมาเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับนักแสดงพิธีกร-นักร้องสาวอารมณ์ดี เป็กกี้ ศรีธัญญา หลังตั้งใจประกาศขายคอนโดที่เคยซื้อไว้เมื่อ 14 ปีก่อน แต่เมื่อเข้าไปจัดการห้อง กลับพบว่าตัวเองเป็นหนี้เป็นแสน

โดยล่าสุด (21 กรกฎาคม 2568) เป็กกี้ ศรีธัญญา ได้ออกมาโพสต์ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า"เนื่องด้วยประกาศขายคอนโดที่ ซื้อไว้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ก็มีคนสนใจเยอะ คอนโดติดกับสถานีรถไฟฟ้า สายสีชมพู ก็เลยคิดว่าจะรีโนเวทห้อง ก่อนจะขาย วันนี้เข้ามาดู ห้องโดนตัดน้ำตัดไฟ และข้าพเจ้าเป็นหนี้ส่วนกลางอยู่ 100,000 กว่าบาท

ไม่ได้จ่ายค่าส่วนกลางตั้งแต่ปี 63 เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเอ็นดูเขาเอ็นเราขาด…ให้คนอยู่ฟรี…หนี้เป็นของเรา เล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ บันทึกไว้เป็นความทรงจำ"
#เป๊กกี้ศรีธัญญา #สยามดารา
เขื่อน ภัทรดนัย เผยอดีตรักที่เจ็บปวดในการหย่าร้าง แนะคนมีแฟน Toxic ออกมาไม่ได้ต้องทำยังไง!?
จากไอดอลสู่ผู้เยียวยาจิตใจ รายการ Prime Cast เปิดใจ เขื่อน ภัทรดนัย อดีตสมาชิกวง K-OTIC จากไอดอลสู่ผู้เยียวยาจิตใจ ที่กลายเป็นเสียงสำคัญเรื่องสุขภาพจิตและความเป็นตัวของตัวเอง ที่เผชิญกับความเจ็บปวดในชีวิตรัก การหย่าร้าง และการเติบโตทางจิตใจ เขื่อนเลือกใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงกับตัวเอง ปัจจุบันเป็นนักจิตบำบัดเต็มเวลา พร้อมกับสร้างโปรเจค “จุดพักใจ” ที่เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้คนได้พูดคุยและปรึกษาปัญหาชีวิต

ให้คำจำกัดความคำว่านักจิตบำบัด
เขื่อน ภัทรดนัย : สมมุติเราหิวข้าว เราอยากกินอะไรเราก็เข้าร้านสะดวกซื้อ ปวดฟันเราก็ไปหาหมอฟัน นักจิตบำบัดก็เหมือนกันถ้าจิตใจเราไม่สบายใจ มูฟออนไม่ไหวเป็นภาวะ หรือว่าแบบไม่สบายทางจิตใจ นักจิตบำบัดก็จะเป็นคนหนึ่งที่แบบเปิดพื้นที่ปลอดภัย ให้คนสามารถมาเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น เป็น Psychotherapist คือผู้เชี่ยวชาญที่ให้การบำบัดทางจิตใจและอารมณ์

ความสัมพันธ์กับแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นยังไงบ้าง
เขื่อน ภัทรดนัย : ความสัมพันธ์กับคุณแม่คือเป็นแม่ลูกที่ค่อนข้างสนิทกัน เหมือนเพื่อนที่เล่นสนุกเอนจอย เคยไปนั่ง deep talk กับคุณแม่ตอนในวัย 31 ถามแม่ว่าที่เขื่อนแต่งหญิง แต่งงาน หย่า เปลี่ยนสายอาชีพ ทำไมแม่ถึงเข้าใจและเชื่อใจ คุณแม่ก็อธิบายมาว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ได้เกิดจากแม่เข้าใจว่า LGBTQ คืออะไร แต่เกิดจากที่คุณแม่รู้สึกว่าไว้ใจเรา ไว้ใจในสิ่งที่เราทำไปมันน่าจะดี ถ้าเกิดวันหนึ่งทำมาแล้วมันไม่ดี เขาก็รู้สึกว่าเราจะรับผิดชอบตัวเองได้ คุณแม่เคารพในการตัดสินใจของกันและกัน กับคุณแม่เป็นความสัมพันธ์วันไหนที่เราดิ่งคุณแม่ก็พร้อมอุ้มเราขึ้นมา วันไหนที่คุณแม่ดิ่งเพราะคุณแม่เขื่อนก็มีภาวะไบโพลาร์ เขาก็จะมีภาวะอารมณ์ดีหรือคึกคักผิดปกติ อารมณ์ปรับเปลี่ยนแรงมากเร็วมากกับช่วงเวลาที่ซึมเศร้าที่ดิ่ง พอเขาดิ่งเราก็ดูแลเขาเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งแต่เด็กจนโตเราดูแลกันและกัน มาเรื่อย ๆ

รู้สึกว่าเวลาทำอะไร เราเป็นคนที่มีกลไกป้องกันตัวค่อนข้างสูง คิดหน้าคิดหลังเยอะ ถ้าวันนี้อาชีพนี้ไม่เวิร์คทำอะไรต่อ ถ้าอันนี้เฟลทำอะไรต่อ อีก 3 ปีทำอะไร เป็นคนแบบค่อนข้างคิดเยอะ โจทย์เดียวที่ทุกวันนี้คิดไม่ได้คิดแล้วต้องเอาออกไปจากความคิด เมื่อคุณแม่ไม่อยู่เราจะอยู่ต่อยังไง เป็นสิ่งเดียวที่ไม่สามารถก้าวผ่านแล้วก็ยังไม่พร้อมที่จะมานั่งทำความเข้าใจ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าวันหนึ่งตื่นมาแล้วคนที่เป็นแม่เราเขาไม่อยู่แล้ว สุดท้ายแล้วชีวิตเราจะแปลว่ายังไง แล้วไปยังไงต่อ

จุดไหนที่รู้สึกว่าเราเป็นคนที่พยายามเพื่อคนอื่นจนละเลยตัวเอง

เขื่อน ภัทรดนัย : ตอนหย่า เขื่อนรู้สึกบ้านเขื่อนน่ะอบอุ่น คำว่าอบอุ่นเป็นเรื่องปัจเจก บางบ้านอบอุ่นโดยการไม่กอดกัน บางบ้านอบอุ่นในการบอกรักกัน ในการดูแลกัน คำว่าอบอุ่นไม่เหมือนกัน เขื่อนโตมาในบ้านที่ค่อนข้างเป็นพื้นที่ปลอดภัยกันและกัน ครอบครัวรับได้ไม่ว่าจะแต่งตัวยังไง เรารู้สึกว่าโลกเราสวยดี แต่พอเข้าวงการบันเทิงอายุ 13 ปี ได้เข้ากามิกาเซ่แล้วเป็นวง K-Otic พอออกเพลงแรก เราเข้าใจเลยว่าโลกไม่สวยคืออะไร คนคุกคามเราผ่านอินเทอร์เน็ต หน้าตาไม่เห็นดีเลย เป็นตุ๊ดหรือเปล่า ก็รู้สึกว่าเราโตมาแล้ว อยู่ที่บ้านเรารู้สึกว่าทุกอย่างมันปลอดภัย พออยู่ดี ๆ มาอยู่ในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในโลกความจริงว่าโลกเราไม่ได้เป็นสีชมพู ทำให้โตเร็ว เพราะว่ามีความเป็น LGBTQ เข้ามา พอเราเป็น LGBTQ ก็เหมือนโดนอีก กระทง

ตอนนั้นรู้ตัวตั้งแต่อายุเท่าไหร่
เขื่อน ภัทรดนัย : รู้ตั้งแต่เด็ก เราไม่เหมือนเพื่อน รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แตกต่างไปจากคนอื่น รู้สึกว่าไม่ดีพอ ไม่ค่อยรักตัวเอง เราเป็นคนที่คอยดูแลผู้อื่น เอาปัจเจกภายนอกมาถมตัวเอง ต้องไม่เหนื่อย ต้องดูแลที่บ้าน ต้องรีบเรียน รีบแต่งงาน ต้องรีบทำทุกอย่างให้เสร็จ จนเราอายุ 27-28ปี หลอกตัวเองก็มีความสุขเพราะแบบทุกอย่างมันดีไปหมด จนมานั่งคุยกับตัวเองว่า เราทำไปเพื่อตัวเองหรือทำไปเพื่อคนที่บ้าน ซึ่งมารู้ตัวอีกทีว่าสุดท้ายแล้วคนที่เขาไม่ได้ชอบเรา สุดท้ายให้เราดีแค่ไหน เขาก็ไม่ชอบเราอยู่ ชีวิตที่เราพยายามทำมาเหมือนพังลง ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำให้คนที่เขามาพิมพ์ว่าเราหรือไม่เข้าใจทำให้เรารู้สึกดีพอที่จะไปยืนข้างเขาได้ ก็เลยเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ประกอบร่างตัวเองขึ้นมาอีกที พอเราโตมามันจะมีคำว่าเกลียดมาเกลียดกลับ เราไม่รู้เราจะป้องกันตัวเองยังไง เป็นอีกสิ่งที่เคยมาเรียนรู้ตอนโตว่ามันคือกลไกป้องกันตัว เกลียดมาเกลียดกลับ เราบอกให้คนไม่ทำไม่ได้ เพราะถ้าเกิดมันทำได้มันทำไปแล้วสิ่งหนึ่งที่บอกได้เลย ก็คือ

การเกลียดคนกลับมันเหนื่อย การที่เราเกลียดคนหนึ่งกลับนะมันใช้พลังงานเยอะมาก แทนที่จะมานั่งพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่น เอามาพัฒนาตัวเองให้ไปมีความสุขดีกว่า แล้วพอคิดได้ ใครไม่ชอบเขื่อนหรือใครไม่ชอบคนที่เขื่อนรักเฉย ๆ มาก เพราะรู้สึกว่าเราไม่รู้จัก กัน

ความสัมพันธ์ในอดีตการแต่งงาน
เขื่อน ภัทรดนัย : อดีตสามี คนงงเยอะมาก สรุปแต่งงานแล้ว หย่าแล้วเหรอหรืออะไร เพราะว่าสุดท้ายแล้วมีแฟนกี่คน หน้าคล้ายกันหมด คนที่เคยแต่งงานด้วยคบกันประมาณ 3 ปีแล้วก็ตัดสินใจแบบแต่งงาน พอแต่งไปแล้วเราก็รู้สึกว่าดีอีกมุมหนึ่งอยากพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าเราดีพอ แต่พอแต่งแล้วเราเริ่มไม่รักตัวเอง เป็นตัวเองน้อยลง เราเอาความรู้สึกทุกอย่างมาก่อนยกเว้นตัวเอง แล้วให้ตัวเองเล็กลงเพื่อที่จะมีค่าพอที่จะอยู่ตรงนั้น จำได้ว่าวันที่บอกเลิกทุกอย่างมันฉุกละหุกมาก ไม่ใช่การทะเลาะกันแต่เหมือนเป็นไฟเย็น นิ่ง ๆ รู้สึกว่าคนนี้ที่เราแต่งงานด้วย ไม่ใช่คนที่เรา say yes ด้วยที่เราเข้าพิธีแต่งงานด้วย ก็เลยบอกเขาว่าเลิกกันเถอะนะ ตอนนั้นสมองมันคิดเร็ว ถ้าเลิกกับแฟนเราต้องเอาอะไรออกจากบ้าน เพราะเราอยู่บ้านเช่าด้วยกันด้วยความแบบจริตกะเทย เราบอกว่าไอเลิกกับยูนะ หันไปหยิบมอยเจอไรเซอร์ 1 กระปุกไม่หยิบอย่างอื่นเลย แล้วก็เดินออกมา แล้วไม่เคยกลับไปบ้านอีกเลย

กว่าจะเจอกันอีกก็ 4-6 เดือนที่กว่าเขาจะมาคุย แผลมันสะสมมาเรื่อย ๆ คือเด็กทั้งคู่แล้วกว่าจะมาตกตะกอนได้ ทั้งคู่ว่าวันนั้นเราน่าจะคุยกันอีกแบบหนึ่งหรือว่าอะไรผิดไปก็ผ่านมา 1ปีแล้ว เราไม่ได้อยู่บ้าน อยู่ที่อังกฤษ ไม่มีคนที่จะพักพิงได้ขนาดนั้น วันที่หย่าเพิ่งเริ่มเรียนปริญญาเอกแล้วก็เป็นนักจิตบำบัดฝึกหัดด้วยแล้วแผนกที่ต้องไปฝึกงานแผนกจากลา การสูญเสียคนรัก เพราะฉะนั้นคนไข้ที่เข้ามาคุยกับเราจะคุยเรื่องความรัก ตอนนั้นก็นั่งเกร็ง ชีวิตเราผ่านมาเยอะ แต่การหย่ากับสามี เพิ่งเคยเข้าใจว่าเราตื่นมาทุกวันแล้วมีคำถามตัวเองว่าฝันหรือเรื่องจริง ชีวิตที่มีความสุขขนาดนั้น ทำไมเราถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ โทรไปหาคุณแม่บอกว่าตัดสินใจแล้วว่าจะหย่า ปกติคุณแม่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแม่พูดคำเดียวว่ากลับบ้านลูก เหมือนเราสามารถกู้ทุกร่างที่แหลกของเราขึ้นมา รู้สึกว่าชีวิตเฮงซวย ชีวิตยากแต่มีคนที่รักเราอยู่ที่บ้าน ลุยต่อไปได้จนถึง วันนี้

ทุกวันนี้ยังมีเรื่องอะไรที่คาใจอยู่ไหม กับเรื่องที่เลิกกันในอดีต ถ้าย้อนกลับไปได้อยากถามอะไรตัวเอง

เขื่อน ภัทรดนัย : ไม่อยากถามเขา เพราะรู้สึกว่าในฐานะแฟน ในฐานะอดีตคนที่แต่งงานกัน เราทำหน้าที่สามีที่ดีที่สุดแล้ว แต่อยากกลับไปบอกตัวเองว่ารักคนอื่นรักได้ เป็นคนเชิดชูความรักมาก รักคนอื่นได้แต่ต้องไม่ลืมรักตัวเอง อยากกลับไปคุยกับตัวเองแล้วตบหลังว่าจะบ้าผู้ชายจะรักใครแต่อย่าลืมรักตัวเองด้วย ถ้าคนอื่นเขาให้ความรักเราได้ เขาก็เอาคืนไปได้เช่นกัน วันที่เขาไม่ได้อยากได้สิ่งที่เขาอยากได้ คล้าย ๆ เอาความรักที่เขาให้เราคืนไป แล้วเราก็จะพยายามหาอะไรไปแลกเพื่อได้ความรักนั้นคืนมา เรียกทฤษฎีนี้ว่า Self-love 30-70 ถ้าเราเป็นคนที่รักตัวเองได้แค่ 30% เราต้องหาอย่างอื่นมาถมให้รู้สึกเป็น 100% ต้องมีแฟน ต้องปังในโซเชียล แล้วจะรู้สึกคอมพลีท ถ้าเกิดเรารักตัวเองได้แบบ 100% หรือ 90% อะไรดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตนะมันคือ กำไรล้วน ๆ

เรื่องรักที่บางคนเจอความรักที่เป็นแพทเทิร์นคนเดิม ๆ จะก้าวผ่านยังไง
เขื่อน ภัทรดนัย : เราชอบบอกว่าทำไมเราถึงดึงดูดแพทเทิร์นคนเดิม ๆ เราไม่ได้ดึงดูดเขา แต่วิ่งหาอะไรที่มาเติมเต็มเราที่รู้สึกว่ามาเป็นความรักให้เรารู้สึกคอมพลีทได้ ต้องมองมุมกลับ เราชอบโทษว่าแบบมีแต่คนแบบนี้เข้ามาหาเรา จริง ๆ คนเข้ามาหาหลายแบบแต่เราอาจจะเปิดประตูให้คนรูปแบบนี้

ความสัมพันธ์ที่ Healthy ในนิยามของเขื่อนคืออะไร
เขื่อน ภัทรดนัย : ณ วันนี้ในวัยนี้คืออยากให้เขารักทุกพาร์ทของเขื่อน ไม่ใช่แค่ว่าชอบเราเพราะเห็นว่าทำงานเก่ง เขาต้องรักในมุมที่ไม่ดีของเรา รักทุกพาร์ทที่เป็นเรา

ตอนนี้ความรักที่มีอยู่เป็นแบบนี้หรือเปล่า

เขื่อน ภัทรดนัย : แฮปปี้มาก พอหย่า พอมีแฟนแล้วจะกลายเป็นออกซิเจนน่ะ Hopeless Romantic สุด ๆ เราเชิดชูมาก แต่กลายเป็นพอหย่ากับอดีตสามี เราทำงานกับตัวเองเยอะมาก กลายเป็นคนที่มีกำแพงสูงมาก ก่อนที่มาเจอแฟนคนปัจจุบัน ต่อให้มีคนที่ดีเข้ามาเราก็จะหาอะไรที่ไม่ดีจนเจอ เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่านสุดท้ายความรักมันก็ต้องไม่รอดอยู่ดี กลายเป็น 4 ปี ที่แบบกำแพงเราสูงมากเราปกป้องตัวเองจนกลายเป็นเราป้องกันตัวเองจากสิ่งดี ๆ ด้วยเราไม่ให้สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต จนมาเจอลุงแมทหรือแฟนปัจจุบัน ก็คือเข้ามาแบบงง ๆ ไปเที่ยวกับเพื่อนที่ชื่อตั้มกับโดม คืนนั้นไม่อยากออกด้วยคิดในใจว่าอยากทำงานเหนื่อยอยากนอน ไหน ๆ ก็ออกมาแล้วเอ็นเตอร์เทนเพื่อนสาว เห็นเขายืนอยู่ เราไปชมเขาว่าตาสวย แล้วก็วิ่งหนีเขาไปอีกวันนึงก็ไปงานที่เชียงรายแล้วก็ผ่านวัดสีน้ำเงิน มีคนบอกว่าวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ ถ้าอยากขออะไรลองขอ เขื่อนเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ รู้สึกเฉย ๆ ก็พูดว่าถ้าเกิดแน่จริงก็ให้พี่เขามาจีบสิ พอหลังจากนั้นเขา dm มาไปกินข้าวกันไหม หลังจากวันนั้นที่ไปกินข้าวกัน ไม่เคยห่างกันอีกเลย ในอนาคตจะเป็นยังไงเราว่ากัน แต่ในวันนี้รู้สึกว่ามันดี รู้สึกว่าไม่ต้องพยายามมากกับความรัก

การที่เรามีความรักที่ไม่ดี มันส่งผลกับชีวิตเรายังไงบ้าง
เขื่อน ภัทรดนัย : สุด ๆ เรากินอะไรเราก็เป็นแบบนั้น อยู่กับใครก็เป็นคนแบบนั้น แล้วคนรักคืออยู่ใกล้กันเลย อยู่ข้างเรา ถ้าคนรักเราท็อกซิกแล้วเขาไม่ซัพพอร์ตเราก็จะรู้สึกตัวเล็ก เราก็จะกลายเป็นคนท็อกซิก แล้วก็จะเป็นคนที่เป็นแสงสว่างที่ค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าความรักมันดีแล้ว คนข้าง ๆ ซัพพอร์ต จะตื่นมาแล้วอย่างน้อยก็มีคนนี้อยู่ข้าง ๆ เรา ชีวิตมันบวก มีความสุข

คนที่รู้ว่ามีแฟน Toxic แต่ออกมาไม่ได้ แนะนำเขายังไง
เขื่อน ภัทรดนัย : จะไม่บอกว่าให้เลิกเพราะถ้าเขาออกได้ ออกไปแล้ว คนที่มีแฟนท็อกซิก เขารู้ว่าแฟนเขาท็อกซิก แต่ตัวเขาออกไม่ได้ ก็จะอธิบายให้ฟังว่ากลไกของการมีแฟนท็อกซิกคืออะไร คนที่มีแฟนท็อกซิกเหมือนกับเราเสพติดอะไรบางอย่าง เพราะเวลาดีมันก็ดี มันดิ่งแบบติดลบ วันที่เขาดีกับเราเพราะเขาต้องการอะไรจากเรา เขาก็แค่พูดดีกับเราหน่อย ก็แค่ดูแลเราดีขึ้นมานิดหนึ่ง เราไปเสพติดเข้าใจว่าความรักที่ดีคือต้องขึ้นสุดลงสุดเลยออกไม่ได้ พอจะออกก็รู้สึกว่าแล้วถ้าออกไปจะมีคนให้เราได้แบบนี้อีกไหม คนที่เสพติด ท็อกซิก

พอไปนาน ๆ เราก็จะดึงดูดคนท็อกซิกเข้ามาเรื่อย ๆ พอเจอใครที่ Healthy จะรู้สึกว่าเขาไม่ได้รักเรา รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ทุกคนอยากถูกรัก อยากคู่ควรกับความรักดี ๆ แต่บางทีมันยังไม่โคจรมาให้เจอกัน เพราะฉะนั้นในวันที่เป็นคนที่ไม่ใช่ เราก็อย่าลืมรักตัวเอง

สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=N1stKIQlGIA&ab_channel=Alivedot
“สมิธ ภาสวิชญ์” ชวนแฟนคลับทำบุญวันเกิด สร้างรอยยิ้มให้ผู้สูงอายุ ในกิจกรรม “Happy Birthday Charity”
ถือเป็นการรวมพลครั้งสำคัญของชาวโสงโหลงเสงเหลง ที่พร้อมใจกันมาจัดกิจกรรมเพื่อสังคมเนื่องในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 27 ปี ของนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ “สมิธ ภาสวิชญ์” ภายใต้ชื่อกิจกรรม “Happy Birthday Charity” เพื่อส่งต่อความรัก ความสุข และพลังบวกให้กับผู้สูงอายุอย่างอบอุ่นหัวใจ ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค

งานนี้ไม่ใช่แค่เพียงการฉลองวันเกิดทั่วไป แต่เป็นการส่งต่อความสุขจากหัวใจถึงหัวใจให้กับผู้สูงอายุ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทั้งจากเจ้าของวันเกิด และแฟนคลับ ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมความสุขที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำของใช้จำเป็นไปมอบให้ การจัดเลี้ยงอาหารกลางวันแสนอร่อย รงมถึงการร่วมกิจกรรมสันทนาการ พูดคุย ร้องเพลง สร้างความสดใสและความคึกคักกับผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี ความพิเศษของงานนี้ยังอยู่ที่การรวมตัวของเพื่อนสนิทอย่าง กลัฟ คณาวุฒิ, จูเนียร์ กาจบัญฑิต, แบม สราลี, เนเน่ ธันย์ชนก และ เฟิร์ส เอกพงศ์ ที่ไม่ได้มาแค่ให้กำลังใจสมิธ แต่ยังร่วมแบ่งปันความสุขด้วยการนำก๋วยเตี๋ยวเรือลำพายรสเด็ดมาเลี้ยงผู้สูงวัยและแฟนคลับ ก่อนปิดท้ายด้วยช่วงเวลาพิเศษที่สมิธพูดคุยขอบคุณแฟนคลับด้วยรอยยิ้มจาก หัวใจ

งานนี้สมิธได้กล่าวถึงความรู้สึกในวันพิเศษนี้ว่า “วันเกิดปีนี้ผมอยากให้เป็นวันแห่งการแบ่งปัน ผมดีใจที่ได้มาอยู่ตรงนี้กับแฟนคลับและส่งความสุขให้กับผู้สูงอายุครับ” ถือว่ากิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงของขวัญวันเกิดสำหรับสมิธเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ ที่จุดประกายให้เห็นความสุขที่แท้จริงสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยการให้และแบ่งปัน ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าเกินกว่าจะประเมินได้ และจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้รับและผู้ให้ไปอีกนานแสนนาน
“เจ้านาย จินเจษฎ์” รับโสดลดสถานะ “เนเน่” ถอยกลับมาเป็นเพื่อนกัน!
ก่อนหน้านี้มีเรื่องให้ชาวเน็ตขาเผือกจับตาถึงเรื่องความรักของนักร้องหนุ่ม เจ้านาย จินเจษฎ์ วรรธนะสิน ลูกชายคนโตของ เจ เจตริน และ ปิ่น เก็จมณี ว่าตอนนี้กลับมาโสดแล้วหรือเปล่า หลังสังเกตว่านักร้องหนุ่มได้อัลฟอลโลว์ไอจี “เนเน่”แฟนสาวนอกวงการแล้วล่าสุด เจ้านาย ได้เปิดใจ
ยอมรับว่าตอนนี้ลดสถานะกับแฟนสาวแล้วเหลือเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ตอนนี้สถานะโสด ส่วนเรื่องอันฟอลโล่กันมันเป็นอาการของวัยรุ่นงอนกัน ก็คือมีงอนกันบ้าง แต่ตอนนี้ก็คือเป็นเพื่อนกัน คือผ่านการคุยกันมาแล้ว

-เพราะว่ามันมีช่วงที่ดีมากๆ หรือมันอาจจะต้องมีช่วงที่ต้องปรับตัวกันเยอะหน่อย บางทีพอมันปรับตัวกันมากๆ แล้วมันเหนื่อย ก็เลยรู้สึกว่ากลับมาเป็นเพื่อนกันก่อน ไม่ได้มีเรื่องของคนอื่น หรือมือที่ สาม

-สาเหตุที่ทำให้ไปต่อไม่ได้ หลักๆ มันคือไลฟ์สไตล์ ตนร้องเพลงกลางคืน ทำเพลงกลางคืน ซึ่งเค้าก็เข้าใจในการทำงานของตน แต่มันก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้ความคิดไม่เหมือนกัน บางทีตนเดิน เค้าวิ่ง บางทีเค้าเดิน ตนวิ่ง แต่มันเป็นแค่ปัญหาของวัยรุ่น ไม่ได้มีอะไรที่มันไม่ดี"
#เจ้านายจินเจษฎ์ #สยามดารา
ร่วมยินดี “ลูกตาล ชโลมจิต” ภูมิใจได้เป็นแพทย์แผนไทยตามรอยคุณพ่อ
เรียกว่าแฟนๆ ต่างร่วมยินดีกับความสำเร็จของอดีตนักแสดงสาวเซ็กซี่ “ลูกตาล ชโลมจิต” ที่เจ้าตัวโพสต์แจ้งข่าวดี ได้สำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์แผนไทย เป็นคุณหมอตามรอยคุณพ่อ “หมอถนอม จันทร์เกตุ” สมความตั้งใจ ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค 68 ที่ผ่าน ลูกตาล ได้โพสต์ภาพตัวเอง รวมถึงภาพใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย จากสภาการแพทย์แผนไทย พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า “ถึงพ่อของลูก หมอถนอม จันทร์เกตุ

แพทย์แผนไทย ไม่ใช่แค่การรักษา แต่เป็นการเยียวยาทางจิตใจ ด้วยจิตวิญญาณของภูมิปัญญาไทย โดยใช้ความรู้ที่ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาแต่โบราณ คือสิ่งที่ลูกตาลตั้งใจศึกษาผ่านมาตลอด 4 ปี และวันนี้ในวันที่ลูกได้เป็น “หมอ” สมความตั้งใจแล้วนั้น ลูกจะขอปฏิบัติตนให้เป็นหมอที่ดีมีจริยธรรมในทุกการรักษา ในทุกตำรับยาจะมีเสียงของพ่อและครูบาอาจารย์อยู่ในหัวใจ และลูกจะขอสืบทอดภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และวิชา ตำรับยาของพ่อให้ดำรงอยู่สืบไป และมีจิตปรารถนาให้ “ผู้ไข้” หายจากเจ็บไข้ได้ป่วย โดยมิหวังเอารัดเอาเปรียบ จะ พยายาม ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

พท.ว.ภ. ทิพย์วรรณ จันทร์เกตุ (หมอลูกตาล) Thai Traditional Medical Physician”
#ลูกตาล #สยามดารา
"นาตาลี เดวิส" สุดช้ำ! แม่บ้านที่ไว้ใจ ขโมยเงินสดกว่า 1 ล้าน
เมื่อวันที่ 17 ก.ค 68 “นาตาลี เดวิส” อดีตนักร้องและนักแสดงสาวชื่อดัง ได้เจอเหตุการณ์ที่เจ็บปวดใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อแม่บ้านที่เธอให้ความไว้วางใจและดูแลเหมือนคนในครอบครัว ขโมยเงินสดไปกว่า 1 ล้านบาท โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน ได้ติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย นาตาลี ได้แชร์เรื่องดังกล่าวผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวระบุว่า “วันนี้เป็น 1 วันที่หนักหนามากที่สุดในชีวิต เจ็บ จุก จนพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องเอาคนเข้าคุก… แม่บ้านที่เรารักและให้เกียรติเค้า ดูแลเสมือนคนในครอบครัว อยู่กันมา 1 ปี ไม่เคยแบ่งแยก กินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แม่สอนมาแต่เด็กว่าห้ามเรียกแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงว่าคนใช้

เค้ามาดูแลบ้าน มาช่วยเราเลี้ยงลูก มาเป็นลูกมือเรา เราต้องดูแลเค้าดี ๆ จนวันนี้ล่ะ ได้รู้ว่า มนุษย์บางคนมันเลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ… เงินสด 1 ล้านกว่าบาทที่หายไป เงินเก็บก้อนสำคัญที่สามีนาตาลีทำงานเก็บหอมรอมริบมาด้วยความสุจริต กลับถูกคนโลภขโมยไป ทั้งช็อก ผิดหวัง และ เสียใจ ไม่คิดว่าจะทำกันได้ลงคอ ผิดที่ไว้ใจจริง ๆ

สุดท้ายนี้ นาตาลีขอกราบขอบพระคุณ พี่ ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. คลองตัน โดยเฉพาะฝ่ายสืบสวน ที่ทำงานกันอย่างมุ่งมั่นและไม่ลดละ พยายามช่วยพวกเราทุกวิถีทาง ทั้งปลอบใจ ให้กำลังใจ จนเดินทางมาสู่การจับกุมในวันนี้ นาตาลีและสามี ซาบซึ้งใจ และจะจดจำเป็นบุญคุณไม่ลืมเลยค่ะ

ส่วนเรื่องเงินที่ถูกขโมยไป คนร้ายได้อ้างว่าส่งกลับ สปป ลาวไปหมดแล้ว เงินไม่มีเหลือที่ไทยแล้ว หากมีท่านใดที่ได้รับเงินไป ขอความกรุณาช่วยนำเงินมาคืนนะคะ เงินมันเยอะมากจริงๆ เราไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร เราอยากได้เงินของเราคืนค่ะ หากใครมีช่องทางหรือคำแนะนำในการทวงคืนเงิน ช่วยชี้ทางสว่างด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ปล. แม่บ้านและพี่เลี้ยงดี ๆ นาตาลีเชื่อว่ามีแน่นอน เพียงแต่เราอาจจะโชคไม่ดีเอง ที่ไว้ใจคนผิดค่ะ”
“เชน ธนา” โดนตราหน้าว่าโกง แบกหนี้ 800 ล้าน ชีวิตขึ้นสุดลงสุด ดีที่ไม่ตาย!
Life Line สัปดาห์นี้เปิดเส้นทางนักสู้ “เชน ธนา” ที่เกือบทำให้ไม่รอด แบกหนี้ 800 ล้าน ชีวิตขึ้นสุด ลงสุด แต่ไม่ยอมแพ้! จากเด็กหัวการค้าสู่ศิลปินบอยแบนด์ และนักธุรกิจพันล้านที่เผชิญวิกฤตหนักครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกือบจบชีวิต พร้อมบทเรียนชีวิตที่ว่า “ทุกครั้งที่ชีวิตติดลบ เขาเชื่อว่าจะมีบวกเสมอ”

โมเมนต์วัยเด็ก ๆ ถึงอายุ 13 ปี
เชน ธนา : ผมอยู่นครปฐม ริมแม่น้ำท่าจีน โตในครอบครัวอุตสาหกรรม โรงงานทอผ้า มี 3 โรงงาน รอบบ้านผม 17 ไร่ เราโตมากับพ่อจ่ายเงินเดือนพนักงานด้วยเงินสดยังไม่มีโอน เห็นพ่อนั่งดูตลาดหุ้น เราก็จะอยู่กับตัวเลข เห็นพ่อมีชีวิตดีครอบครัวดี เริ่มซึมซับเรื่องธุรกิจ ช่วงประถม 2 เขาเรียกผมว่า หัวการค้า เป็นช่วงที่ผมภูมิใจ อายุ 7 – 10 ปี เริ่มทำธุรกิจครั้งแรก หยิบจับอะไรก็เป็นเงิน เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีลูกเยอะเราก็ขายได้ เราได้เงินมา 4 หมื่น ให้แม่ ตัดสินใจไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยเงินของเราเอง ผมชอบขายของตั้งแต่เด็ก

มาเป็นศิลปินได้ยังไง
เชน ธนา : มีจุดเปลี่ยนนิดหนึ่งคือตอน ม.5 ในช่วงที่เราล่าฝัน ผมไปเดินเซ็นทรัลปิ่นเกล้า มีแมวมองมายื่นนามบัตร บอกว่าเป็นแมวมองอยู่ RS ผมก็ไม่สนใจ ไม่คิดว่าจะมาร้องเพลง แต่ก็ให้เบอร์ ฝากประวัติไว้เฉย ๆ ไม่ได้สานต่อ จนมาสอบติดธรรมศาสตร์ เข้าสู่การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เป็นบันไดปูทางสู่วงการบันเทิง แต่ผมค่อนข้างเกเรพอสมควร จะลาออกหลายรอบ หลังจากเป็นลีดโต๊ะที่ธรรมศาสตร์ วันนั้นจำได้เลยครับ เปลี่ยนชีวิต คือใส่ชุดฮิปฮอปแล้วเต้น วันนั้นโต๊ะเราได้ที่ 3 ก็ร้องไห้เลย เพราะลีดธรรมศาสตร์สำคัญกว่าเรื่องเรียนมาก ความจริงจังของผมไปเตะตารุ่นพี่ที่วารสารเขาเลยพาไปแนะนำกับ บก. นิตยสาร Knock Knock เราก็ได้ขึ้นปก หลังจากนั้น 1 เดือน ก็ได้มาลงปก เธอและฉัน ภายใน 2 เดือนชีวิตก็เปลี่ยน แล้วก็ได้ไปเจอโฟร์ เพื่อนรักที่สุดในวงการ โฟร์ก็ดันขึ้นมาเป็นพระเอก MV แล้วมันก็เป็นจังหวะชีวิตพลิกผัน Nice 2 meet you มี 5 คน ปั้นจั่น, แจ็ค, เต้ และน้องอีก 2 คน แต่น้อง 2 คนเหมือนมีปัญหาออกไปก่อน เหลือ 3 คน จังหวะที่พวกเขารวมวงกันมา 1 ปี ผมเข้ามาฝั่งละคร พอฝั่งละครเสร็จกำลังจะไปเล่นละคร ฝั่งค่ายเพลงมีที่ว่างอยู่ขาหนึ่ง เขาก็เลยจับผมไปเสียบ เพราะเคยเล่น MV มา กลายเป็น Nice 2 meet you มี 4 คน

โมเมนต์ที่จดจำตอนอายุ 23 – 26 ปี
เชน ธนา : เป็น Triple Shot เป็น Combo Set ที่วันนี้ถ้าผมมาเจอเหตุการณ์นั้นในอายุ 38 ผมอาจจะไม่รอด เพราะมันเป็นวัคซีนที่ดีมากและแรงที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่ง เกิดความคิดเหมือนคนอ่อนแอในวินาทีนั้น คือบทสุดท้ายมีไอเดียที่อยากตายขึ้นมาวันนั้น จุดเริ่มต้นคือ วงแตกก่อน เริ่มรู้สึกไม่มั่นคงทางการเงิน เพราะต้องจ่ายค่าเทอมเอง ตอนนั้นก็เริ่มซื้อบ้านให้แม่แล้ว ผ่อนบ้านเดือนละ 3-4 พัน มีปัญหาเรื่องเงินเลยไปลงทุนทำธุรกิจในช่วง 2-3 ปีนั้น ทำธุรกิจแรกคือมอเตอร์ไซค์ เปิดร้าน Gift Shop ปีแรกดี มีกำไรเหลือ 20,000 บาทต่อเดือน จ่ายค่าเทอมได้ ไม่รบกวนที่บ้าน แต่มีสถานการณ์ทางการเมืองปิดแถวพารากอน แต่ตอนนั้นยังไม่เจ๊ง ก็ถอนกำไรออกมา หยุดสัญญาเช่า ไปเปิดร้านเสื้อผ้าที่ประตูน้ำต่อ 7 เดือนแรกดีเลยครับ เหลือประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน หักทุนหมดแล้ว แต่เครดิตโรงงานมี 5 ล้านบาทคอยหมุน

ซึ่งเราไม่ได้นับเป็นทุน เพราะเป็นเด็กก็เอาเงิน 1 ล้านมาใช้จ่ายไปเรื่อย ๆ อายุ 22 ก็มีเงินเดือนละ 1 ล้านบาท ช่วงนั้นวงเริ่มใกล้จะแตก ไม่ได้เครียดเรื่องเงิน แต่สถานการณ์ทางการเมืองปิดราชประสงค์ แล้วร้านเราอยู่ประตูน้ำก็เรียบร้อย คราวนี้เงิน 5 ล้านนั้นเลยเต็มวงเงิน กลายเป็นหนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิต แล้วแม่เจอเนื้ออกตรงก้านสมอง ตอนแรกก็สู้ พยายามประคองวงกับสมาชิกใหม่ได้ประมาณปีนิดๆ ก็วงแตกอีกรอบ แตกแบบถาวร ใช้หนี้ไม่หมดสักที ก็เริ่มยืมเพื่อน มองหาวิธีอื่นซึ่งมันไม่มี

วงแตกก็ไม่มีงาน งานเดี่ยวก็ดังไม่พอ พิธีกรก็งานละ 2,500 ไม่รู้จะใช้หนี้ 5 ล้านยังไง เริ่มมืดแปดด้าน ก็เริ่มติดเหล้า ติดเบียร์ ดูดบุหรี่ ไม่มีทางออก เป็นช่วง 3 เดือนที่แย่ที่สุดในชีวิต จุดต่ำที่สุด คืออันนี้ผมว่าเป็นอุทาหรณ์นะ ถ้าผมไม่ได้มีเรื่องพุทธศาสนาอยู่ในใจ ผมอาจจะเป็นข่าวไปแล้ว วันนั้นผมมีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งว่าการใช้หนี้ได้ ผมต้องออกเดี่ยวเท่านั้น จะจัดสรรตารางคิวงานเองได้ แล้วเรียกค่าตัว 10,000-15,000 บาท ถ้าค่าตัว 15,000 หางานแค่ 30-40 งานก็ครึ่งล้านแล้ว แสดงว่ามีลุ้นประมาณครึ่งปีก็คงจบ ก็มีความหวังขึ้นมา แต่ก็มีคำพูดดูถูกว่าทำไม่ได้ ไปไม่รอด จิตใจไม่พร้อมรับคำอะไร ยุค Gen Y ผมมันไม่ได้แข็งแรงเหมือนคุณ เข้าสู่ช่วง 3 วันอันตรายที่สุดในชีวิตผม คือช่วงที่ขับรถแล้วเริ่มเหยียบ 190 กม./ชม. ไม่กลัว เริ่มไม่กลัว แต่ไม่อยากตายด้วยการฆ่าตัวตาย อยากตายด้วยการมีรถแฉลบมา เริ่มนั่งเครื่องบินก็อยากให้เครื่องบินตก โดยไม่ได้คิดถึงหัวใจคนอื่น มีความท้อแท้ในชีวิตขึ้นมา แล้วก็กินเหล้าทุกคืน จำได้เลยว่าวันสุดท้ายก่อนที่จะคิดได้คือตอนขึ้นคอนเสิร์ตท้ายๆ ของ 7 สีคอนเสิร์ตที่เป็นวง และก็อ้วกอยู่หลังเวที ก็พร้อมไปตลอดตอนนั้น

ออกจากภาวะอย่างนั้นมาได้อย่างไร
เชน ธนา : มีเรื่องของจิตที่นิ่งถึงจุดหนึ่ง และอาจจะเป็นข้อมูลเชิงบวกที่เป็นยารักษาที่ดีจริง ๆ เหมือนพ่อแม่เราก็ยังอยู่ และมีคนบอกว่าอย่างเชนน่ะค่าตัว 15,000 เป็นไปได้นะ แค่ไม่ต้องออกเดี่ยวก็ได้ คือไปรับจ็อบอะไรก็ได้ มันเลยมีความหวังขึ้นมา แล้วก็เริ่ม generate สมองว่า 5 ล้านเรามองให้มันเป็นเล็กๆ ลง แต่ใช้ระยะเวลานานขึ้น มันเลยมีไอเดียขึ้นมา หลังจากที่คิดอ่อนแอ ก็เลยซื้อพวงมาลัยไปล้างเท้าพ่อแม่ที่บ้านเกิด แล้วกลับมาแก้ไขปัญหา วันนั้นผมหนักมากเลยนะ แต่ตอนนี้ผมกลับเล่าเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่สะเทือนขนาดนั้น เป็นอุทาหรณ์ ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ คือบางทีเราคิดว่าเราเก่ง คำพูดเราดี แต่คำพูดมันฆ่า คนได้

หลังจากนั้นผมขอนัดเลขาส่วนตัวของเฮียฮ้อ (เจ้าของ RS) เพื่อคุยตรง ๆ ออกเทปเดี่ยว ซึ่งเฮียก็บอกว่า "ให้เวลาเชน 3 เดือน ไปฝึกซ้อมมา แล้วจะให้ออกเดี่ยว" ผมเลยเปลี่ยนทีมติวทันที เพราะทีมเดิมไม่มั่นใจว่าผมจะไหว จากนั้นก็ได้พี่แหม่ม พัชริดา มาช่วย เป็นเหมือนแม่ในวันนั้นเลยครับ พอได้เริ่มออกเดี่ยว ชีวิตผมก็ค่อย ๆ คลี่คลาย การออกเดี่ยวแค่เดือนเดียว รายได้เท่ากับทำวงทั้งปีเลยจริง ๆ จากตรงนั้น ผมเริ่มวางแผนเรื่องการเงินได้ดีขึ้น ตอนแรกก็รับงานหมดทุกอย่าง อย่างลอยกระทง ผมรับถึง 3 งานในวันเดียว บ้างานมาก จนหนี้ 5 ล้านก็ค่อย ๆ ลดลง

ช่วงอายุ 25 – 26 ปี
เชน ธนา : เป็นช่วงที่ผมตั้งใจสุด ๆ มุ่งมั่นมาก ทุกอย่างเริ่มจัดระเบียบได้ ผมตั้งเป้าว่าในอีก 2 ปีจะเคลียร์ทุกอย่างให้จบ เลยไปสมัครงานประจำด้วย ตอนนั้นเริ่มคิดจริงจังแล้วว่า ปัจจัย 4 ของชีวิตเราคือต้องใช้ประมาณเดือนละ 100,000 เพราะผ่อนบ้านให้แม่ด้วย ทำงานประจำวุฒิศักดิ์คลินิก ช่วงนั้นวุฒิศักดิ์ให้เข้างานแค่ 4-7 วันต่อเดือน ที่เหลือผมทำออนไลน์เต็มที่ เป็น Top 3 ของ High Five ติด Mention อันดับ 1 บน Twitter อย่างน้อยอาทิตย์ละวัน อยู่วุฒิศักดิ์เราโตเร็วมากจบด้วยการเป็นผู้บริหารและยังเป็นศิลปินเดี่ยวควบคู่กัน เราเจอแฟน ซึ่งก็คือภรรยาของผมในตอนนี้ เราใช้ชีวิตด้วยกันมา 10 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นเริ่มต้นจากเงินเดือนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็มีบริษัทมาติดต่อซื้อตัวไป สุดท้ายวุฒิศักดิ์ซื้อตัวผมกลับด้วยเงินเดือน 120,000 บาท ด้วยตำแหน่งหน้าที่ ผมมีงบสนับสนุนโปรเจกต์ต่าง ๆ ก็เลยได้เป็นสปอนเซอร์เวทีนางงาม แล้วปีนั้นก็เป็นปีแรกของมิสแกรนด์ แล้วผมก็ได้เจอภรรยาผมจากเวทีนั้นด้วย

อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกว่าใช่กับแฟน แล้วความรักครั้งนี้เปลี่ยนคุณยังไง
เชน ธนา : ชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยความรักนะครับ จุดอ่อนของผมก็คือเรื่องความรัก ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าความรักสะดุด ทุกอย่างก็พังหมด พอเจอคนนี้ ผมแค่รู้สึกว่าเขาเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผมจริงๆ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ หายใจแล้วโล่ง ไม่รู้สึกว่าผมต้องเป็นคนผิด เราเรียนรู้กันอยู่ครึ่งปี ตอนนั้นอยู่บ้านเดียวกันด้วย เขาเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตแบบ Slow Life ซึ่งมันต่างจากผมมาก ชีวิตผมวิ่งมาราธอนมาตลอด แล้วพอเจอเขา มันเหมือนได้หยุด ได้กลับมาเป็นตัวเอง ดีที่ไม่ตาย เพราะถ้าตายตอนนั้นไป มันก็เหมือนแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นแค่ช่วงนึงของวัยรุ่น ที่อารมณ์พาไป เหมือนตอนอกหักแล้วอยากเปิดฝักบัวราดหัวเฉย ๆ พอมองกลับไปตอนนี้ ผมอยากกลับไปตีหัวตัวเอง เลย

โมเมนต์ที่จดจำ อายุ 27 ปี - ปัจจุบัน
เชน ธนา : หลังจากอายุ 26 ปี ผมได้เจอกับภรรยา ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีสัญชาตญาณของการเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัว พอเข้าอายุ 27 - 31 หลายคนน่าจะจำภาพลักษณ์ของ “เชน ธนา Amado” ได้ดี แปลว่า ‘สุดที่รัก’ เป็นช่วงที่ทำยอดขายได้ 100 ล้านแรก ตอนนั้นผมเพิ่งปลดหนี้ได้เกือบหมด แต่ยังไม่มีเงินก้อนพอจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ยังไม่พร้อมมีครอบครัว เพราะรายได้หลักแสนต่อเดือน ยังไม่พอจะผ่อนบ้านให้แม่ แม่ก็กำลังรักษาอาการเกี่ยวกับสมอง ต้องตรวจ MRI ตลอดเวลา ถ้าจะผ่าตัดก็เป็นล้าน พอเจอภรรยา ผมเลยประเมินว่า ต้องมีรายได้เดือนละอย่างน้อย 300,000 บาท ถึงจะพร้อมดูแลครอบครัวได้จริง ๆ เลยคิดว่าคงต้องลาออกจากวุฒิศักดิ์คลินิก แล้วเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ตอนนั้นผมเริ่มเห็นเทรนด์ Health & Beauty ทั่วโลก เป็นเทรนด์ที่โตเร็วมาก ผมเลยเอาความรู้แบบครูพักลักจำจากการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ที่เคยร่วมงานกับแบรนด์น้ำดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ ได้เห็นโครงสร้างธุรกิจของยี่ปั๊ว ซาปั๊ว และ Traditional Trade ไปขอเงินลงทุนจากนายทุน

ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครพูดถึงคำว่า “Startup” อย่างจริงจังเลย ผมแค่รู้ว่า ถ้าอยากได้เงินลงทุน ก็ไปขอ แล้วถ้าเขาให้ ก็แบ่งหุ้นกัน ไอเดียของผมตอนนั้นคือ เปลี่ยนบ้านธรรมดาปากซอย ให้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้า เวลามีออเดอร์จากออนไลน์ ก็ให้ขนของจากบ้านไปส่งไปรษณีย์ไทย ผมเอาแผนนี้ไปเสนอใครต่อใครก็ไม่มีใครเอา ทุกคนมองว่าบ้าไปแล้วจนสุดท้ายมาเจอเจ้านายผมเอง ซึ่งกลายเป็นหมากตัวสุดท้ายที่ให้เงินลงทุน 5 ล้านบาท นั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจเสริมอาหารสไตล์ Startup ยุคนั้น ในปี 2557 ผมเริ่มต้นจากทุน 5 ล้านบาท จนทำยอดขายได้ 200 ล้านบาทในปี 2560

ภายในเวลาแค่ 3 ปี หลังจากนั้น ผู้ถือหุ้นก็เริ่มมีแผนจะนำบริษัทเข้า IPO มีการเพิ่มทุนและปรับโครงสร้างหุ้นครั้งใหญ่ ผมเองถือหุ้นลดลงจาก 100% เหลือ 38% ส่วนอีกฝ่ายถือ 62% ช่วงนั้นแม่ก็ต้องเข้าสู่การรักษาครั้งใหญ่พอดี ยังไม่ถึงขั้นติดลบ แค่มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้ง เราแต่งงานกัน และซื้อบ้าน ซื้อรถ และขยายขนาดชีวิตในช่วงนั้น ปี 2561 เกิดวิกฤตครั้งใหญ่ในวงการอาหารเสริม เพราะมีกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหลังจากรับประทานผลิตภัณฑ์แบรนด์หนึ่ง ทำให้กลายเป็นเหมือนคลื่นสึนามิถล่มอุตสาหกรรมทั้งหมด ผมเสียดายมากนะ ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น ประเทศไทยอาจจะเป็นศูนย์กลางของอาหารเสริมโลกได้

กระทบกับ Amado โดยตรงเลยไหม
เชน ธนา : ตอนแรกยังไม่กระทบเรา แต่แบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มหนีไปผลิตในต่างประเทศ เช่น เกาหลี เพราะกลัวการตรวจสอบในไทย ส่วนเราโดนทีหลัง เริ่มจากเพจชื่อดังเพจหนึ่งที่มีอิทธิพลมาก เขาชี้เป้าแบรนด์ต่างๆ ว่าผิดกฎหมาย บางแบรนด์โดนตรวจสอบ บางแบรนด์ถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ แล้วก็โดนกันทีละแบรนด์ จนวันหนึ่งมันมาถึง Amado เรื่อง "สลากอาหารผิด" จริงๆ แล้วเป็นแค่การพิมพ์เลขที่โรงงานผิดจาก 119/11 เป็น 191/11 ซึ่งตามกฎหมายถือว่าผิด แต่ไม่มีผลต่อความปลอดภัยของสินค้าเลย แค่เปลี่ยนเลข แต่คนเข้าใจว่าเราผลิต ผิดกฎหมาย

ผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว
เชน ธนา : ตอนนั้นภรรยาผมกำลังตั้งครรภ์ลูกชายคนแรก ประมาณเดือนครึ่ง อยู่ดี ๆ ก็มี Inbox ด่าเข้ามาเป็นหมื่นข้อความ ทำให้ภรรยาเครียดจนเลือดออก ต้องโทรหาหมอด่วน วันนั้นผมนั่งตอบคอมเมนต์ทีละข้อความทั้งคืน บอกทุกคนว่า “ใจเย็นครับ เดี๋ยวผมชี้แจง” ผมจะฟ้องทุกคนที่หมิ่นประมาทเกินไป สุดท้ายเขาก็ขอโทษ จุดเปลี่ยนคือ 5 โมงเย็นวันนั้น เข้าไปในห้องหมอพาภรรยาเข้าไป หมอก็ตรวจอัลตร้าซาวด์ ได้ยินเสียงหัวใจลูกเต้นครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่วินาทีนั้นจนวันนี้ ปี 68 ผมก็ไม่ได้พักเลย ยังสู้เพื่อครอบครัวมาตลอด

ตอนอายุ 33 ปี เป็นช่วงที่เราได้ผู้ถือหุ้นกลุ่มที่ 3 เข้ามาช่วยกู้วิกฤต ตอนนั้นเราขาดทุนสะสมประมาณ 70 ล้านบาท แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งคือ คอลลาเจน ที่ยังขายดี ผมเลยตัดสินใจ เปลี่ยนแปลง บริษัทให้กลายเป็นบริษัทคอลลาเจน เขาให้เงินลงทุนและปล่อยกู้มา 100 ล้านบาท ทำให้เรามีเงินใช้หนี้ และเริ่มฟื้นตัวจากยอดขาย 200 ล้าน กลายเป็น 600 ล้าน และในปี 63 เราทะลุพันล้าน เรามองไม่เห็นปัญหา ถึงแม้ยอดขายจะพุ่ง แต่ระบบเริ่มไม่ไหว ผมเริ่มเห็นว่าแบรนด์เติบโตเร็วเกินควบคุม และจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงที่ผมให้ติดลบ ปลายปีที่แล้ว ตลอดชีวิตในวงการบันเทิง 16 ปี ผมถือว่าผมไม่มีข่าวฉาวเลย อาจจะมีเรื่องความรักบ้าง แต่ไม่เคยฉาว ไม่เคยหลายใจ ไม่เคยคบซ้อน พอมาทำธุรกิจ

เราตั้งใจใส่ทั้งชีวิตเข้าไปจริง ๆ คือรักแบรนด์ยิ่งกว่าชีวิต รักแบรนด์เหมือนลูกคนหนึ่ง ข้อมูลจากสังคมที่มาจากไหนก็ไม่รู้ และมีคนที่แต่งแต้มสีสันจนเกินความเหมาะสม และร้องไห้หน้ากองปราบ ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ปี 64 ผมถือหุ้น Amado 9% แต่ผมใช้วิธีที่รักแบรนด์นี้มาก แล้วไล่ซื้อหุ้นขึ้นมา จนวันนี้ผมแทบจะเป็นเจ้าของคนเดียว 100% แบกบริษัทที่รับมรดกหนี้ 800 ล้านบาทมาด้วย แก้ปัญหามาตั้งแต่ปี 65-66 การแก้ปัญหานี้ผมสู้มาด้วยความซื่อสัตย์ว่าเรามีหน้าที่ที่ต้องใช้หนี้ให้บริษัท ในฐานะ CEO ณ วันนั้นเสียงในบริษัทมีหลายทิศทาง พยายามอ้างว่าผมไม่ใส่ใจเรื่องการเงิน ผมถูกกล่าวหาซ้ำจากเรื่องเก่า ๆ ทั้งที่คดีถูกยกฟ้องแล้ว เขากล่าวหาว่าผมฉ้อโกง ผมได้ หมายศาลมาแปะหน้าบ้านในวันตรุษจีนปี 66 คนจีนถือมาก ชีวิตมันหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรี และรู้สึกแววตาเริ่มไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง เพราะต้องเริ่มเข้าคอกบัลลังก์ ต้องต่อสู้พูดความจริง แต่บางทีการสื่อสารเราก็ได้ยินเรื่องไม่จริง เราก็โกรธ มันเหมือนเป็นจุดบ่มเพาะชีวิตเราว่า นี่แหละโลกแห่งความจริง ผมเครียดจนผมเดินไม่ได้เลย ลุกออกมาคือขาชา เดินไม่ได้อยู่ 7 วัน เพราะมันเหมือนซ้อมตายเหมือนซ้อมเสียศักดิ์ศรี ต้องมาบอกศาลว่าผมไม่ได้โกง ผมทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผลสุดท้าย ศาลยกฟ้องฉ้อโกงผม ผมบริสุทธิ์

สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้คืออะไร
เชน ธนา : สักวันมันจะผ่านไป ห้ามตาย ห้ามป่วย ห้ามเสียงหมดก่อน เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมบำเพ็ญเพียรมาตลอด 10 ปีที่ก่อตั้งบริษัท ผมตั้งใจมันอย่างดีเยี่ยมสุดชีวิตจริง ๆ ผมคิดว่าทุกคนต้องเห็นค่าบ้าง เพราะเรามีเจตนาที่ดี และอยู่ด้วยจิตตั้งมั่นว่าเราขายของดีจริง ๆ ผมจะชั่วก็ได้ ผมจะใส่ของไม่ดีแล้วขายแพงก็ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินในทางที่มันยากที่สุด มีจรรยาบรรณสูงสุด และวันนี้สิ่งที่มันทำมาตลอด 10 ปี ผมว่ามันเริ่มเป็นกระจกสะท้อนว่า นี่แหละมันทำให้เราไม่ตาย

จากตรงนี้ คิดว่าคุณผ่านจุดนั้นมาได้หรือยัง
เชน ธนา : อายุ 37 ปี มีหนี้ 800 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นทิ้งไปหมด คู่ค้าเหลือไม่กี่ราย มันหนักเกินไป โลกทั้งใบของ Amado เหลือแค่ผมกับไม่กี่คนที่ยังเชื่อมั่น แต่โชคดีที่คนที่ยังอยู่ เขาเข้าใจว่าเราตั้งใจจริง ๆ มันอาจจะทำให้เรารอดจากวิกฤตครั้งนี้ได้

สามารถติดตาม "LifeLine" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot เวลา 18.00 น. คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=4hkNwbPK0No&ab_channel=LifeDot

สามารถติดตามและอัปเดตข่าวสารได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot , IG : lifedot.official ,

TikTok : lifedot_official , Spotify : Lifedot_official
แห่ต้อนรับ “แจ็ค ไททัส” ฉลองมง Mister Model International 2025 ก้าวสู่ตำแหน่งนายแบบระดับโลก
เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้วสำหรับ “แจ็ค ไททัส” นายแบบสายเลือดไทย หลังจากไปคว้ารางวัลชนะเลิศ การประกวด Mister Model International 2025 ที่ประเทศโคลอมเบีย นับเป็นหนุ่มไทยคนที่ 2 ที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัลนี้มาครองได้สำเร็จ สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย งานนี้มีเหล่าแฟนนางงามไปต้อนรับกันแน่นสนามบิน ส่งเสียงเรียกชื่อแจ็คและคำว่าไทยแลนด์ๆ ก้องสนามบินเลยทีเดียว

โดยทันทีที่เดินทางมาถึงแจ็คก็ได้โบกธงชาติไทย แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจที่สามารถสร้างชื่อเสียงประเทศไทย ไปยังเวทีนายแบบระดับโลกได้สำเร็จ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เปิดใจถึงการประกวดครั้งนี้ ว่า

“ความรู้สึกในวันนี้ มันยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลยครับ ตอนที่ชื่อไทยแลนด์ถูกเรียกว่าชนะ ผมนิ่งไป 2 วิ แล้วคิดว่า เอาจริงดิ?(หัวเราะ) แต่พอรู้ว่ามันจริง ก็ทั้งดีใจ ภูมิใจ และขอบคุณมาก ๆ เพราะมันไม่ใช่แค่รางวัลสำหรับผมคนเดียว แต่มันคือความสำเร็จของทีม คนไทยทุกคน และความฝันที่เราพยายามด้วยกันมา

“การแข่งขัยบอกเลยว่ามันไม่ได้ง่ายเลยครับ กินเวลาเกือบ 3 สัปดาห์เต็มที่โคลอมเบีย ทุกวันมีตารางแน่นมาก ตั้งแต่เช้าจนถึงดึก ทั้งเดินแบบ พูดต่อหน้ากรรมการ โชว์วัฒนธรรม เต้นคาร์นิวัล ขึ้นเวทีแบบไม่มีเวลาซ้อมเลย แล้วทั้งหมดนี้เป็นภาษาอังกฤษหรือสเปน แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการที่เราต้องพร้อมเสมอ โดยที่บางทีเรายังไม่ได้พัก ยังไม่ได้กิน แต่เราต้องยิ้ม ต้องสื่อสาร ต้องแสดงศักยภาพให้เต็มที่ เพราะทุกวินาทีคือการตัดสิน”

“แต่สิ่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จครั้งนี้ ผมคิดว่าเขาไม่ได้มองแค่ภายนอกครับ แต่เขามองว่าเราเป็นคนแบบไหน เราจริงใจไหม เราสื่อสารยังไง เราเตรียมตัวยังไง และเราอยากใช้โอกาสนี้ไปทำอะไรต่อ ผมมีเป้าหมายที่ชัดมาก ผมอยากให้คนเห็นศักยภาพของคนไทย และผมแค่อยากทำให้ดีที่สุดในทุกวินาทีที่อยู่บนเวที”

“วันนี้ได้เห็นทุกคนมาต้อนรับผมเยอะมาก พูดไม่ออกเลยครับ คือผมเห็นทุกคนใส่เสื้อขาว ยืนรอ เตรียมดอกไม้ เตรียมป้าย แล้วเสียงเชียร์ดังลั่น มันอบอุ่นหัวใจมาก ผมอยากขอบคุณจากใจจริง ๆ ที่ทำให้การกลับบ้านครั้งนี้ไม่ธรรมดา แต่มันคือ วันประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ผมภูมิใจมากครับ โดยเฉพาะที่ได้ทำให้ประเทศไทยกลับมาคว้ามงจากเวทีระดับโลกอีกครั้ง นี่คือมงที่สองของไทยจาก Mister Model International และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

ผมไม่ใช่คนไทยคนแรกที่ชนะเวทีนี้ แต่ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นคนที่ พามงกลับบ้าน”

“สำหรับผมตำแหน่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการทำงานจริงจังมากขึ้น ผมอยากเติบโตทั้งในฐานะนายแบบ นักสร้างสรรค์ และในฐานะตัวแทนของประเทศไทย ผมอยากใช้โอกาสนี้พัฒนาทักษะใหม่ ๆ ทำงานร่วมกับองค์กรระดับโลก และสร้างผลงานที่ทำให้คนไทยภูมิใจ ภารกิจหลักคือการเป็นตัวแทนเวทีไปร่วมกิจกรรมในหลายประเทศ ทั้งในเอเชียและลาตินอเมริการวมถึงเดินแบบ งานแฟชั่น โครงการเพื่อเยาวชน และการเป็นสื่อกลางเชิงวัฒนธรรม ปลายปีนี้ ผมจะบินไปเดิน Paris Fashion Week เดือนพฤศจิกายน ด้วยครับ ตื่นเต้นมาก”

“ผมจะใช้โอกาสในครั้งนี้ ทั้งให้ตัวเองและคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปรเจกต์ใหม่ การร่วมงานกับองค์กรแฟชั่น และการผลักดันวัฒนธรรมไทยไปสู่สายตานานาชาติ และผมก็อยากทำให้ทุกคนเห็นว่า คนไทยก็โกอินเตอร์ได้ครับ โดยกลับมาครั้งมีแพลนจะอยู่ที่เมืองไทย 2 สัปดาห์ เพื่อสัมภาษณ์สื่อมวลชน และขอบคุณสปอนเซอร์ และเตรียมตัวบินไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ต่อ” สำหรับ แจ็ค ไททัส นั้นดีกรีไม่ธรรมดา เป็นนายแบบ ไทย-อเมริกัน นักร้อง นักเดินทาง และนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมที่มีบทบาทโดดเด่นในระดับนานาชาติ และแฟชั่น สำเร็จการศึกษาด้านผู้ช่วยแพทย์จากมหาวิทยาลัยเนวาดา ลาสเวกัส (University of Nevada, Las Vegas) ในปี 2021 แจ็ค ไททัส ได้รับตำแหน่ง Mr. Gay World Nevada และเป็นตัวแทนรัฐเนวาดาในการประกวด Mr. Gay World USA โดยเขาเป็นคนเอเชียเพียงคนเดียวที่เข้าร่วมแข่งขันในปีนั้น ยังมีประสบการณ์เดินแบบในงานแฟชั่นระดับโลก เช่น New York Fashion Week และ LA Fashion Week รวมถึงงานแฟชั่นโชว์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันนอกจากนั้นแล้ว
แจ็คยังทำงานด้านสังคมมาโดยตลอด โดยเป็นอาสาสมัครที่ศูนย์ The Center ในลาสเวกัส ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนชุมชน LGBTQ+ เขายังมีส่วนร่วมกับ YMCA ในหลายเมือง เช่น ลอสแอนเจลิส ซานดิเอโก และบาร์รังกียา ประเทศโคลอมเบีย โดยจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและศักยภาพให้กับเยาวชน และความสำเร็จครั้งล่าสุด คว้าตำแหน่งชนะเลิศ Mister Model International 2025
บี้ ธรรศภาคย์ เคยถูกโจรตีหน้าด้วยไม้เบสบอล! เล่าจุดเปลี่ยนชีวิตจากความเจ็บปวด
เบิ้ล AM สัปดาห์นี้พบกับหนุ่มฮอต บี้ ธรรศภาคย์ กับกระแสความแรงที่พูดถึงในซีรีส์เรื่อง สงครามส่งด่วน ในบท เลียม พร้อมเผยเส้นทางชีวิตเด็กไต้หวันที่มาไทยตั้งแต่อายุ 14 ปี กับความฝันอยากเป็นนักร้อง แต่ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าสู่แชมป์ KPN และนักร้องบอยแบนด์เกาหลี ก่อนพลิกฟื้นคืนวงการด้วยซีรีส์วาย ครั้งหนึ่งเคยถูกโจรตีหน้าด้วยไม้เบสบอล ย้อนเล่าจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่าง กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ และการสร้างครอบครัว ‭
‬ ‭
‬ ชีวิตครบครัว เกิดและโตที่ไหน มีพี่น้องกี่คน ‭
‬ บี้ KPN : ผมเกิดและโตที่ไต้หวันครับ เป็นคนไต้หวัน และมีพี่ชาย 2 คน พี่ชายทั้ง 2 คนมีความฝันอยากเป็นนักร้อง โดยคนรองอยากเข้าวงการแต่โดนหลอกเงินจึงทิ้งฝันไป ส่วนคนโตก็ร้องเพลงตามผับ แต่สุดท้ายไม่มีใครได้เป็นนักร้องจริง ๆ มีแค่ผมคนเดียว คนหนึ่งทำงานอยู่ไต้หวัน อีกคนทำงานอยู่ต่างประเทศ พวกเขาไม่ได้มาไทยกับผมครับ ตอนย้ายมาผมย้ายมาคนเดียว ผมย้ายมาตั้งแต่ อายุ 14 ปี ส่วนพี่ชายผมโตกว่าผม 10 ปี พวกเขาอายุ 20 กว่าแล้วเลยตัดสินใจอยู่ ตรงนั้น ‭
‬ ‭
‬ ตอนอายุ 14 ที่ย้ายมาอยู่ไทย พูดภาษาไทยได้ไหม ‭
‬ บี้ KPN : พูดไม่ได้ แม้ว่าแม่จะเป็นคนไทย และผมมาไทยปีละครั้งตอนเด็ก ๆ ก็พูดได้แค่คำง่าย ๆ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ‭
‬ ‭
‬ พ่อแม่สนับสนุนการเป็นนักร้องไหม ‭
‬ บี้ KPN : พ่อแม่ไม่ค่อยอยากให้เป็นนักร้อง เพราะอยากให้เป็นหมอหรือกัปตัน แต่ผมอยากเป็นนักร้อง เพราะชอบร้องเพลงและอยากทำสิ่งที่ตัวเองถนัดและอยากทำทุกวัน ‭
‬ ‭
‬ อะไรคือแรงผลักดันให้มาเป็นแชมป์ KPN ทั้งที่เคยถูกปฏิเสธ ‭
‬ บี้ KPN : ผมยังไม่คิดเลยว่าจะได้แชมป์ KPN แค่ติด 20 คนสุดท้ายก็ดีใจเหมือนถูกหวยแล้ว เพราะประกวดเวทีอื่นมาก็โดนปฏิเสธตลอด บางทีร้องไม่ถึง 15 วินาทีก็โดนให้กลับแล้ว ภาพลักษณ์ตอนนั้นคือ ผอมมาก ดำ และเป็นนักบาส แต่ก็อยากเป็นนักร้อง ‭
‬ ‭
‬ ทำอะไรกับใบหน้าบ้าง ‭
‬ บี้ KPN : ผมทำจมูก เพราะตอนนั้นเคยโดนปล้นที่กรุงเทพฯ โดนโจรใช้ไม้เบสบอลตีหน้า ตอนนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ไปฟิตเนสกับเพื่อนแถวลาดพร้าว สุดท้ายโจรก็ถูกจับได้ และตอนนี้เขาเป็นคนดีแล้ว เพราะช่วงที่ติดคุกเขาได้ส่งข้อความมาขอโทษ เราบอกว่า ….ขอบคุณน้องมาก ทุกวันนี้พี่หล่อแล้ว ‭
‬ ‭
‬ อะไรคือแรงบันดาลใจในการเข้าร่วมรายการ KPN ‭
‬ บี้ KPN : ตอนนั้นมีทั้ง AF, The Star และ KPN KPN เป็นเวทีที่เร็วที่สุด ผมไปเพราะตอนนั้นกำลังกินข้าวแกงอยู่แล้วเห็นโปสเตอร์ KPN แปะอยู่ รู้ว่าเป็นอาทิตย์หน้าเลยไปเลย สิ่งหนึ่งที่ใช้กล่อมพ่อแม่ได้คือ KPN ได้ ถ้วยพระราชทาน ถ้าได้ที่ 1 และมีเงินรางวัล ซึ่งผมรู้สึกว่าจะสร้างเกียรติให้กับตระกูล ‭
‬ ‭
‬ ตอนนั้นถูกบูลลี่หนักมาก ‭
‬ บี้ KPN : ผมร้องเพลงไม่ดี แต่ชอบเต้น ในบรรดา 10 คน ผมคิดว่าตัวเองร้องเพลงแย่ที่สุด แต่กรรมการปีนั้นคงอยากให้คะแนนกับคนที่มีความสามารถหลากหลาย จึงได้ตำแหน่งมา และวันนั้นผมก็ตั้งใจกับตัวเองเลยว่ากำลังโดนคนอื่นว่ากับตำแหน่งนี้ ‭
‬ ‭
‬ การไปอยู่บอยแบนด์ที่เกาหลีเกิดขึ้นได้ยังไง ‭
‬ บี้ KPN : มีคนมาทาบทาม บอกว่าชอบผมที่ชอบเต้น ชอบร้อง และพูดภาษาจีนได้ อยากทำบอยแบนด์แบบอินเตอร์ สุดท้ายพวกเขาก็บินมาหาพร้อมสมาชิกในวง ชื่อวง วิกเตอร์ ผมไปฝึกอยู่ปีครึ่งก็เป็นบอยแบนด์ เดินทัวร์คอนเสิร์ตไปหลายประเทศ เช่น ฮอลแลนด์ เยอรมนี อังกฤษ มีแฟนคลับเต็มเลย ‭
‬ ‭
‬ ชีวิตในวงบอยแบนด์ตอนนั้นเป็นยังไง ‭
‬ บี้ KPN : สำหรับผมไม่ยาก และมีความสุขมาก ทุกวันคือตื่น 8 โมงเช้า กินข้าว ซ้อมเต้นถึงเย็น เรียนภาษาเกาหลี อังกฤษ และร้องเพลง ‭
‬ ‭
‬ ทำไมถึงไม่ได้เป็นบอยแบนด์ต่อ ‭
‬ บี้ KPN : ที่ไม่ได้เป็นบอยแบนด์ต่อเพราะบริษัท เจ๊งครับ ‭
‬ ‭
‬ หลังจากบริษัทเจ๊งและกลับมาไทย สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ‭
‬ บี้ KPN : กลับมาก็เคว้งครับ เพราะที่ไทยไม่มีงาน เนื่องจากไปอยู่เกาหลีปีครึ่ง ทำให้แทบไม่มีใครรู้จักผมแล้ว ทุกอย่างพังหมด ไม่มีเงินเก็บ จนรู้สึกว่าสงสัยต้องเลิกแล้ว ‭
‬ ‭
‬ ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน และผ่านช่วงลำบากนั้นมาได้ยังไง ‭
‬ บี้ KPN : อยู่ที่กรุงเทพฯ ครับ แต่ไม่มีเงินเลย แม้แต่ค่าห้องก็ต้องยืมเพื่อน โทรหาพ่อแม่บอกว่าลำบากมาก ขอเวลาอีก 3 เดือน ถ้าไม่มีงานจะกลับไปเรียนต่อหรือช่วยแม่ทำงานที่ภาคใต้ ตอนนั้นพี่ชายให้งานมา เป็นซีรีส์ และผมก็ดังจากซีรีส์เรื่องนั้น ‭
‬ ‭
‬ ซีรีส์ที่ทำให้ดังนั้นเป็นแนวไหน ‭
‬ บี้ KPN : เป็นซีรีส์วายครับ ผมเป็นพระเอก ‭
‬ ‭
‬ ตอนนั้นอายุเท่าไหร่ มีแฟนหรือยัง ‭
‬ บี้ KPN : ยังไม่มีแฟนครับ ผมรู้จักกับกุ๊บกิ๊บเพราะเล่นซีรีส์เรื่องนี้ด้วยกัน แล้วก็ได้ไปออกรายการ วู้ดดี้ ตื่นมาคุย ครับ ‭
‬ ‭
‬ ตอนตัดสินใจคบหากับ กุ๊บกิ๊บ คิดว่าจะส่งผลกระทบต่อการสร้างชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงซีรีส์หรือไหม ? ‭
‬ บี้ KPN : สำหรับผมความรักและครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต การแต่งงานเร็วหรือมีลูกเร็วก็ไม่ได้เป็นสิ่งไม่ดี เพราะผมอยากอยู่กับลูกช่วงที่ผมยังแข็งแรงอยู่ ถ้าเจอคนที่ใช่ก็จะตัดสินใจแต่งงานมีลูก ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นไอดอลขนาดนั้น แต่เป็นคนหนึ่งที่รักการร้องเพลงและการแสดง และรู้สึกว่าการมีชีวิตคู่กับอีกคนในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ‭
‬ ‭
‬ ข่าวการตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานในตอนนั้นมีดราม่ามากน้อยแค่ไหน มองเรื่องนี้อย่างไร ‭
‬ บี้ KPN : ตอนนั้นมีดราม่าเยอะครับ เรื่องคู่รักท้องก่อนแต่ง แต่สำหรับผมผมไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ดี ผมไม่เห็นความต่างกับการแต่งงานก่อนแล้วมีลูก ผมรู้สึกว่าเราจะดูแลเด็กคนนี้ด้วยกัน แม้จะมีบางอย่างที่ยังไม่เข้ากัน เราสองคนต้องยอมรับ แต่เราจะจูงมือข้ามผ่านไปด้วยกัน ผมสัญญากับกุ๊บกิ๊บว่าเราจะรักกันแบบนี้เพื่อเด็กคนนี้และเพื่อความรักของเราสองคน (กุ๊บกิ๊บบอกว่า) กิ๊บรักบี้นะ รู้สึกโชคดีที่ได้เจอบี้ และคิดว่าบี้น่าจะเป็นพ่อที่ดีได้ ตอนนั้นผมร้องไห้เพราะไม่เคยเจอใครที่ยอมรับในตัวผมขนาดนี้ เราก็เดินทางมาด้วยกันตลอดจนถึงทุกวันนี้ ‭
‬ ‭
‬ ปัจจุบันยังอยู่ในวงการเพลง ‭
‬ บี้ KPN : ใช่ครับ ช่วงที่ผมกลับมา 2-3 เดือนนี้ ผมกำลังจะเปิดโรงเรียนสอนเต้น สอนร้อง สอนการแสดง ชื่อNext Idolเพื่อพัฒนาเด็ก ๆ ที่รักการแสดงและการร้องให้เก่ง และสามารถส่งออกไปค่ายใหญ่ ๆ ได้ ไม่ว่าจะในจีน เกาหลี หรือประเทศไทย ‭
‬ ‭
‬ ตอนนี้พี่บี้ทำเพลงอยู่ ชื่อเพลงอะไร ‭
‬ บี้ KPN : ทำเพลงอยู่ครับ เพิ่งปล่อยไปชื่อDel ที่แปลว่า Delete ส่วนเพลงที่ 2 ชื่อกลิ่นฝนอัลบั้มและโปรเจกต์ใหม่มีชื่อว่าAfter the Rainผมตั้งใจทำขึ้นมาให้เสร็จภายในปีนี้ มีทั้งหมด 6 เพลง เพลงแรกที่ปล่อยไปแล้วคือ Delและอีกเพลงคือ กลิ่นฝน เพลงต่อไปมีชื่อว่า After the Rainซึ่งตรงกับชื่ออัลบั้ม เป็นเพลงเร็วที่เน้นการเต้น ผมตั้งใจทำมิวสิกวิดีโอมาก โดยมิวสิกวิดีโอทุกตัวในโปรเจกต์นี้ผมทำเองทั้งหมด ‭
‬ ‭
‬ สามารถติดตาม “เบิ้ล AM” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันพฤหัสบดี เวลา 19.00 น. คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=YNdov6bLrlY&ab_channel=WEDO
รองปธ.หอการค้าพนม ยืนยัน”เฌอปราง อารีย์กุล“ มาด้วยใจไม่มีค่าตัววอนหยุดดราม่านางรำหน้าบึ้ง
หลังจากนักร้อง-นักแสดงสาวเฌอปราง อารีย์กุล อดีตกัปตันวง BNK48 ได้ไปร่วมรำในพิธีศรีโคตรบูรณ์ ณเทศบาลเมืองนครพนม พร้อมด้วยเพื่อนนักแสดงอย่าง มายด์ ณภศศิ, มะนาว ศรศิลป์ ที่ร่วมรำในครั้งนี้ แต่งานนี้กลับโดนโซเชียลถกสนั่น รำแข็งทื่อ-หน้าตึงบึ้งตึง ไม่อ่อนช้อยเหมือนเพื่อนอีกสองคน

ล่าสุด 16 ก.ค 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Thongsuk Gohapzboy Atiwannakul หรือ รองประธานหอการค้า จ. นครพนม ได้โพสต์ความจริงอีกมุมเกี่ยวกับดราม่าที่เกิดขึ้นว่า “เพื่อบางคนยังไม่รู้ แล้วก็พูดก็พิมพ์กันไป !!! น้องมาแบบไม่มีค่าตัวนะครับ ดารา อินฟลูท่านอื่นๆก็ไม่มีค่าตัว ครับ

-เพราะจังหวัดไม่มีนโยบายจ้างดารามารำหลายปีแล้วครับ ไม่มีใครบังคับมา พอทราบข่าวได้วันลงตัวเพราะน้องติดถ่ายหนังด้วย ก็ซ้อมรำเท่าที่โอกาสจะมี น้องตั้งใจและทำการบ้านมาก่อนรำ

-อาจจะยังไม่ถูกใจใครก็ไม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกันนะครับ ทุกๆคนที่มารำในงานล้วนมาด้วยใจ มาด้วยทุนตัวเอง มาด้วยศรัทธากับองค์พญาศรีสัตตนาคราชครับ หยุดดราม่า แล้วแยกย้ายไปทำมาหากินต่อเถอะครับ”

#สยามดารา #เฌอปรางค
โดนบูลลี่มาทั้งชีวิต! ป๊ายปาย ยึดอกรับผ่าตัดเหงือก คู่จิ้น นุ๊ก อวยยศ ทำสวยเตรียมลงมิสแกรนด์
เปิดหมดเปลือกแบบไม่มีกิ๊ก สาวหล่อขวัญใจแม่ยกพ่อยกเงินล้าน “ป๊ายปาย โอริโอ้“ ควงคู่คู่จิ้นเคมีดีงาม ”นุ๊ก ธนดล” มาโชว์หวานกลางงานแถลงข่าวรอบสื่อภาพยนตร์อีสาน "คายอ้อ" อัปเดตข่าวเม้าท์ย่องเงียบขึ้นเขียงทำศัลยกรรมติดสวย นอกจากจะโมดิฟายหน้าแล้วนั้น ยังจัดเต็มผ่าเหงือกทำฟันเพื่อความเป๊ะ หลังเป็นปมด้อยถูกบูลลี่โดนล้อมาทั้งชีวิต งานนี้เจ้าตัวพร้อมเปิดใจถึงเรื่องราวการศัลยกรรมว่า

ป๊ายปาย : "ที่หันมาดูแลตัวเองเพราะคิดว่าด้วยความที่อายุเยอะขึ้นแล้ว ก็อยากดูแลตัวเองโดยเฉพาะเรื่องผิวด้วย เพราะว่าเราไปแข่งรถช่วงหลังมันก็ดำ"
นุ๊ก : "เวลามีโอกาสดีๆเข้ามา มันจะได้ทันใช้งาน"

มีอะไรที่เราดูแลตัวเองเป็นพิเศษ?
ป๊ายปาย : "ก็มีในเรื่องของดริปวิตามิน เสริมภูมิต้านทานของร่างกายด้วย"

คนจะมองว่าติดสวยหรือเปล่า?
นุ๊ก : "ก็จริงครับ ติดสวย คือเค้าเป็นหญิงหล่อที่มีความสวย เราก็มองว่าดูดีขึ้นในส่วนนึง"
ป๊ายปาย : "แปลกๆ เดี๋ยวมันกำลังประมวลผลครับ (หัวเราะ)"

แล้วฝ่าย ป๊ายปาย ดูแลตัวเองดีขนาดนี้แล้ว นุ๊ก มีเข้าคอร์สบ้างมั้ย?
นุ๊ก : ผมก็มีเข้าอยู่บ้างครับ
ป๊ายปาย : "คือก่อนที่ปายจะเข้าคลีนิกได้ คนนี้เข้าจนเหนื่อยแล้วครับ (หัวเราะ) เค้าเป็นคนแนะนำเรา"
นุ๊ก : "ผมเป็นคนบิ้วครับ ผมจะพูดกับเค้าประจำ เราเป็นผู้หญิงเราอย่าหยุดสวยนะ เราต้องก้าวความสวยไปข้างหน้า ทุกวัน"
ป๊ายปาย : "พูดไปเรื่อย"

เวลาเค้าชมว่าสวยรู้สึกยังไง?
ป๊ายปาย : "คิดว่าไม่น่าใช่นะ"
นุ๊ก : "เค้าเป็นหญิงหล่อครับ เราชอบชมว่าสวยเฉยๆ"
ป๊ายปาย : "ไอ้นี่..เป็นแกนนำครับ"
นุ๊ก : "มันก็ดูดีขึ้นครับ เรื่องสุขภาพที่เราเป็นห่วง ก็หายห่วง"

ล่าสุดมีคนสืบทราบว่า ป๊ายปาย ไปขึ้นเขียงผ่าตัดเหงือกมา?
ป๊ายปาย : "คือมีไปทำฟันตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้วครับ มีทำฟันและก็มีตัดเหงือก ด้วย"

ดูเป็นเคสใหญ่เลย หลายคนเป็นห่วงเจ็บมั้ยในการรักษา?
ป๊ายปาย : "คือมันดูเป็นเคสใหญ่ แต่ไปทำจริงๆไม่น่ากลัว ปายไปทำที่คอสเดนท์ ที่นั้นดูแลเราอย่างดี ที่แรกกลัว แต่พอได้ทำจริงๆมันก็สบายๆ"
กลัวคนจะมองว่าติดศัลยกรรมมั้ย
ป๊ายปาย : "อาจจะดูว่าเสริม แต่ก่อนมีคนอะบูรีจี้เหงือกผม ผมก็บอกเดี๋ยวไปตัดทิ้งเลย" นุ๊ก : "มันเป็นปมด้อยเล็กๆของเค้า"

ที่ตัดสินใจผ่าตัดเหงือกเพราะมีคนจี้ปมเราหรอ?
ป๊ายปาย : "อืม...ก็ปฏิญานไว้ว่าเดี๋ยวไปทำเลย เดี๋ยวไปตัดเหงือกออกไปเลย ดีนะมันยังเหลืออยู่ (หัวเราะ) ตอนนี้รู้สึกโอเคแล้ว ทุกอย่างเข้าที่หมดแล้ว จริงๆแอบไปทำตั้งแต่ต้นปีแล้ว"

พอผ่าตัดเหงือกแล้วรู้สึกปังขึ้นมั้ย?
ป๊ายปาย : "มันก็เสริมสร้างความมั่นใจให้เรามากขึ้นมากกว่า"
นุ๊ก : "ดูดีขึ้น สวยแล้ว ทำสวยแล้วเดี๋ยวเค้าลงมิสแกรนด์ (หัวเราะ)"
สมหวังแล้ว “ปาย สิตางศุ์” ประกาศข่าวดี! ตั้งท้องลูกคนแรกสำเร็จ หลังมีภาวะไข่แก่ต้องเก็บถึง 5 รอบ
ลูกคนแรกมาสมความตั้งใจแล้วหลังรอคอยมานาน สำหรับนักแสดงสาว ปาย-สิตางศุ์ ปุณณภพ ที่ล่าสุด 15 ก.ค.2568 ได้ออกมาประกาศข่าวดีกำลังตั้งท้องลูกแรกให้กับสามีหนุ่ม นิก-ธนิก ภูวนัตตรัย แล้วเรียบร้อยหลังแต่งงานมากว่า2ปี

โดย ปาย โพสต์ประกาศข่าวดีนี้ลงไอจีว่า “ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจที่ส่งมาให้ปายเสมอ เก็บไข่ 5 รอบ และกว่าจะท้อง สำหรับปาย มันไม่ได้ง่ายเลย และในที่สุดวันนี้ก็สำเร็จแล้วค่า ปายจะพยายามแบ่งปันความรู้และสิ่งดี ๆ ที่กว่าปายจะผ่านมาได้

อยากให้ทุกคนรอติดตามนะคะ ที่แข็งแรงมันไม่ง่ายเลย ปายมีภาวะไข่แก่ ถึงจะมีไข่ แต่ไข่ปายไม่มีคุณภาพกว่าจะได้ไข่ที่แข็งแรงมันไม่ง่ายเลย อยากขอบคุณหนึ่งตัวช่วยที่ขาดไม่ได้น้ำมะกรูด ดื่มทุกวัน ช่วยปายได้มาก ๆ จริง ๆ ค่ะ”
“วู้ดดี้” เคลื่อนไหวขอโทษ นิ้ง-เจได หลังบทสัมภาษณ์ในรายการทำให้เกิดดราม่า!
เรียกว่าหลายคนยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันต่อเนื่องสำหรับกรณีของอดีตนางงาม “นิ้ง โศภิดา” ที่ได้ควงสามี “เจได ไตรนุภาพ” ไปออกรายการ “WOODY FM Special” ของพิธีกรคนดัง วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และมีช่วงหนึ่งที่มีคำถามว่า “ถ้าสามีกับลูกจมน้ำพร้อมกัน แล้วคุณช่วยได้คนเดียว คุณจะเลือกช่วยใคร” โดย “นิ้ง” ได้ตอบกลับไปว่า “จะเลือกช่วยสามี” พร้อมให้เหตุผลว่า “สามีคือคู่ชีวิตที่จะอยู่ด้วยกันยามแก่”

และภายหลังได้มีชาวเน็ตต่างเข้ามาคอมเมนต์ดุเดือดแบ่งเป็นสองฝ่ายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทำให้ “หนุ่มเจได“ สามีต้องออกมาปกป้องครอบครัว พร้อมประกาศเตรียมฟ้องกลับคอมเมนต์ที่ล้ำเส้นจนเกินไป

ล่าสุด วู้ดดี้ วุฒิธร ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจออกมาเคลื่อนไหว ด้วยการโพสต์ข้อความชี้แจงถึงประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น และยอมรับผิดการตัดต่ออาจทำให้การสื่อสารคลาด เคลื่อน

โดยเขียนข้อความไว้ว่า “วู้ดดี้ได้เห็นประเด็นที่เกิดขึ้นจากเทป WOODY FM ตอนล่าสุดของนิ้งและเจไดแล้วครับ ซึ่งคำถามในเทปนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “Pre- marital Counseling” (พรี-มาริทอล-เคาน์เซลลิ่ง)ใช้ในหลายวัฒนธรรม เพื่อเปิด บทสนทนาเรื่องค่านิยมและลำดับความสำคัญในชีวิตคู่ไม่ใช่สถานการณ์จริงแต่อย่างใด ล่าสุด นิ้ง-เจได และครอบครัว ต้องเผชิญกับคำพูดรุนแรงหรือการคุกคามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากความ เข้าใจผิดหรือการตีความต่างกันทำให้ วู้ดดี้ รู้สึกเสียใจว่าการลำดับภาพของรายการทำให้ผู้ชมเกิดความไม่เข้าใจว่าคำตอบนั้น คือการจำลองสถานการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีลูก และคงเชื่อว่า คำตอบก็คงจะต้องเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงจังหวะของชีวิตและการไม่ตอกย้ำหรือขึ้นข้อความว่านี่คือคำถามามเชิง จำลองเพื่อดูทัศนะความรู้สึกที่มีต่อคนที่เราอาจจะใช้ชีวิต อยู่ด้วย ซึ่งอาจทำให้บางท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเกิด ความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ จึงต้องขออภัยมากๆ

และ ขอบคุณทุกเสียงสะท้อนที่ส่งเข้ามาครับ อยากให้เราทุกคนเคารพกันในฐานะมนุษย์ที่ก็มีความรู้สึกและเจ็บปวด ได้ไม่ต่างกันขอใช้พื้นที่ตรงนี้ในการแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของนิ้งและเจไดด้วยนะครับ ไม่คิดว่าบทสัมภาษณ์ในวันนั้นจะทำให้ครอบครัวของน้องทั้งคู่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่หนักที่สุดในชีวิตเหตุการณ์หนึ่ง วู้ดดี้และทีมงานจะนำทุกความคิดเห็นไปปรับปรุงอย่างจริงจัง เพื่อให้เนื้อหาในอนาคตสะท้อนเจตนารมณ์ของทีมงานได้อย่าง ละเอียดกว่านี้ เพื่อการไม่ให้เกิดเหตุการณ์บูรณาการในเชิงอารมณ์ที่ไม่จำเป็นต้องเกิด หากร้อยเรียงได้ดีกว่านี้

พร้อมเขียนแคปชั่นว่า”ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ในการแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของนิ้งและเจไดด้วยนะครับ ไม่คิดว่าบทสัมภาษณ์ในวันนั้นจะทำให้ครอบครัวของน้องทั้งคู่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่หนักที่สุดในชีวิตเหตุการณ์หนึ่ง”
มองไม่ชัด ไม่ใส่แว่น ทำสมองเสื่อมจริงไหม!? ดูแลดวงตาให้ดี ก่อนพังทั้งชีวิต
รายการ On the way with Chom สัปดาห์นี้พาไปเปิดโลกการดูแลสายตากับจักษุแพทย์ผู้บุกเบิกการรักษาเลสิกคนแรกของไทย “นพ.เอกเทศ ชันซื่อ” ไขข้อสงสัยสายตายาวตามวัย ที่คนเจอเยอะมากที่สุดเมื่ออายุมากขึ้น สายตาไม่ดีทำสมองเสื่อมจริงไหม? และทำความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สายตาในชีวิตประจำวัน พร้อมแชร์เทคนิคดูแลดวงตาก่อนที่จะพังไปทั้งชีวิต

ชม อายุ 44 ปี ดูโทรศัพท์ห่างจากตัวเหมือนคนสายตายาว แบบนี้ปกติไหม ?
หมอเอกเทศ : พอดีเลยครับ จริงๆแล้วก็คือ ภาวะสายตายาวตามอายุ (presbyopia) มันจะค่อย ๆ เกิดขึ้น คือเราจะไม่สามารถมองใกล้มาก ๆ ได้เหมือนตอนเด็ก ๆ โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มเกิดที่อายุประมาณ 40 ต้น ๆ สำหรับผู้หญิง และ 40 กลาง ๆ สำหรับผู้ชาย จะเริ่มรู้สึกว่าไม่ชัดแล้วต้องยืดมือออกไปนิดหนึ่งถึงเห็นชัด และภาวะนี้จะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายอาจจะต้องมองไกลมาก ๆ ถึงจะชัด ตาเรามีระบบออโตโฟกัส กลไกที่เรียกว่า accommodation (การปรับโฟกัสของตา) ซึ่งใช้กล้ามเนื้อในการบีบตัวเพื่อโฟกัสภาพที่อยู่ใกล้ เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อนี้จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ทำให้การปรับโฟกัสระหว่างไกลกับใกล้ช้าลง คือจะโฟกัสใกล้ได้ยากขึ้น และเมื่อมองไปไกลก็จะรู้สึกมัวก่อนแล้วค่อย ๆ ชัดขึ้น

อาการสายตายาวเกิดกับทุกคนไหม เราฝึกให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรงขึ้นได้ไหม ?
หมอเอกเทศ : มันเป็นไปได้ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว มีปัจจัยอื่นด้วย เช่น ตัวแก้วตา (Crystalline Lens) ของเราเอง กล้ามเนื้อควบคุมแก้วตาที่อยู่ด้านใน เมื่ออายุมากขึ้น แก้วตาจะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นไม่ว่ากล้ามเนื้อจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถปรับตัวได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเลนส์ สรุปคือ ทุกคนต้องสายตายาวตามอายุ ในความหมายที่ว่าเดิมมองไกลได้ดี มองใกล้ได้ดี พออายุมากขึ้นจะมองใกล้แย่ลง บางคนอาจจะไม่รู้ตัวว่าเป็นสายตายาว อย่างคนสายตาสั้นประมาณ 200 หากใส่แว่นก็จะมองไกลได้ มองใกล้ได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นและกล้ามเนื้อตาอ่อนแอลง การมองใกล้ขณะใส่แว่นมองไกลจะแย่ลง อย่างไรก็ตาม หากคนนั้นถอดแว่น ก็จะมองใกล้ได้ดี เพราะมีสายตาสั้นอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงจุดโฟกัสของตาอยู่ที่ระยะใกล้โดยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังกล้ามเนื้อ คนกลุ่มนี้อาจไม่รู้สึกตัวว่าเป็นสายตายาว เพราะเมื่อต้องการมองใกล้ก็แค่ถอดแว่น

คนที่มีสายตายาวโดยกำเนิด พออายุ 40 ปี ยิ่งแย่ลงอีกไหม ?
หมอเอกเทศ : ใช่ครับ ยิ่งแย่ใหญ่เลย ใส่แว่นจะช่วยปรับโฟกัสได้ เมื่ออายุมากขึ้น แว่นอาจจะต้องมี 2 กำลัง คือสำหรับมองไกลและสำหรับมองใกล้ ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่าแว่น 2 ชั้น ปัจจุบันมีแบบ Progressive Lens ซึ่งไม่มีรอยต่อ ส่วนบนสำหรับมองไกล และส่วนล่างจะค่อย ๆ เพิ่มกำลังขึ้นมาสำหรับการมองใกล้ ซึ่งมีข้อจำกัด ผู้ใช้ต้องยอมรับว่าไม่สามารถมองลงแบบเฉียง ๆ ได้ จะมีตำแหน่งที่จะเบลอไป ต้องมองลงตรง ๆ เวลาจะมองอะไรต้องหันไปมอง

คอนแทคเลนส์สามารถทำเป็น Progressive ได้ไหม ?
หมอเอกเทศ : มีครับ คอนแทคเลนส์สามารถทำเป็นหลายโฟกัสหลายระยะได้ สมองจะเลือกภาพเองจากภาพหลายแบบที่ตกกระทบเข้ามาในตา อย่างไรก็ตาม มันจะทำให้สูญเสียความคมชัดไปบ้าง คือมองไกลก็จะไม่คมเต็มที่ และมองใกล้ก็จะไม่ดีเต็มที่ แต่ก็ใช้ได้ทั้งคู่

อื่น ๆ อีกไหมนอกจากการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ ?
หมอเอกเทศ : เทคนิคที่ใช้ได้ทั้งกับแว่น คอนแทคเลนส์ และการผ่าตัด คือภาวะที่เรียกว่า Monovision คือการทำให้ตาข้างหนึ่งมองไกลได้ดี และอีกข้างหนึ่งมองใกล้ได้ดี ข้อเสียคือตาที่มองไกลได้ดีจะมองใกล้ไม่ค่อยชัด และตาที่มองใกล้ดีจะมองไกลไม่ค่อยชัด แต่สมองของเราสามารถปรับตัวได้ เมื่อใช้ตาทั้งสองข้างร่วมกัน เราสามารถทำให้เกิดภาวะนี้ได้ด้วยแว่น คอนแทคเลนส์ หรือการผ่าตัด เป็นเทคนิคที่มีมานานมากแล้ว ก่อนที่จะมีการผ่าตัด และปัจจุบันนำมาประยุกต์ใช้กับการผ่าตัดในคนไข้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป โดยจะพิจารณาปรับตาข้างที่เด่นให้มองไกลได้ดี และตาอีกข้างให้มองใกล้ได้ดี เพื่อให้สมองปรับตัว

เมื่อก่อนจะได้ยินว่าเลสิกจะทำได้ไม่กี่ครั้งจริงไหม ?
หมอเอกเทศ : จริง ๆ แล้วจำนวนครั้งไม่สำคัญเท่าสุขภาพของตาและผิวตา และความแข็งแรงของกระจกตา การทำเลสิกแต่ละครั้งความหนาของกระจกตาจะหายไปบ้างเล็กน้อย กระจกตาเราจะรับได้ถึงจุดหนึ่ง เวลาเราดูคนไข้ เราจะพอสามารถบอกได้ว่าคนไข้คนนี้จะแก้ไขสายตาได้เท่าไหร่ โดยดูจากความหนาของกระจกตา เราไม่ได้นับจำนวนครั้ง แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนสายตาหรือขนาดของสายตาที่เราเอาออกไปในแต่ละครั้งมากกว่า

ทำเลสิกเพื่อแก้สายตาสั้น แต่สายตายาวก็แก้ได้แล้ว เทคนิคในการทำต่างกันอย่างไร ?
หมอเอกเทศ : เทคนิคเดียวกัน การผ่าตัดเลสิกเป็นการใช้เครื่องมือแยกชั้นกระจกตาก่อน ให้มันเป็นสองชั้นแล้วเปิดขึ้นมา โดยยังคงมีขั้วอยู่ จากนั้นใช้ Exmaler ซึ่งเป็นเลเซอร์ชนิดหนึ่งในตา เข้าไปเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาด้านล่าง แล้วจึงปิดกลับเข้าไป มันเหมือนกับการเจียรเลนส์คอนแทคเลนส์ สำหรับการแก้ไขสายตาสั้น จะเป็นการยิงเลเซอร์ตรงกลางให้เยอะกว่า เพื่อทำให้กระจกตาแบนลง หรือโค้งน้อยลง การแก้ไขสายตายาว เลเซอร์จะยิงออกข้าง ๆ มากกว่า ทำให้ตรงกลางโค้งมากขึ้น เลสิกสามารถแก้ได้ทั้งสายตายาวตามอายุและสายตายาวแต่กำเนิด

ถ้าสายตาไม่ดี จะทำให้สมองเสื่อมก่อนวัยได้จริงไหม ?
หมอเอกเทศ : การรับรู้สิ่งแวดล้อมของเราประมาณ 75% มาจากการมองเห็น หากไม่ได้รับการมองเห็นภาพที่ชัดเจนตั้งแต่เด็ก สมองส่วนที่รับภาพจะพัฒนาได้ไม่ดี ทำให้ไม่รู้จักการมองเห็นภาพชัด เมื่ออายุเกิน 7-8 ขวบแล้ว ภาวะนั้นจะคงที่และไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้อีก แม้จะแก้ไขสายตาแล้วก็อาจไม่ชัดเต็มที่ หรืออยู่ในระดับปานกลางพอใช้งานได้ ภาวะนี้เรียกว่า ตาขี้เกียจ (Lazy Eye) ซึ่งเกิดจากสมองไม่ได้รับภาพที่ชัดเจนในวัยที่กำลังพัฒนา เป็นแล้วเป็นเลย ควรตรวจตาตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ หากเด็กต้องหรี่ตาบ่อย ๆ ควรพาไปตรวจ ในวัยผู้ใหญ่มีงานวิจัยที่เชื่อมโยงการมองเห็นที่ไม่ดีกับการเป็นภาวะสมองเสื่อม (dementia) ซึ่งรวมถึงอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตาม เรื่องสมองเสื่อมเป็นเรื่องที่นักประสาทวิทยาอาจตอบได้ดีกว่า แต่สำหรับเด็ก ๆ นั้น การมองเห็นมีผลต่อพัฒนาการของสมองอย่างแน่นอน

พฤติกรรมหรือนิสัยอะไรบ้างที่ทำให้สายตาเราเสื่อมก่อนเวลา ?
หมอเอกเทศ : จริง ๆ แล้วพฤติกรรมการใช้งานสายตา มีผลต่อสุขภาพตาน้อยมาก ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่เชื่อมโยงว่าการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้องที่เราคิดว่าไม่ถูก เช่น ดูมือถือในห้องมืด หรือนอนตะแคง จะมีผลเสียต่อลูกตาโดยตรงสำหรับเด็กมีการศึกษาที่พบว่าการใช้สายตาในเด็กอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสายตา กล่าวคือ สายตาสั้นตามธรรมชาติจะสั้นขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 20 ต้น ๆ แล้วมักจะคงที่ การใช้งานหนัก ๆ เช่น เล่นมือถือหรือเล่นเกมในเด็ก อาจทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้นได้ แต่นั่นคือในช่วงที่ตายังพัฒนาอยู่ หากโตแล้วอาจไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่

การดูจอมาก ๆ ทำให้ตาแห้งจริงไหม ?
หมอเอกเทศ : การใช้งานสายตามาก ๆ อาจทำให้ตาแห้งและเกิดความเมื่อยล้าได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการเหล่านี้จะไม่ใช่ความเสียหายถาวร เพียงแค่พักผ่อนก็ดีขึ้น

เรื่องแสงสีฟ้า (Blue Light) ?
หมอเอกเทศ : แสงสีฟ้าถ้ามีความเข้มข้นสูงมาก ๆ อาจมีปัญหาต่อจอประสาทตาและแก้วตาได้ แต่สำหรับแสงสีฟ้าอ่อน ๆ จากจอคอมพิวเตอร์ทั่วไป ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีผลเสีย สำหรับ แว่นตัดแสงสีฟ้า ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน องค์กรวิชาชีพอย่าง American Academy of Ophthalmology ไม่ได้แนะนำให้ใช้ เพราะ ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอที่จะแนะนำให้ใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ห้าม หากอยากจะใส่เพื่อความสบายใจก็สามารถทำได้

ถ้าผู้ใหญ่มีปัญหาสายตายาว แต่ไม่ยอมใส่แว่น ทนมองเบลอ ๆ ไป จะเป็นการเร่งความเสื่อมของดวงตาและสมองด้วยหรือไม่ ?
หมอเอกเทศ : ตาไม่ได้ขี้เกียจครับ แต่มันปรับไม่ได้ เพราะอายุของตาเยอะเกินไปที่จะปรับตัว แนะนำว่าต้องเห็นครับ ถ้ามันมีผลต่อคุณภาพชีวิตของเรา ก็ต้องใส่แว่น เพราะถ้าหรี่ตาเกร็งเพื่อจะมอง ก็จะทำให้กล้ามเนื้อตาล้าและเหี่ยวลงด้วย ใส่แว่นให้สบาย ๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ สำหรับผู้ใหญ่ที่ยังไม่เข้าสู่วัยสมองเสื่อม การไม่ใส่แว่นแล้วมองเบลอ ๆ ไม่น่าจะเร่งความเสื่อมของดวงตาหรือสมอง

คอนแทคเลนส์ใส่นาน ๆ มีผลกระทบระยะยาวไหม ข้อควรระวังในการใช้คอนแทคเลนส์ ?
หมอเอกเทศ : คอนแทคเลนส์ถือว่าเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ เพราะมันเพิ่มโอกาสการเกิดปัญหากับตา สำคัญที่สุดก็คือการติดเชื้อ คนที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้อดูแลอย่างดี ไม่ใส่นอน มีโอกาส 1 ใน 5000 คนที่จะติดเชื้อภายใน 1 ปีถ้าใส่ทุกวัน เป็นคอนแทคเลนส์แบบ soft lens ใส่ 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือน ที่ดีที่สุดคือใช้วันต่อวัน คอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้ออกแบบมาใช้ได้นาน ๆ ก็จะยิ่งแย่ เช่น คอนแทคเลนส์สี หรือ big eye คุณภาพสำหรับสุขภาพของเราจะไม่ดีเท่าคอนแทคเลนส์ใส ๆ เล็ก ๆ ดังนั้นควรดูแลให้ดี มีปัญหาให้ไปพบแพทย์ทันที ถ้าเกิดการติดเชื้อยิ่งรักษาเร็วยิ่งดีไม่ทำความเสียหามากต่อกระจกตา ถ้าเกิดการเสียหายจะเสียหายแบบถาวร อัตราการติดเชื้อของการใส่คอนแทคเลนส์ใน 1 ปีเยอะกว่าการทำผ่าตัดเลสิก

แนะนำเทคนิคการดูแลดวงตาและสายตาของเราอย่างไรให้เสื่อมช้าที่สุด ?
หมอเอกเทศ : การเสื่อมของตาเป็นไปตามธรรมชาติ แต่อย่าไปเร่งมัน อย่าขยี้ตาบ่อย บางคนอาจมีการนวดเพื่อช่วยให้ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานได้ดีขึ้น แต่ควรปรึกษาคุณหมอ หากตาแห้งสามารถหยอดน้ำตาเทียมได้ หากตาแห้งมากผิดปกติ ควรไปพบจักษุแพทย์ ควรตรวจกับจักษุแพทย์เป็นประจำ หากอายุน้อย ควรตรวจทุก 2 ปี หากอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละครั้ง การตรวจที่สำคัญคือการตรวจต้อหิน (Glaucoma) ซึ่งแม้จะไม่ค่อยพบ แต่หากเป็นแล้วไม่รู้ตัว อาจทำให้ตาบอดได้อย่างถาวรและไม่สามารถรักษาให้กลับมามองเห็นได้เหมือนต้อกระจก ส่วนเรื่องการพักสายตาจะช่วยให้ตาของเราใช้ทำงานได้ทนขึ้นและรู้สึกสบายขึ้น ไม่ได้ป้องกันความเสียหายถาวร มีหลักการพักสายตาที่เรียกว่า "20-20-20" คือ ใช้งาน 20 นาที พัก 20 วินาที โดยมองไปในระยะไกลเกิน 20 ฟุตขึ้นไป

สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น. คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=xy8zmW8nfpg&ab_channel=LIFEDOT
“หมอเก่ง วาโย“ อวดภาพครอบครัวหลังภรรยาสุดที่รัก ”เกรซ เกวลิน“คลอดลูกสาวคนแรก
เป็นคุณพ่อป้ายแดงแล้วจ้า สำหรับ หมอเก่ง วาโย อัศวรุ่งเรือง หรือ หมอเก่ง เดอะสตาร์ 6 ที่ล่าสุดได้เผยข่าวดีภรรยาสาว เกรซ เกวลิน หรือ เกรซ เดอะสตาร์ 11 ได้คลอดลูกสาวคนแรกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งชื่อน่ารัก "น้องวาริน"

โดยหมอเก่งได้โพสต์ภาพครอบครัว 3 คนพ่อแม่ลูกครั้งแรกลงในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมแคปชั่นว่า "เดบิวต์น้องวาริน อัศวรุ่งเรือง จ้า" โดยงานนี้มีเพื่อนๆ ในวงการและคนดังเข้ามาร่วมยินดีมากมาย อาทิ ทิม พิธา, มดดำ คชาภา, และอีกจำนวนมาก สยามดาราขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ

#หมอเก่งวาโย #ข่าวบันเทิง #สยามดารา #เกรซเกวลิน
ร่วมอนุโมทนาบุญ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ลาสิกขาแล้ว หลังบวชสามเณรี 15วัน
หลังจากที่นางเอกสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เข้าพิธีบรรพชาสามเณรี ณ ศรีวรญาลัย จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยมีคนในครอบครัว ตลอดจนเพื่อนๆ คนสนิท ผู้ใหญ่ที่นับถือ มาร่วมพิธี โดยได้ฉายาทางธรรมว่า “ธัมมกัลยาณี” แปลว่า “ผู้หญิงที่มีความงามทางธรรม”

ล่าสุดเช้าวันนี้ 15 ก.ค. 2568 สามเณรีเจนี่ ได้ฤกษ์ดี กราบลาสิกขาแล้วเรียบร้อย ณ วัดทรงธรรมกัลยาณีภิกษุณีอาราม จ.นครปฐม

#เจนี่เทียนโพธิ์สุวรรณ #สามเณรีเจนี่ #สยามดารา
“แด๊ดดี้ไมค์” ยกฉลองวันเกิดลูกชาย“น้องแม็กซ์เวลล์” อายุครบ11ปีเรียบง่ายแต่อบอุ่นมาก
เวลาผ่านไปเร็วมากเผลอแป๊บเดียวอายุ 11 ขวบแล้วสำหรับ “น้องแม็กซ์เวลล์” ลูกชายสุดที่รักของนักแสดงหนุ่ม “ไมค์ พิรัชต์” ที่ล่าสุดในวันคล้ายวันเกิด แดดดี้ไมค์ยกเค้กช็อคโกแลตไปแฮปปี้เบิร์ดลูกชาย พร้อมทั้งเปิดโมเมนต์อบอุ่นคุณพ่อกับลูกชายกอดหอมกันสุดน่ารัก

ด้านคุณพ่อไมค์ยังได้อวยพรลูกชายด้วยไว้ว่า“Happy Birthday to this lil monkey Im so proud of the person you are becoming. Never forget how much you are loved” (สุขสันต์วันเกิดเจ้าลิงน้อยตัวนี้ ฉันภูมิใจในตัวเธอมากนะที่เธอเติบโตขึ้นมาแบบนี้ อย่าลืมนะว่ามีคนรักเธอมากแค่ไหน)

นับเป็นการฉลองวันเกิดสุดเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นของคุณพ่อคุณลูกสุดๆ

Cr. IG : @ m1keangelo
#ไมค์พิรัชต์ #น้องแม็กซ์เวลล์ #สยามดารา
“ยิปซี คีรติ” เคยคลั่งผอม กินผิดปกติจนเป็นโรคไม่ชอบรูปร่างตัวเอง!
เปิดใจสาวสวยหุ่นปัง! ยิปซี คีรติ ในรายการ Glow On podcast with Grace จากสาวคลีนสุดขีด สู่บาลานซ์ไดเอท แชร์บทเรียนชีวิต “สุขภาพไม่ใช่เรื่องแค่หุ่น” สุดโต่งกับการลดน้ำหนักจนต้องเผชิญกับ Eating Disorder และ Body Dysmorphia ชี้ทางลัดลดน้ำหนักไม่ใช่คำตอบ เน้นย้ำถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการกินที่สมดุล การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ และการออกกำลังกาย ที่พอดี

ความเชื่อของการกินที่ดีในตอนนี้ ?
ยิปซี : ตอนนี้ก็คืนสู่สามัญ คือบาลานซ์ไดเอทที่รู้สึกว่าเวิร์กกับชีวิตตัวเองจริง ๆ และอยู่ได้ยาว ๆ ความคิดที่ผิดก็คือ ความสุดโต่ง ที่เคยลองมาทั้งหมดเมื่อก่อน การคิดว่าอาหารบางอย่างเป็นอาหารต้องห้าม เช่น แป้ง กินให้น้อยที่สุด หรือ ไขมันจะทำให้เราอ้วน ไขมันเป็นศัตรู เราก็จะพยายามที่จะไม่กิน มีช่วงหนึ่งก็คือเป็นแบบกินน้อยมาก ๆ หรือแบบพยายามเลี่ยงให้มากที่สุด เคยพยายามนับแคลแต่ว่าก็ไม่ได้นับแบบเป๊ะขนาด นั้น

สิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่าได้ผล ?
ยิปซี : ลองผิดลองถูกเคยลดน้ำหนักด้วยวิธีที่เคร่งครัดมาก เช่น คัตคาร์บ งดไขมัน และออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่ง โดยเชื่อว่าถ้า กินน้อย + ใช้พลังงานเยอะ = ผอม ซึ่งก็ได้ผลจริงในระยะแรก แต่น้ำหนักลดอยู่ไม่นาน ก่อนจะโยโย่กลับมา ร่างกายเริ่มต่อต้านจากความเครียดที่สะสม ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งมากขึ้น ทำให้น้ำหนักนิ่งไม่ลด ทั้งที่ยังควบคุมอาหารและออกกำลังกายหนักเหมือนเดิม เราเป็นคนมีวินัยไม่ยอมแพ้ ออกกำลังกายเยอะขึ้นแล้วเราก็กินให้น้อยลง

มีช่วงที่อ้วนไหม ?
ยิปซี : รู้สึกว่าตัวเองป่วยจิต มองว่ารูปร่างยังไม่ดีพอ พอมาหาหมอแล้วก็ปรึกษารู้ว่าเป็น Eating Disorder คือ กึ่ง ๆ ค่อนไปทาง Anorexia นิด ๆ จะเป็นเหมือนแบบพยายามไม่กิน แต่ว่าไม่ได้เป็น Bulimia ไม่เคย ไม่เคยกินแล้วล้วงคอ ก็คือจะกลัวอาหาร จะเป็นแบบมี Bad relationship กับอาหาร รู้สึกว่าเหมือนไม่กล้ากิน กินแล้วรู้สึกผิด ไม่ได้กลัวแบบเห็นอาหารแล้วก็กลัว ไม่ใช่กลัวแบบนั้น เรายังอยากกินอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่าจะเยอะไปไหม น้ำหนักจะขึ้นไหม

คุณหมอวินิจฉัยว่ายังไง ?
ยิปซี : มารู้ทีหลังคือตอนที่เราผ่านลองผิดมา แต่เราไม่เคยหาหมอ เรามาหาหมอ เรารู้ว่าที่เราเห็นว่า เราอ้วน เรายังไม่สวยพอ หุ่นเรายังไม่ดี เรียกว่า Body Dysmorphic Disorder หรือ Body Dysmorphia คือการที่เรา เป็นเหมือนเห็นตัวเราในกระจก แต่มันเป็นการเห็นที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปมาก เหมือนคนบางคนเขาเห็นจริง ๆ ว่าเขาน่าเกลียดแล้วคน 100 คนก็แบบเห็นว่าก็ดูดี เราเคยเป็นโรคนั้น

กระทบถึงจิตใจยังไง ?
ยิปซี : ร้องไห้เป็นบ้าคลั่งเพื่อนสนิท ในขณะที่คนชมสวยมาก กดไลก์ให้ แต่เราก็คือโทรหาเพื่อน วันนี้รู้สึกอัปลักษณ์แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้ทำงานไม่ได้ ร้องไห้เป็นแบบบ้า ไม่ใช่แค่นอย มันเกินไปแล้ว มันคือป่วยแบบทางนี้

จุดที่ทำให้เราเปลี่ยนคืออะไร ?
ยิปซี : เป็นเรื่องของความบังเอิญ เราเป็นซึมเศร้ามาก่อนแล้วเราก็เป็นแพนิค เราก็เลยตัดสินใจหาหมอเพื่อรักษาอาการแพนิคก่อน แพนิคส่วนหนึ่งมันจะเกิดจากความกังวลที่สะสมหรือความเครียด เราเลยตัดสินใจดูแลสุขภาพจิตด้วย อยากเริ่มต้นใหม่ อยากเป็นคนที่มี Healthy mind ตอนนั้นเราก็ได้รับการรักษาเรื่องนี้ไปด้วย เพราะมันเป็นหนึ่งในปมของเรา การที่เราเหมือนมี Negative Image หรือแบบมีความรู้สึกที่แย่กับร่างกายตัวเองมาตลอดโดยที่ไม่ได้รับการแก้ไข ตัดสินใจรักษา

ตอนนั้นที่รู้สึกแย่ ๆ ช่วงนั้นเรากินอะไร ?
ยิปซี : กินผิดมาตลอด เราพยายามปรับมาเป็นการกินที่มัน Sustainable มากขึ้น ผ่านยุคที่กินแคลน้อย แล้วก็ Obsess กับอาหาร อาหารบางอย่างจะเป็นสิ่งต้องห้าม ก็จะมียุคแรกที่เป็นแบบนั้นที่สุดโต่งสุด ๆ พอมายุคที่ 2 ก็ปฏิวัติตัวเอง เริ่มเข้ายิม คนเริ่มเห็นว่าหุ่นดี มี Six Pack แต่จิตเราก็ยังป่วยอยู่ ตอนนั้นเราเริ่มที่จะปรับเพื่อการกิน ให้สุขภาพร่างกายเราดีขึ้น ยุคแรกน้นผอมติดผอม คือ ผอมคือสวย ไม่ได้เน้นว่าแบบสุขภาพดี พอมายุค 2 เป็นยุคที่อยาก Healthy ก็คือเริ่มเล่นเวท เริ่มมีกล้ามเนื้อ เริ่มมีแ Six Pack แล้วก็กินคลีน ยุคนั้นเป็นยุคกินคลีน กินคลีนมันคือ Healthy จุดเปลี่ยนรู้สึกว่ากลับมาสู่ ทางสายกลาง อะไรมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น

ตอนที่กินคลีน แล้วกลับมากินแบบบาลานซ์มากขึ้น คือจุดที่รู้สึกว่าปลดล็อกแล้ว ?
ยิปซี : ช่วงแรก ๆ ยากมาก จากคนที่เคยกินคลีน แบบไม่มีโซเดียม ไม่มีไขมันเลย มันแทบไม่มีอะไรให้รู้สึกว่า อร่อยเลย กินก็ไม่ได้รู้สึกเอ็นจอยเท่าไหร่ กินเพราะรู้สึกว่ามันดีต่อร่างกายล้วน ๆ ตอนนั้นคือแบบสุดโต่งมากเลยนะ เราคิดว่าโอเค ฉันจะดูแลตัวเองแล้วนะ ทุกมื้อที่กินเหมือนกับว่ากินเพราะมันมีประโยชน์ ไม่ได้กินเพราะมันอร่อย กินผักก็กินไปแบบนั้นก็โอเค ไม่ได้ทรมานมาก อยู่ได้ แต่ถามว่าอร่อยไหม มันก็สู้การกินอาหารทั่วไปไม่ได้อยู่ดี เราหยุดกินคลีนไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ ถ้าจะให้ทำต่อเรื่อย ๆ ก็ทำได้ แต่มันมาถึงจุดที่เราเริ่มติดขัด เพราะเรารู้สึกว่า เราอยู่ได้ แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก เวลาที่ไปกินข้าวกับเพื่อน กับแฟน กับครอบครัว คนรอบตัวเราไม่ได้กินแบบเราไง แล้วเราก็เริ่มเห็นว่าการกินมันเป็นส่วนที่ใหญ่มากในชีวิตนะ วันหนึ่งเรากินตั้ง 3 มื้อ มันไม่ใช่แค่เพื่อให้ร่างกายมีพลัง แต่มันคือ โมเมนต์ มันคือ ประสบการณ์ และมันคือ การได้เชื่อมโยงกับคนที่เรารัก ซึ่งตรงนั้น.มันก็มีคุณค่าในแบบของมันเหมือนกัน

ตอนที่เรากินคลีน ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างเป็นยังไง ?
ยิปซี : เราทำให้คนรอบข้างอึดอัด เพราะว่าตอนนั้นเวลาไปเจอเพื่อน หรือไปกินข้าวข้างนอก พี่จะกินมาแล้วจากบ้าน ซึ่งเพื่อนก็รู้แหละว่าเราคุมอาหารอยู่ แต่พอไปถึงร้าน เพื่อนเขาก็กินกันปกติ ส่วนเราก็แค่นั่งจิบน้ำ มันก็รู้สึกแปลก ๆ ในมุมมองส่วนตัว ถ้าใครยังรู้สึกว่าการกินคลีนมันทำได้ยั่งยืน และมันทำให้ชีวิตเขามีความสุข ก็โอเค แต่แค่สำหรับพี่ พอลองใช้ชีวิตอีกแบบแล้ว พี่รู้สึกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันแฮปปี้กว่าเยอะ

แฟนเข้าใจไหม ตอนที่เราค่อย ๆ เปลี่ยนจากการกินคลีนมาเป็นบาลานซ์มากขึ้น ?
ยิปซี : แฟนคนปัจจุบัน ตอนเริ่มเดทกันใหม่ ๆ บอกเลยว่ามีปัญหาเยอะมาก เพราะว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ แล้วเขาก็มีสไตล์การกินแบบฝรั่งสุด ๆ คือชอบพวกอาหารอิตาเลียนมาก ทั้งพาสต้า พิซซ่า จิบไวน์ ตัวพี่เองก็แพ้ทางอาหารอิตาเลียนหนักมาก เพราะชอบกินแป้ง ชอบคาร์บมาก ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าเผย พยายาม Impress เขาด้วยลุคสาวคลีน จัดกล่องข้าวมากินเองตลอด แต่พอเริ่มคลั่งรัก ไปเดทก็ต้องเต็มที่ เขาชวนไปกินอิตาเลียน เขาถามว่าชอบไหม เราบอกไปว่าชอบมาก ทั้งที่จริงก็มีแอบชะงักเหมือนกัน เพราะมันต่างจากสไตล์ที่เรากินมาตลอด แต่เพราะเป็นช่วงเดท ก็เลยปล่อยตัวเต็มที่ กินทุกอย่างแบบแฮปปี้มาก ผ่านไปแค่เดือนเดียว น้ำหนักขึ้น 5 กิโลเลย หน้ากลม กางเกงเริ่มคับ แล้วพอไปชั่งน้ำหนักก็ช็อก เพราะปกติเลิกชั่งไปแล้วหลังจากเคยมีช่วงที่หมกมุ่นกับตัวเลขบนตาชั่งมาก ๆ จนกลายเป็นความเครียด ต้องเริ่มกลับมาหาตัวเองบ้าง เพราะเราก็มีงาน มีถ่ายละครด้วย น้ำหนักที่ขึ้นมันมีผลกับคอสตูมจริงๆ จนโดนทีมงานทักว่า ชุดดูแน่นขึ้นนะ หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกับเขาแบบตรง ๆ ว่าเราเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองนะ และอยากบาลานซ์ตรงนี้ให้มันลงตัว เพราะเราเข้าใจว่าเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเอนจอยอาหารในแบบที่เขาชอบเหมือนกัน ช่วงแรกก็มีติดขัดบ้าง เพราะเราอยู่กันคนละขั้ว แต่ก็พยายามสลับกัน เช่น มื้อนึงกินตามใจ อีกมื้อเน้นเฮลตี้มากขึ้น แล้วสุดท้ายก็มาลงตัวที่การกินบาลานซ์ พอปรับ mindset ได้ว่าเราสามารถกินได้ทุกร้าน เลือกในปริมาณที่พอดี เช่น ไปกินอาหารอิตาเลียน เราจะเลือกเมนูโปรตีนอย่างสเต็กไก่หรือปลา หรือถ้ากินพิซซ่าก็อาจจะแค่ชิ้นเดียว ไม่ต้องจัดเต็มทั้งถาด แบบนี้ก็ยังได้อยู่กับโมเมนต์กินของอร่อย และยังดูแลตัวเองได้ด้วย ทุกวันนี้ก็เลยแฮปปี้มาก

ตอนนี้ความสัมพันธ์ก็แฮปปี้ไม่มีปัญหาเรื่องของการกิน ?
ยิปซี : ไม่มีแล้วค่ะ ซึ่งมันก็ Surprising มาก ๆ เราไม่ได้คิดเลยนะว่าเราจะเปลี่ยนเขาได้ แต่พออยู่ด้วยกันนาน ๆ ตอนนี้ก็ประมาณ 7 ปีแล้ว เขาก็ค่อย ๆ ซึมซับไลฟ์สไตล์ที่เราดูแลตัวเอง แบบไม่ได้บังคับ แต่เขาเริ่มหันมากินอาหารที่เฮลตี้ขึ้นมาก ๆ สารภาพนิดนึงนะว่าจริง ๆ แล้ว พี่เคยใช้จิตวิทยาเกลี้ยกล่อมเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว มีช่วงนึงที่เขาแบบไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย กินก็ไม่ดี ไม่ออกกำลังกาย ก็อยากเคารพพื้นที่ส่วนตัวเขานะ แต่อีกใจนึงพอแต่งงานกันแล้ว เราก็อยากจะอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ เรารู้เลยว่าพฤติกรรมบางอย่างที่เขาทำมันไม่เฮลตี้แน่ ๆ จากความรู้ที่เราศึกษามา เราก็เลยใช้พลังแห่งความรัก มาไซโคนิด ๆ แบบอ้อม ๆ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนเลยค่ะ เริ่มถามเรามากขึ้นว่ากินอันนี้ดีไหม หรือ อันนี้แย่ไหม แล้วก็เริ่มไปยิมกับเราบ่อยขึ้นด้วย เราก็แบบดีจังเลย

สำหรับคนที่มองว่ายิปซีเป็นไอดอลในเรื่องของหุ่น การกิน การออกกำลังกาย มีอะไรอยากฝากถึงคนที่อาจกำลังมีความคิดแบบว่า อยากผอมเร็ว อยากลดน้ำหนักไว ไหม ?
ยิปซี : สิ่งหนึ่งที่เราไม่สนับสนุนเลย คือผลิตภัณฑ์หรือวิธีการที่ สัญญาว่า “ลงแรงน้อย แต่ได้ผลเร็ว” อันนี้คือสิ่งที่เราไม่เชื่อ และไม่เคยสนับสนุนเลย เพราะเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว เราเองก็เคยลงแรงเยอะมาก บางช่วงคือมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเราก็ยังต้องกลับมาเจอสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ทางสายกลาง มันรวมถึงทุกอย่างในชีวิตเรื่องการกิน การนอน การออกกำลังกาย ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ แต่ถ้าเราเจอจุดที่พอดีสำหรับตัวเราเอง มันจะทำให้เราทำต่อได้เรื่อย ๆ และ Sustainable คำนี้สำคัญ มาก

อาหารเช้า ?
ยิปซี : กินแบบเน้นแป้ง เพราะเป็นคนชอบกินแป้ง ส่วนมากก็จะเป็นพวกขนมปัง แต่จะเลือกเป็นขนมปังแบบ Complex Carb พวกที่มีเมล็ดธัญพืช อีกอย่างที่ชอบมากคือ ข้าวโอ๊ต บางวันก็ทำเป็น Overnight Oats หรือบางทีก็ทำเป็น มัฟฟินโฮมเมด ซึ่งสูตรที่เราทำขายอยู่ด้วย ก็จะกินแบบนี้ตอนเช้า เราจะไม่ค่อยชอบกินอะไรที่เป็นของคาว หรือรสจัด ๆ หนัก ๆ อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของเทสต์ส่วนตัวด้วย

อาหารกลางวัน ?
ยิปซี : กลางวันก็อะไรได้ ข้าวแบบไก่กระเทียมไข่ดาว ชอบอาหารตามสั่ง เรา ว่ามันอร่อยดี

อาหารเย็น ?
ยิปซี : อาหารเย็นจะประมาณ 17:00 น. - 18:00 น. ถือว่าเลทแล้วเพราะว่า 20:00 น. นอนแล้ว ก็เลยพยายามเป็นที่มาของแบบจะไม่กินอะไรที่แบบมันหนัก อะไรที่มันต้องแบบย่อยเยอะ ๆ ใช้พลังงานในการย่อยเยอะ เราจะพยายามให้เหมือนแบบเขาได้ทำค่อย ๆ Cool Down ลง ก็จะพยายามกินอะไรเบา ๆ ถ้าเป็นไปได้เราจะพยายามกินอะไรที่น้ำมันน้อย มื้อเย็นก็จะถ้าเลือกได้ก็จะกินอะไรที่มันเป็น ซุป เป็น ต้ม หรือบางทีก็แบบถ้าอยากกินแซ่บจริง ๆ ก็กินเป็น ยำ จะพยายามเลี่ยงอะไรที่มันเป็นแบบผัดน้ำมันเยอะ ๆ หรือทอดตอนเย็น

นอนกี่โมง ?
ยิปซี : เรานอน 20:00 น. แล้วก็ตื่น 4:00 น. - 5:00 น. ตื่นมาแล้วก็เราก็ Mental Health ไปแล้วก็แบบมี Morning Routine ก็แบบทำกาแฟรอเอาไว้ แล้วก็แบบไปแบบทำมัฟฟินรอเอาไว้

เท่ากับว่าไม่ค่อยเที่ยวผับ ?
ยิปซี : ไม่เที่ยว เพราะว่าง่วง ไม่ได้อะไรไม่ได้มันแบบเรียบร้อยหรืออะไร ฉันง่วง ฉันอยากนอน ฉันอยากกลับบ้าน โกสต์ฮอร์โมนดีมาก ไปตรวจมา โกสต์ฮอร์โมนแบบเลิศมาก หลับครบทุกรอบ

คิดเรื่องมีลูกบ้างไหม ?
ยิปซี : ใจหนึ่งก็มีความรู้สึกว่าอยากมี แต่อีกใจหนึ่งก็จะมีคำถามขึ้นมาเลยว่าแล้วมันจะดีกับเขาไหม เธอจะต้องเกิดมาเจออะไรบ้าง เขาจะอยากเกิดมาไหม กับ Environment โลกมันดูพุ่งลง

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=pO8b820pImM&ab_channel=Alivedot
ต๊ะ นารากร - แม็กซ์ เจนมานะ วอนชาวเน็ตช่วยปราณี เอม สรรเพชญ์ ปมพากย์เสียง Superman
เกิดเป็นกระแสดราม่าร้อนแรงในรอบสัปดาห์ สำหรับปมการพากย์เสียง คลาร์ก เคนต์ หรือ ซูเปอร์แมน ในภาพยนตร์ Superman 2025 ของ พระเอกหนุ่มดาวรุ่ง เอม สรรเพชญ์ คุณากร ลูกชายพิธีกรดัง ดู๋ สัญญา คุณากร

ซึ่งหลังจากที่ภาพยนตร์ Superman 2025 ออกฉาย ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยมีแฟนหนังเข้าไปคอมเมนต์ในอินสตาแกรมพระเอกหนุ่ม ถึงการพากย์เสียงในครั้งนี้อย่างดุเดือด อาทิ ทำไมไม่เอานักพากย์มืออาชีพมาพากย์ รวมถึงไปแชะถึงความเป็นลูกดาราทำให้ได้งานดังกล่าว

ขณะที่ก่อนนี้แต่ทาง Warner Bros. Thailand แถลงการณ์ชี้แจงถึงกระบวนการคัดเลือกเสียงพากย์ไว้ว่า การตัดสินใจเลือก เอม สรรเพชญ์ เป็นผลจากกระบวนการคัดเลือกในระดับสากล ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยตรงจาก Warner Bros. Global ภายหลังจากส่งเทสต์เสียงไปยังสตูดิโอในประเทศอังกฤษ และได้รับการตอบรับภายใน 72 ชั่วโมง โดย ไม่มีข้อเสนอแนะให้แก้ไขใดๆ เพิ่มเติม

งานนี้ ต๊ะ นารากร ผู้ประกาศข่าวชื่อได้ ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้ พร้อมเผยว่าตนเองได้โทรศัพท์หา “ดู๋ สัญญา” ซึ่งดู๋เครียดมากกับเรื่องนี้ โดยเขียนข้อความระบุว่า “ดราม่าเสียงพากย์ Superman เอม สรรเพชญ์ คุณากร ลูกชายคนเดียวของพี่ดู๋ สัญญา คุณากร ได้รับเลือกให้พากย์เสียง Superman version ล่าสุด ซึ่งถือเป็นโอกาสดีมากสำหรับนักแสดงหน้าใหม่

แต่ปรากฏว่ามีเสียงวิจารณ์ในแง่ลบหนักมาก บ้างก็ว่าได้งานเพราะเป็นลูกคนดัง บ้างก็ว่าเสียงไม่สมบทบาท Superman บางคนวิจารณ์หนักถึงขนาดว่าฟังไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร เอาจริงนะสำหรับฉันเวลาดูหนังต่างประเทศฉันเลือกดู soundtrack และอ่านซับไตเติลภาษาไทย ได้อรรถรสมากกว่า บังเอิญว่าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนฉันโทรไปคุยกับพี่ดู๋ เลยได้รับรู้ว่าพี่ดู๋เครียดกับเรื่องนี้มาก ฉันไม่รู้จะช่วยยังไง ก็ขอชาวโซเชียลช่วยปรานีลูกชายพี่ดู๋ด้วยละกัน”

ซึ่งทางด้านนักร้องหนุ่ม “แม็กซ์ เจนมานะ” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยว่า “ผมคิดว่าการรุม cyberbully คุณเอม สรรเพชญ์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำครับ มันบอกอะไรเกี่ยวกับคนคอมเมนต์หรือทำคอนเทนต์ทำร้ายคนอื่นทางโซเชี่ยลได้เยอะนะครับ มีทางออกในการระบายอารมณ์อีกเยอะแยะครับ สมมติผมอยากหมันไส้ อยากด่าใคร ผมจะนับ 1-10 แล้วนัดเพื่อนดื่มเพื่อ offline toxic กัน สนุกกว่าครับ
"หนุ่ม ศรราม" เล่าบทบาทความเป็นพ่อ จิตใจหนักแน่น! ไม่ขอใช้คำว่า "คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว"
ทำหน้าที่คุณพ่อได้อย่างภาคภูมิ นาทีนี้เสิร์ฟความอบอุ่นแบ่งปันให้ชาวโซเชียลเห็นตลอดเวลา สำหรับคุณพ่อสุดหล่อ พระเอกในตำนานยุค90 "หนุ่ม ศรราม" กับลูกสาวคนสวย "น้องวีจิ" แต่ไม่วายเจอชาวเน็ตจัดดราม่าเดือดคอมเมนต์เรื่องการเลี้ยงลูกว่าสปอยขั้นหนัก งานนี้เดินทางมาเปิดใจสเตตัสบทบาทคุณพ่อ พร้อมควงลูกสาวมานั่งโต๊ะอวดความน่ารัก กลางรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องworkpoint หมายเลข23 กับพิธีกรคนเก่ง "หนูแหม่ม สุริวิภา" พร้อมเผยถึงแนวคิด และวิธีเลี้ยงลูกแบบยึดหลักกตัญญูต้องมาที่หนึ่ง

ถามถึงดราม่าก่อนหน้านี้ ที่คนพากันคอมเมนต์เรื่องอุ้มลูกตลอดเวลา ทั้งที่ลูกโตแล้ว?
"ผมลงรูป ลงอะไรปกติ แต่วันนั้นพอดีเป็นวันที่ว่างมีโทรศัพท์อยู่ในมือพอดี สิ่งนึงที่ต้องทำประจำคือต้องกดหัวใจ กดให้คนที่เข้ามาคอมเมนต์ถึงน้องวีจิ ก็เจอคอมเมนต์หนึ่งว่าขาแทบจะถึงพื้นแล้ว ทำไมไม่ให้เดิน ผมก็เลยบอกว่าลูกผมทำไมจะอุ้มไม่ได้ครับ แต่ก็ไม่มีอะไรนะครับแค่ตอบคอมเมนต์ไป จนกระทั้งผ่านไปประมาณ 2-3ชั่วโมงแล้ว วีจิกลับมาจากโรงเรียน เปิดโทรศัพท์ดูฟีดข่าว ทำไมมันขึ้นแต่ข่าวเราวะ มันเกิดอะไรขึ้น พาดหัวข่าวศรรามไม่ทน สวนดราม่าทำไมจะอุ้มไม่ได้ เพจข่าวมันขึ้นทุกข่าวเลย คนไปรีพลายข้อความนึง ประมาณ300-400"

แล้วพอข่าวขึ้นฟีดเยอะตกใจมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?
"เชื่อมั้ยคำที่รีพลาย คำเดียวสั้นๆเลย (หัวเราะ) พูดไม่ได้"

พูดถึงมันไม่ผิด เพราะเป็นเวลาทองที่อยากจะใช้ชีวิตกันแบบพ่อลูก?
"คือที่ผ่านมาผมก็ปล่อยผ่านมาเยอะพอสมควร บางทีผมอยากให้รู้ว่าคนแบบไหนที่ควรจะได้รับการตอบแทนที่ดีจากเรา อย่างพี่หนูแหม่มเป็นพี่ที่ผมเคารพรัก การตอบแทนที่ดีคือมารยาท ส่วนแฟนคลับที่น่ารักเราก็จะสำนึกในสิ่งที่เค้าทำให้เรามีวันนี้ เมตตาลูกเราเราก็พร้อมที่จะเคารพและมีมารยาทกับเค้า แต่คนที่ไม่มีมารยาทไม่สมควรที่จะได้รับความเคารพจากเรา"

เพราะฉะนั้นเราควรปกป้องตัวเราและสิทธิของเด็ก?
"แต่ผมก็ไม่ได้พิมพ์อะไรหยาบคายนะครับ มันไม่ใช่แค่นั้นนะครับ อย่างบางทีวีจิเค้าเต้น คนก็จะมาคอมเมนต์ว่าเต้นเก่งเหมือนแม่เลย คนนี้ก็เค้ามาคุณพ่อก็เต้นเก่งนะ คอมเมนต์ใส่กันระหว่างสมัยอยู่กับแม่ สมัยอยู่กับพ่อ ทำไมไม่คุยเรื่องคลิปว่าคลิปมันน่ารัก ทะเลาะกันทำไมว่าจะเต้นเก่งเหมือนแม่ เต้นเก่งเหมือนพ่อ มันก็พ่อแม่เค้าทั้งนั้นแหละ (หัวเราะ)ถูกมั้ยอะ"

หนุ่ม สอนลูกเรื่องไหนเป็นพิเศษเน้นเรื่องไหน?
"ข้อแรกเลยคือต้องมีสัมมาคาราวะตั้งแต่เด็ก ไปกองถ่ายเจอพี่ๆป้าๆน้าๆอาๆให้สวัสดี สอนให้ใส่บาตรตั้งแต่เด็ก มีน้ำใจ และรู้จักกตัญญูกตเวที ทุกวันพระเค้าจะกราบคุณปู่-คุณย่า เป็นคนถวายพวงมาลัยและจะไปใส่บาตรทุกเช้า อันนี้เป็นเบื้องต้นครับ"

เหมือนเราได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาเนอะ?
"ผมคิดว่าความกตัญญูกตเวที เป็นข้อแรกของการเป็นคนดีครับ"

ความสุขของการเป็นพ่อของหนุ่มเป็นยังไงบ้าง?
"เบื้องต้นเอากันแบบตรงๆนะครับพี่ ก็ตั้งแต่แยกทางกับติ๊ก ผมเลี้ยงวีจิมาผมไม่ชอบคำว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว มันไม่เท่ห์ ผมก็เลยคิดถึงไดโกโระ ที่เป็นซามูไรพ่อลูกอ่อน ที่สะพายลูกไปข้างหลังและก็ต่อสู้ไปอะไรแบบนี้ มันเท่ห์ดี และมันเหมาะกับตัวเราด้วยก็เลยเอามาตั้งเป็นแฮชแท็กตัวเอง #ซามุไรพ่อลูกอ่อน เอามาใช้ครับก็เลยใช้แฮชแท็ก แล้วพอเป็นซามุไรพ่อลูกอ่อนแล้วนั้น จิตใจเราต้องหนักแน่น ต้องต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคอะไรก็ได้เพื่อเค้า"
“นัส จุฑารัตน์“ โพสต์ขอโทษ ”นิ้ง โศภิดา“ แล้วหลังโพสต์วิจารณ์ ปมลูกกับสามีจมน้ำจะช่วยใคร!
กลายเป็นที่ถกเถียงกันสนั่นโซเชียลหลังจากที่ นิ้ง โศภิดา มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 ได้ควงสามี เจได ไตรนุภาพ มาเปิดใจในรายการ WOODY FM และในบางช่วงบางตอน นิ้งได้เล่าว่าเคยมีคนมาถามเธอเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำถามที่โหดมาก เขาถามว่า ถ้าลูกกับสามีจมน้ำพร้อมกัน แล้วคุณช่วยได้ 1 คน คุณจะเลือกใคร

ซึ่ง นิ้ง ตอบว่า "งั้นนิ้งเลือกสามี เพราะว่าสามีคือคู่ชีวิตซึ่งต้องอยู่กันยามแก่ เขาก็จะรู้แล้วโอเคเพราะบางคนอาจจะเลือกลูกก็ได้ถูกไหมคะ

ขณะที่ด้าน นัส จุฑารัตน์ ภรรยาของนักร้องหนุ่ม โชค รถแห่หรือ โชค โชคมงคล ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้โดยเจ้าตัวได้แชร์คลิปคำพูดของ นิ้ง พร้อมเขียนแคปชั่นด้วยคำพูดสุดแรงว่า "อย่ามีลูกนะคะ สงสารเด็ก y... กันจนแก่ตุยไปเลออ"

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ทำให้ ”นัส“เจอทัวร์ชาวเน็ต จนทำให้เจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ขอโทษ ซึ่ง นัส บอกว่า "พูดในฐานะคนเป็นแม่ ที่ฟังแล้วแบบพูดไม่ออก ยอมรับผิดในส่วนที่แคปชั่นรุนแรงไป แต่มันแก้ไขไม่ได้แล้วอ่ะ จะลบก็หาว่าหนีความผิดอีก พอขอโทษที่แคปชั่นรุนแรง ก็บอกว่าหงายการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาเป็นว่ารอบหน้าจะคิดให้มากกว่านี้ ตอนโพสต์ยอมรับว่าไม่รู้จักจริงๆ ว่าคนในคลิปเป็นใคร ขอโทษคุณนิ้งด้วยนะคะ"

#นัสจุฑารัตน์ #นิ้งโศภิดา #ข่าวบันเทิง #สยามดารา
“ดีเจต้นหอม” เผย “สารเณรีเจนี่” เลื่อนวันลาสิกขาอย่างไม่มีกำหนด จะย้ายไปอยู่วัดจริงจัง
10 ก.ค 68 “ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” ดีเจ - พิธีกรชื่อดังได้โพสต์ภาพขณะพา “น้องปกป้อง” ลูกชายไปทำบุญไหว้พระและเดินทางไปเยี่ยม “สามเณรีเจนี่” หรือ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ที่กำลังอยู่ในช่วงบวชปฏิบัติธรรม

พร้อมเปิดเผยว่า “สามเณรีเจนี่”จะเปลี่ยนแพลนลาสิกขาจากกำหนดเดิมวางไว้จะอุปสมบท 9 วัน แต่ขอเลื่อนไปไม่มีกำหนดเตรียมย้ายสถานที่จากเทวาลัย ไปอยู่วัด เพื่อศึกษาอย่างจริงจัง

โดย ต้นหอม ได้โพสต์ข้อความผ่านไอจีส่วนตัวระบุว่า วันที่ไปถึงเลขาท่าน(ไม่รู้ต้องเรียกอะไรเรียกท่านละกันง่ายดี) มาสะกิดละบอกว่า ช่วยหน่อยท่านมาบอกจะไม่สึก(ไม่สึกตามกำหนด) เราเลยหันหน้าไปมองเหมือนถามว่า จริงหรอ เพราะตามกำหนดคือ 9 วัน

ท่านพยักหน้าและบอกว่า เหมือนยังศึกษาไม่ได้เต็มที่ ยังอยากไปศึกษาต่อแบบจริงจัง เลยยังไม่มีกำหนดสึก ละหลังจากนี้ จะย้ายจากเทวาลัย ไปอยู่วัดจริงจัง จากประสบการณ์ที่เคยไปปฏิบัติธรรมแบบชาวพุทธ 9 วันมันก็ยังน้อยไปจริงๆแหล่ะ อ่ะ ไปให้สุดไปเลยท่าน พร้อมซัพพอร์ต เลยตะมาแจ้งให้แก๊งค์เพื่อนๆได้ทราบ
เผื่อใครอยากไปตักบาตรท่านไลน์มาถามนะว่าจะย้ายไปวัดไหน (อยู่ ตจว นะ) ส่วนใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ก็ขอให้ได้บุญในวันพระใหญ่กันทุกคนนะคะ สาธุ อนุโมทนาบุญตั้งใจศึกษาพระธรรมให้เต็มที่นะคะ สามเนรี !!!! สาธุ !!

#สามเณรีเจนี่ #ดีเจต้นหอม #ข่าวบันเทิง #สยามดารา
ถอดสูตรรัก "นิ้ง-เจได" 2 เดือนแต่ง เร็วแต่รอด เพราะอะไร?!
เส้นทางก้าวข้าม Comfort Zone สู่บทบาทคู่ชีวิตของ "นิ้ง-โศภิดา กาญจนรินทร์" และ "เจได-ไตรนุภาพ จิระไตรธาร" ควงคู่กันมาเปิดใจแบบลึกซึ้ง! ในรายการ WOODY FM ถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังรักสายฟ้าแลบ 2 เดือนขอแต่งงาน! การวางแผนก่อนแต่งทั้งการเงิน แนวทางเลี้ยงลูก พร้อมแชร์มุมมองเกี่ยวกับการเสียสละเพื่อความสัมพันธ์ และวิธีรักษาความรักให้ยืนยาวจนถึงทุกวันนี้

วลีชุด แดงไหน
นิ้ง โศภิดา : ตั้งแต่ประกวด Miss Universe Thailand ปีนั้นเป็นเจ้าภาพด้วยค่ะ แล้วก็มีวลี "แดงไหน" ชุดเพชร Swarovski ปักทั้งตัวเลย พอเดินออกมาก็คือสะท้อนแสงไฟเวที แล้วก็เป็นสีแดง คนอาจจะไม่ชินในตอนนั้น ด้วยลุคด้วย ด้วยความที่ตอนนั้นคาดหวังว่าชุดเดรสของนางงามจะต้องเป็นแบบไหน แต่ของพี่หมูอาซาวา คือเขาจะมีความเป็นแฟชั่นใส่เข้าไป ก็เลยเป็นวลี "แดงไหน"

ถ้าให้ย้อนกลับไปสิ่งที่คุณได้รับคืออะไร ?
นิ้ง โศภิดา : เป็นสิ่งที่เรา Out Of Comfort Zone ตัวนิ้งเองเป็นคน introvert อยู่สายไฟแนนซ์ การเงิน อยู่แต่กับคอมฯ แต่ว่าด้วยความที่ว่าเห็นนางงาม ผู้หญิงทุกคนก็อยากมีโมเมนต์ที่ได้มงกุฎ เราก็เลยแบบศึกษาตรงนี้เป็นแฟนนางงามมาเวลานาน จนกระทั่งอยากจะลองทำในสิ่งที่เรากลัวมันโดยตลอด กล้าแสดงออกสักเรื่องหนึ่งได้ไหม เพราะว่าทุกครั้งก็คือจะทำอะไรเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ก็เลยมองว่าไหนจะลองซักตั้ง ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต แบบยืนพูดกลัวกล้องทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นว่าทุกคนมองเราแบบคนนี้ไม่ดูไม่เฟรนลี่เลย ดูแบบตาโหด เพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงกับกล้องกับคนทั่วไป การคุย เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนเท่าไหร่ มันสาย introvert อยู่ด้วยตัวคนเดียว แต่พอ ณ วันนั้นที่ได้มงกุฎ Miss Universe แล้วก็ได้มา enjoy กับการที่เหมือนแบบเป็นโอลิมปิก มันทำให้เราแบบฝึกความอดทน กลายเป็นว่าเราจากเดิมที่ชอบทำอะไรที่ตัวเองชอบ กับกลายเป็นว่าเราต้องทำในสิ่งที่เป็นตัวแทนประเทศไทย เราต้องเตรียมยังไงให้ตัวเองพร้อม ยิ่งกว่าสอบตอนนั้น เป็นการทำให้เราเติบโตไปเรื่อย ๆ ค่ะ

เล่าความรู้สึกที่คบกันมา 2 เดือนแล้วถูกขอแต่งงาน ?
นิ้ง โศภิดา : ตั้งแต่วันแรกที่เจอ เราเจอกันที่โบสถ์ค่ะ เขาก็เป็นนักเล่นกีตาร์ ไม่รู้ว่าเขาเป็น CEO หรืออะไรทั้งสิ้น แต่มันเหมือนถูกชะตาว่า ทำไมเขาเป็นคนเฟรนลี่ เราก็เลยอยากที่จะเริ่มรู้จักเขาในการที่ครั้งแรกของผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไป say hi ก่อนนะคะ แล้วก็คุยกันมาเรื่อย ๆ ผ่าน IG Direct พอคุยกันเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่แบบเฟรนลี่แล้วอบอุ่น แล้วก็ให้กำลังใจได้ดี เพราะช่วงนั้นอยู่ระหว่างการประกวดนางงามแล้วก็เข้ากองไปเรียบร้อย แต่เขาห่วงใยเราทุกรอบด้าน เป็นเหมือนที่ปรึกษารุ่นพี่ที่ดี แล้วนิ้งก็มองว่าเจไดเป็นคนที่กล้าหาญและ supportive และเข้าใจในหน้าที่ๆ เราทำอยู่ คือนิ้งไม่ใช่แค่นางงามอย่างเดียว แต่เราก็ชอบทำธุรกิจด้วย ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง รู้สึกว่าเขาเป็นคนเก่ง เราชอบผู้ชายที่เก่งอบอุ่น ก็เลยทำให้นิ้งตัดสินใจที่จะคบกับเขา และที่ตัดสินใจเร็วที่พ่อแม่ก็อึ้งเหมือนกัน รู้สึกว่าตอนนั้นก็ไม่ได้พลาดอะไร เพราะว่ารู้ว่านิ้งกับเจไดต่างคนต่างไม่เฟกตั้งแต่วันแรก นิ้งเป็นแบบนี้ เจไดเป็นแบบนี้ เห็นอารมณ์ เห็นสมาธิสั้น เห็นทุกอย่าง แต่เชื่อว่าอยู่ด้วยกันได้และเป็นคู่พระพรที่พระเจ้าให้มา ดังนั้น คู่ชีวิตคือร่วมทุกข์และร่วมสุข มันไม่ใช่สุขอย่างเดียวมันต้องร่วมทุกข์ด้วย ในตอนนั้นก็เหมือนเขาโตกว่าเรา ถ้าย้อนกลับไปกับตอนนิ้งอายุ 20 กว่า นิ้งก็อารมณ์ร้อนเหมือนกัน แต่เหมือนเขาตอนนั้นเขา 32 ปี เขาเป็นพี่เราประมาณ 8 ปี วุฒิภาวะหลาย ๆ อย่าง เลยรู้สึกว่าไม่ต้องรอก็ได้ นิ้งเคยผ่านประสบการณ์มีแฟนคบประมาณ 5 ปีแต่สุดท้ายมันไปต่อไม่ได้ แต่กับเขากลับกลายเป็นว่าในเวลา 2 เดือนเราแทบไม่ทะเลาะอะไรกันเลย แต่มันคือการให้กำลังใจกัน แล้วก็มองในส่วนดีและส่วนที่ไม่ดีเอามาคุยกัน มาปรับปรุง จะไม่ยอมให้ปัญหาระหว่างเรามันคาราคาซัง จะต้องคุยกันตลอดค่ะ เจได ไตรนุภาพ : ถ้าคุณเจอเรา 10 ปีที่แล้วแล้วว่าคุณก็ไม่ชอบเราหรอก เพราะว่าเราไม่น่าคบ ที่มันไม่น่าคบก็เพราะว่าเราไม่ได้มีคุณลักษณะของคนที่จะเป็นพ่อคนได้ จะเป็นสามีที่ดีได้ เพราะการเป็นสามีกับการเป็นพ่อที่แท้จริงมันคือการที่ต้องเสียสละตัวเองก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าหลาย ๆ ครอบครัวก็น่าเสียดายที่จะต้องแตกหักกันไป เพราะว่าความคิดที่คิดว่าฉันคิดว่าฉันถูกกันไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายวันหนึ่งมันก็แตกหัก เพราะว่าไม่มีใครยอมใคร ยิ่งถ้าเป็นคู่ที่เก่งทั้งคู่ มันก็ยิ่งท้าทายนะ แต่พอเราตัดสินใจมาอยู่ร่วมกัน เพราะเราเชื่อมั่นว่าทั้งคู่พร้อมที่จะเสียสละบางอย่างเพื่อกันและกัน แต่สิ่งที่เราได้มันมากกว่าที่เราเสียสละ

ผ่านมา 2 เดือนก็ตัดสินใจแต่งงานเลย ?
นิ้ง โศภิดา : ตัดสินใจเลย ด้วยความที่ว่าก็มั่นใจ และเรา 2 คน ก็ทำงานด้วยกันด้วย ดังนั้นเวลาที่คบกันทำงานด้วยกัน อยู่ด้วยกันทุกวัน เห็นข้อเสียของเขาก็เห็นมาแล้ว แล้วก็เห็นข้อเสียในตัวเราด้วยที่จากการที่เขาแชร์มา เพราะว่านิ้งทำงานกับเขาทุกวัน ไปไหนคือไปด้วยกันตลอด รู้สึกว่าในเมื่อวันแรกเราเชื่อในตัวผู้ชายคนนี้แล้วเชื่อว่าเขาเป็นพ่อของลูกเราได้ ก็มาลองปรับจูนกันในช่วงเวลาที่ก่อนแต่งงาน ประมาณ 5-6 เดือน เราก็ไปคอนเซาท์ค่ะ เชื่อว่าต้องจัดการคุยกันให้รู้ก่อน วิธีการเลี้ยงลูก ความคิดของคุณกับฉันเป็นยังไง วิธีการจัดการเรื่องการเงิน แล้วก็การใช้ชีวิตแบบสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เขาไม่ชอบ การแต่งงานไม่ใช่แค่เรา 2 คนแต่มันคือบ้านทั้ง 2 คนมารวมกัน

มีเรื่องอะไรบ้างที่ต้อง Checklist ในครอบครัว ?
นิ้ง โศภิดา : อย่างแรกเลยเลยเรื่องการเงิน หลายคู่อาจจะทะเลาะกันเรื่องการเงินแต่งงานกันไป เขาถามเลยว่า จะแยกหรือจะรวมกัน จะจัดการเรื่องเงินกันยังไงให้ไม่มีปัญหาภายหลัง

เจได ไตรนุภาพ : เช่นถ้าผมหาได้ของผมหรือครอบครัวแล้วแบ่งกันทีหลัง ถ้านิ้งหาได้เข้าของนิ้งหรือครอบครัว แล้วถ้าญาติยืมเงินจะทำยังไง เขาก็จะยกคำถาม

นิ้ง โศภิดา : ถามวิธีของพวกเรา เขาก็ถามง่าย ๆ ว่าจะรวมกันหรือจะแยก pocket แล้วถ้ามีคนมายืม คุณจะตัดสินใจยังไง หรือเวลาที่ spend money บางทีเราอาจจะมีความลับที่ไม่อยากจะบอก แล้วคุณจะทำยังไงกับคู่ของคุณ คู่ของนิ้ง นิ้งเห็นเจไดก็คือเป็นคนที่เปย์มาก ซัพพอร์ตมาก เงินเก็บไม่มีเลย ก่อนเจอนิ้ง ก็เลยคุยกันเดี๋ยวนิ้งช่วย แต่นิ้งจะทำเป็นแบบ Google Sheet Manage Cash Flow ให้เลยจะได้แบบเห็นด้วยกันเลยว่าทำงบให้แก้ไขปัญหาตรงนี้ แล้วก็เคยคิดที่จะ manage การค่าใช้จ่ายของเขาแต่มันไม่ไหว มันต้องมานั่งเก็บทุกเม็ด งั้นให้งบเท่านี้คุณไปจัดการชีวิตของคุณด้วยงบเท่านี้ เราเคลียร์กันแบบนี้ ให้นิ้งเป็นคนจัดการแต่ก็จะมีกองกลางที่เป็นเงินของเรา

เจได ไตรนุภาพ : เวลาจะซื้ออะไรเยอะ ๆ ก็จะคุยกันก่อน คำว่าเยอะ ๆ คือสมมุติว่าเป็นการตัดสินใจในหลักแสนขึ้น ก็จะเริ่มคุยกันว่าเรามีงบไหมเรื่องนี้ ถ้าไม่มีเราไปเดือนหน้าหรือว่าคิดว่าอันนี้มันสิ้นเปลืองไป ซื้อไปมันก็เบื่อแล้วหรือว่าถ้าเราคุยกันแล้วมันสมเหตุสมผลเราก็จะไปต่อ ผมฝากให้กับหนุ่ม ๆ ทุกคนทางบ้าน ให้ภรรยาจัดการเรื่องการเงิน ถ้าคุยกันก่อนนะ ผมว่าเราจะสบายใจแล้วมันจะช่วยลดปัญหา ผมเชื่อว่า 99% ของปัญหาในชีวิตคู่รวมทั้งเรื่องของลูกด้วย เพราะเมื่อเงินมันอยู่กับเขา เหมือนกับมีเงินเดือนที่เราได้จากเขาแล้วเราก็จัดการจากตรงนั้นอยากได้อะไรก็ซื้อเล็กซื้อน้อยก็ใช้แค่นั้น แล้วเราก็ไปโฟกัสในการทำงานในการสร้างมูลค่า ในการให้ลูกเรามีความสุขมากที่สุด

นิ้ง โศภิดา : แต่เราไม่มีความลับต่อกัน ให้โชว์เลยว่าตอนนี้มีสินทรัพย์อะไรบ้าง คล้าย ๆ เราทำงบการเงินให้เขาจัดการ แล้วก็ทำพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซื้อประกัน คุยกันให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องวิธีการเลี้ยงลูก เขาถามว่า จะมีพี่เลี้ยงไหม จะช่วยกันเลี้ยงหรือผู้ชายทำงานเป็นหลัก ถ้ามีลูกคุณจะจัดการตรงนี้ยังไง
เจได ไตรนุภาพ : จะให้ลูกไปอยู่กับฝั่งพ่อ ฝั่งผมหรือฝั่งเขา ถามทุก ๆ การคาดการณ์ ในเหตุการณ์อนาคต

นิ้ง โศภิดา : เวลาพ่อแม่ป่วยจะเอาพ่อแม่มาอยู่ที่บ้านด้วย ไหม

เจได ไตรนุภาพ : คือถามวิกฤตไว้ให้หมดเลยครับ เพื่อที่จะเช็คทั้งคู่ด้วย เพราะบางทีบางเรื่องเราเป็นครั้งแรกที่เราจะได้แต่งงาน มันก็จะมีสถานการณ์ที่เราไม่มีทาง ที่จะรู้

นิ้ง โศภิดา : แล้วมีคำถามที่โหดเหมือนกัน เขาถามว่า ถ้าลูกกับสามีจมน้ำพร้อมกัน แล้วคุณช่วยได้ 1 คน คุณจะเลือก ใคร

คำถามนี้น่าสนใจมากเพราะคำตอบมันสะท้อนหลายๆ อย่าง ?

นิ้ง โศภิดา : สิ่งที่เราแชร์ไปมันก็สะท้อนหลายๆ อย่าง บางคนก็อาจจะเลือกลูกก่อน แต่นิ้งเลือกสามี เพราะว่าสามีคือคู่ชีวิตซึ่งต้องอยู่กันยามแก่ เพราะบางคนอาจจะเลือกลูกก็ได้ถูกไหมค่ะ (พี่วู้ดดี้น้ำตาไหล กับคำตอบที่มีความซื่อตรงของนิ้ง)

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 19.00 น.

คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=mQCKFpP1rng&t=64s&ab_channel=WOODY
ไม่มีอ้อมค้อม! เอ็ม บุษราคัม โพสต์เล่าตรงๆ หลังไปดูดไขมัน หลังน้ำหนักพุ่งจนเอวขยาย
เรียกว่าออกมาบอกตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลย สำหรับ เอ็ม บุษราคัม วงษ์คำเหลา ลูกสาวคนโตของตลกรุ่นใหญ่ หม่ำ จ๊กมก ที่ล่าสุดโพสต์เล่าตรงๆ ว่าไปดูดไขมันมา หลังน้ำหนักพุ่งขึ้นหลาย กก. รอบเอวเพิ่มขึ้นหลายนิ้ว จนตอนนี้รอบเอวลดลงแล้ว

ซึ่งในอินสตาแกรม @emmeemm ได้โพสต์ภาพพร้อมทั้งเขียนรีวิวอย่างละเอียดถึงเหตุผลที่ตัดสินใจไปดูดไขมันครั้งนี้ด้วยว่า "ดูดไขมันมาค่ะ" ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลย 8 ปี กับ 2 ท้อง ลูก 3 (ลูก 2 รวมปั๋วอีก 1 ดื้อดั่งลูก) 3 ปี กับรายการหม่ำกับหม่ำ รายการที่มอบความรู้สึกดีดี เสียงหัวเราะ พร้อมน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากว่า 6-7 โล รอบเอวเพิ่มมาอีก 3 นิ้ว จาก 46 พุ่งไป 54 .... เอว 25 ไป 28 จะร้องงงงงห้ายยยยย แล้วลดยากด้วย นะ!!! 

ตัดสินใจไป ... ดูดขา ดูดท้อง ทำร่องอ่อนๆ (เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองตั้งใจลดจริงๆจังๆสักที)  Week แรก: ระบม บวม ช้ำ (ขับรถไม่ได้นะงับ ไม่ไหว) ใส่ชุดกระชับตลอด 24 ชั่วโมง อาบน้ำไม่ได้งับ 

Week สอง: บวมน้อยลง รอยช้ำจางหาย ตัดไหมเรียบร้อย อาบน้ำได้แล้ว แต่ยังต้องใส่ชุดกระชับตลอด 24 ชั่วโมง  Week สาม: หายบวมสนิท รอยช้ำไม่เหลือ วัดรอบเอวตอนถอดชุด ตอนนี้เอว 26 แล้วววววว ดีจายยยยย 

รู้หมือไร่!: ดูดไขมัน ไม่ได้ทำให้น้ำหนักลด ลดแค่สัดส่วนเท่านั้นนะจ๊ะ ตอนนี้เอ็มกำลังดูแลเรื่องอาหารการกินอย่างเคร่งครัดควบคู่ไปด้วยเพื่อให้น้ำหนักลงไปพร้อมกับสัดส่วน บางอย่างสามารถลด เลี่ยงได้ แต่เรามันเก๋าอยู่ละ งด เลยจ้าาาาา โดยเฉพาะ น้องเบียร์ ตัวร้าย!!! พักยาวเลยละ เอาไว้ครบ 2 เดือนจะมาอัปเดตอีกนะจ๊ะ”
“บอย ปกรณ์” กำหมัดมองแรงหลัง“น้องวันใหม่” ซื้อเสื้อสายเดี่ยว บอกลั่นถ้าใส่จะตุ้บตั้บน้องหรือคนมอง
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เสมอ สำหรับครอบครัวฉัตรบริรักษ์ ที่ล่าสุดพี่ชายคนโตของบ้านอย่างพระเอกหนุ่ม บอย ปกรณ์ ได้โพสต์ภาพคู่กับ น้องวันใหม่ น้องสาวคนเล็ก ที่เพิ่งซื้อเสื้อสายเดี่ยวตัวใหม่มาอวดพี่ชาย แต่งานนี้พี่ชายถึงกับกำหมัดมองแรง อยู่ข้างๆ น้องสาว

ซึ่ง บอย ปกรณ์ เขียนแคปชั่นตามสไตล์พี่ชายสุดหวงน้องสาวไว้ว่า “กำลังคิดว่าตอนที่นางใส่ จะตุ้บตั้บนางก่อน หรือ จะตุ้บตั้บคนมองนางก่อนดี!!!!@wanmai_chatt แม๊~~~~ มาดูลูกสาวซื้อเสื้อ!!!” ทำเอาแฟนๆ แห่คอมเมนต์ขำพี่ชายกันหนักมากเลยทีเดียว

#บอยปกรณ์ #น้องวันใหม่ #ข่าวบันเทิง #สยามดารา
“ตำรวจเรียก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" เปลี่ยนข้อหาจากพยายามกรรโชก เป็นพยายามฉ้อโกง จากคดีร่วมกับเจ๊พัช กรรโชก บอสพอล ดิไอคอน ทนายงงฉ้อโกงตรงไหน”
วันที่ 8 ก.ค. 68 ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีตนักแสดงชื่อดัง พร้อมด้วย นายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ทั้งในฐานะผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหา

หลังการเข้าพบนายประมาณเปิดเผยว่า วันนี้ไม่มีรายละเอียดคดีใหม่เพิ่มเติม แต่มีการเปลี่ยนแปลงข้อหาที่ฟิล์ม รัฐภูมิ ถูกกล่าวหา จากเดิมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ฟิล์มเข้าพบ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. และ พ.ต.ท.สธาปน์ ปัญญาพยัคฆ์ รอง ผกก.2 บก.ป.

เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท ซึ่งข้อหาดังกล่าวสืบเนื่องมาจากกรณีคลิปเสียงที่ถูกระบุว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างฟิล์ม รัฐภูมิ และนางสาวกฤษณ์อนงค์ หรือ "เจ๊พัช" เรียกรับเงิน จำนวน 20 ล้านบาทจาก "บอสพอล ดิไอคอนฯ" รวมถึงข้อหาหมิ่นประมาทนักจัดรายการชื่อดังโดยการเข้าพบพนักงานสอบสวนครั้งนี้ ข้อหาได้เปลี่ยนแปลงจาก "พยายามกรรโชกทรัพย์" เป็น "พยายามฉ้อโกง" แทน

นายประมาณ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงข้อหานี้ โดยให้เหตุผลว่า ข้อหากรรโชกทรัพย์คือการทำให้เกิดความกลัวเพื่อหวังทรัพย์สิน แต่ข้อหาฉ้อโกงหมายถึงการหลอกลวงให้หลงเชื่อ และส่งมอบทรัพย์สินโดยทุจริต ซึ่งหากกระทำไม่สำเร็จจะเรียกว่าพยายามฉ้อโกง แม้เจ๊พัชจะถูกศาลตัดสินจำคุกอยู่ในเรือนจำแล้ว แต่กรณีของเจ๊พัชไม่เกี่ยวข้องกับฟิล์ม และพยายามโยงเรื่องให้เกี่ยวข้องกัน ซึ่งดูแล้วไม่เข้าองค์ประกอบความผิดใดๆ เลย ตนยังได้ย้ำข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนข้อหาเป็นพยายามฉ้อโกงว่า “ฉ้อโกงตรงไหน?”

โดยระบุว่าการฉ้อโกงจะต้องมีการหลอกลวง ทำให้หลงเชื่อ ส่งมอบทรัพย์สิน และมีการได้ไปซึ่งทรัพย์สินโดยทุจริต ซึ่งหากทำไม่สำเร็จจึงจะเป็นการพยายามฉ้อโกง

#ฟิล์มรัฐภูมิ #สยามดารา
"มะเดี่ยว" 3,000 บาทเปลี่ยนชีวิต สู้จนเป็นตัวแม่ไอคอนโซเชียล!
ฮากระจาย! “เกิดมาเว่า” สัปดาห์นี้พบกับ "มะเดี่ยว - อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ” อินฟลูฯ ตัวแม่ที่กล้าลบคิ้ว! มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากการแต่งหน้าจัดจ้านและท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ จนทำให้เกิดกระแสเลียนแบบในโลกออนไลน์ และเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าโรคมะเดี่ยว เคยเห็นผีตั้งแต่เด็ก? บอกเลขแม่นจนคนแห่ขอ และเล่าถึงความเป็นมาจุดเริ่มต้นกว่าจะมาเป็นมะเดี่ยวในวันนี้ มากรุงเทพด้วยเงินติดตัว 3000 เผย “ช่วยตัวเองก่อน แล้วค่อยช่วยคนอื่น”

เป็นจังหวัดอะไร ?
มะเดี่ยว: เป็นคนขอนแก่น บ้านฝาง

เล่าย้อนกลับไปตอนเด็ก ?
มะเดี่ยว: ตอนเราเด็ก เราชอบ เราเป็นกะเทยมาแล้ว เกิดมาก็โดดเด่น บอกหวยถูก เป็นคนดัง เห็นเป็นสิ่งลี้ลับ ไปไหนมาไหนคนก็จะให้เงินเรา ชอบซื้อไปชุดสวย ๆ งาม ๆ แม่เราก็เป็นแบบว่าลูกอยากได้ชุดผู้หญิง ซื้อให้เลย ไม่เคยห้าม

ทำไมถึงโกนคิ้วออก ?
มะเดี่ยว: เพราะว่าเราไม่ชอบมีคิ้ว มีคิ้วทำไม มันไปบังบังตา คิ้วเป็นมงกุฎของนางงามเขาไม่ใช่เหรอ เอาไปทิ้งหน่อยคำนี้ มันไม่ใช่มงกุฎ มันเป็นเหมือนว่ามาบังตาเราไว้ ทำให้ตาเราไม่เด่น

เส้นทางสู่ความสำเร็จ ?
มะเดี่ยว: เราไม่ได้ตั้งใจจะดังนะ เราก็แต่งชุดแบบธรรมดา ลงเฟซ แล้วก็ดันดัง มากรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 15 พ่อแม่บอกไปเลย มาคนเดียวแล้วฉันแล้วก็มาเช่าห้องอยู่ ตอนนั้นก็เอาเงิน 3,000 มากรุงเทพฯ มาออกรายการ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แล้วก็ไปออกรายการ Asias Next Top Model เราเป็นดีไซเนอร์อยู่ Asias Next Top Model เขาติดต่อมาให้เราไปแคสติ้งเกี่ยวกับดีไซเนอร์ พอทำรายการ Asias Next Top Model เราก็ต้องไปจากไทย ขนของไปให้หมด

จบรายการแล้วเป็นอย่างไร ?
มะเดี่ยว: เราทำงานมานาน ตั้งแต่อายุ 16 จนถึงอายุ 21 ทำงานมาหลายปีมาก จนเขาบอกว่าหมดเงินแล้ว ให้กลับบ้านเลย ที่ช็อกก็คือว่า แม่เราเคยโทรมาขอเงินแบบไปผ่าตัดแค่ 3,000 เป็นค่าห้อง ท่านก็บอกว่าไม่มีแต่อย่าไปบอกมะเดี่ยวนะว่าไม่มี เดี๋ยวจะเครียด พอกลับบ้านไป ฉันไม่ยอมหรอกค่ะ เราต้องทำให้เราสู้ขึ้นมา ตอนกลับแม่ก็ยังโอนเงินมาให้ 3,000 อีก ตอนไปตอนกลับแม่ก็ให้ 3,000 คือไปเริ่มต้นด้วย 0 น่ะ กลับมาก็เริ่มต้นด้วย 0 อีก 4 ปีที่เราทำงานมาตลอด ก็คิดแบรนด์เลย ตู้คุณย่า เอาผ้าถุงมาตัดเป็นชุด เป็นผ้าซิ่น เอามาตัดเป็นชุดของตัวเอง ค่าตัด 100 ลงทุน 200 ใช่ไหม ขายไปเลย 999 แล้วก็ยิงแอดเลย ตอนนั้นแบบเพิ่งอายุ 21 ปี วันแรกปังเลย ถ้าเราเครียดแล้วยิ่งว่างมันก็จะเครียดขึ้นไปอีก ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากเราช่วยตัวเองนี่คือคำที่ถูกต้อง ช่วยตัวเองเถอะค่ะ ช่วยคนอื่นแล้วอย่าลืมช่วยตัวเองบ้างนะคะ ก็เลยประสบความสำเร็จในช่วงแรกที่กลับบ้าน

แล้วมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ?
มะเดี่ยว: เปลี่ยนตัวเอง ไปประกวด Miss Fabulous ทำให้เราได้เกิดมา เขาก็เป็นผู้ให้โอกาส ไบรอัน ตัน เราได้ไปออกรายการ The Billionaire

สเปกของมะเดี่ยว ?
มะเดี่ยว: ไม่ได้ชอบคนที่มีหน้าตาดีเท่าไหร่ หน้าตาก็สำคัญแต่ว่าเราจะดูที่บุคลิก จะดูด้วยเสน่ห์ของเขา ถ้าเป็นสเปกก็ต้องคนนี้เลย เพราะว่าแฟนเขาหน้าเหมือนฉันเลย เต๋อ ฉันทวิชช์

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากบอกอะไรตัวเอง อยากแก้ไขอะไรมากที่สุด ?
มะเดี่ยว: จะบอกให้ตัวเองตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเยอะ ๆ เพราะว่าตามบ้านนอกเรา ภาษาอังกฤษเขาไม่ได้สอนจริงจัง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษ

ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีความกล้าที่อยากจะเป็นตัวของตัวเอง ทำอย่างไรให้ปลุกความกล้า ?
มะเดี่ยว: ก่อนที่จะกล้าเป็นตัวของตัวเองก่อนต้องหาตัวเองให้เจอก่อน จะต้องหาตัวเองให้เห็นว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ลองทำไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าใครจะเจอตัวเองในการทำครั้งแรก Passion มันหาได้ใหม่ได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ เธอต้องก้าวออกจากห้องตอนนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหา Passion อยู่ในห้องตัวเอง ไปหาทำอะไรที่เรา ไม่เคยทำ

สามารถติดตาม “เกิดมาเว่า” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันอังคาร เวลา 18.00 น.

คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=t2CBZxsp530&t=60s&ab_channel=WEDO
อินโดนีเซีย จัดยิ่งใหญ่ต้อนรับ “โอปอล-สุชาตา” มิสเวิลด์ 2025 พร้อมร่วมงาน Miss Indonesia 2025
เจ้าบ้านอินโดนีเซีย จัดงานต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับการมาเยือนของ “โอปอล-สุชาตา ช่วงศรี” มิสเวิลด์ 2025 พร้อมด้วย คุณ “สตีเฟน ดักลาส มอร์ลีย์” Event Director of Miss World Organization และ คุณ “ซูดา เรดดี้” Miss World Global Ambassador for Beauty With a Purpose ในงานแถลงข่าว Welcoming the 72nd Miss World in Indonesia ซึ่งจัดโดยองค์กร Miss Indonesia ภายใต้การดูแลของ “ลิเลียนา ทาโนเซอดิบโจ” Chairwoman of Miss Indonesia Organization พร้อมด้วย “โมนิกา เคเซีย เซมบิริง” มิสอินโดนีเซีย คนล่าสุด ร่วมให้การต้อนรับอย่าง อบอุ่น

โดยการมาเยือนอินโดนีเซียครั้งนี้ “โอปอล-สุชาตา” ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานการประกวด Miss Indonesia 2025 เวทีประกวดนางงามที่ยิ่งใหญ่และมุ่งเน้นเรื่องความงามอย่างมีคุณค่า Beauty With A Purpose ซึ่งจะจัดประกวดรอบตัดสินขึ้นในวันที่ 9 กรกฎาคม ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ RCTI ทั้งนี้ “ลิเลียนา ทาโนเซอดิบโจ” Chairwoman of Miss Indonesia Organization ได้กล่าวถึงการมาเยือนครั้งนี้ ว่า

“การได้ต้อนรับโอปอลถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เธอเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ความเป็นผู้นำ จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งล้วนเป็นแบบอย่างอันงดงามสำหรับผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 38 คนของเรา โอปอลได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยการคว้ามงกุฎ Miss World เป็นคนแรกในรอบ 75 ปี โดยพิธีมอบมงกุฎจัดขึ้นที่เมืองไฮเดอราบาด รัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย เธอเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นผู้ก่อตั้งแคมเปญ “Opal for Her” ซึ่งรณรงค์ด้านสุขภาพสตรี โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น

สำหรับอินโดนีเซียยังคงครองตำแหน่งประเทศชั้นนำในการประกวด Miss World มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลงานเข้ารอบลึกถึง 12 ปีติดต่อกัน ได้รับตำแหน่งรองอันดับ 2 จำนวน 2 ครั้ง และคว้ารางวัล “Beauty With a Purpose” หลายสมัย มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก ซึ่งปีที่ผ่านมาตัวแทนของเรา “โมนิกา เคเซีย เซมบิริง” ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ โดยติด 10 อันดับสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย เข้ารอบ 40 คนสุดท้าย และคว้ารางวัลทั้ง Talent และ Beauty With a Purpose จากเวที Miss World 2024 เราแทบรอไม่ไหวที่จะพบกับมิสอินโดนีเซีย 2025 คนใหม่! ใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งและสานต่อภารกิจนี้ต่อไป”
อินโดนีเซีย จัดยิ่งใหญ่ต้อนรับ “โอปอล-สุชาตา” มิสเวิลด์ 2025 พร้อมร่วมงาน Miss Indonesia 2025
เจ้าบ้านอินโดนีเซีย จัดงานต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับการมาเยือนของ “โอปอล-สุชาตา ช่วงศรี” มิสเวิลด์ 2025 พร้อมด้วย คุณ “สตีเฟน ดักลาส มอร์ลีย์” Event Director of Miss World Organization และ คุณ “ซูดา เรดดี้” Miss World Global Ambassador for Beauty With a Purpose ในงานแถลงข่าว Welcoming the 72nd Miss World in Indonesia ซึ่งจัดโดยองค์กร Miss Indonesia ภายใต้การดูแลของ “ลิเลียนา ทาโนเซอดิบโจ” Chairwoman of Miss Indonesia Organization พร้อมด้วย “โมนิกา เคเซีย เซมบิริง” มิสอินโดนีเซีย คนล่าสุด ร่วมให้การต้อนรับอย่าง อบอุ่น

โดยการมาเยือนอินโดนีเซียครั้งนี้ “โอปอล-สุชาตา” ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานการประกวด Miss Indonesia 2025 เวทีประกวดนางงามที่ยิ่งใหญ่และมุ่งเน้นเรื่องความงามอย่างมีคุณค่า Beauty With A Purpose ซึ่งจะจัดประกวดรอบตัดสินขึ้นในวันที่ 9 กรกฎาคม ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ RCTI ทั้งนี้ “ลิเลียนา ทาโนเซอดิบโจ” Chairwoman of Miss Indonesia Organization ได้กล่าวถึงการมาเยือนครั้งนี้ ว่า

“การได้ต้อนรับโอปอลถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เธอเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ความเป็นผู้นำ จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งล้วนเป็นแบบอย่างอันงดงามสำหรับผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 38 คนของเรา โอปอลได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยการคว้ามงกุฎ Miss World เป็นคนแรกในรอบ 75 ปี โดยพิธีมอบมงกุฎจัดขึ้นที่เมืองไฮเดอราบาด รัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย เธอเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นผู้ก่อตั้งแคมเปญ “Opal for Her” ซึ่งรณรงค์ด้านสุขภาพสตรี โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น

สำหรับอินโดนีเซียยังคงครองตำแหน่งประเทศชั้นนำในการประกวด Miss World มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลงานเข้ารอบลึกถึง 12 ปีติดต่อกัน ได้รับตำแหน่งรองอันดับ 2 จำนวน 2 ครั้ง และคว้ารางวัล “Beauty With a Purpose” หลายสมัย มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก ซึ่งปีที่ผ่านมาตัวแทนของเรา “โมนิกา เคเซีย เซมบิริง” ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ โดยติด 10 อันดับสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย เข้ารอบ 40 คนสุดท้าย และคว้ารางวัลทั้ง Talent และ Beauty With a Purpose จากเวที Miss World 2024 เราแทบรอไม่ไหวที่จะพบกับมิสอินโดนีเซีย 2025 คนใหม่! ใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งและสานต่อภารกิจนี้ต่อไป”
TALK กับ “ไมค์” ช่อง 7HD คือบ้านของผมที่ยังไม่เคยคิดจะไปไหน พร้อมลุยบทบาทใหม่ฐานะผู้จัดฯ เปิดงานโกอินเตอร์ แฟนไทยเตรียมชม 11 ก.ค.นี้
เปิดใจ “ไมค์” เล่าเรื่องราวลุยงานอินเตอร์ประเทศจีน ในรายการวาไรตี “ว่านอู้ซิ่ว” ตอน “กังฟู” พร้อมชวนแฟนชาวไทย ติดตามชมได้ทางช่อง 7HD 11 ก.ค.นี้ ก่อนเผยถึงบทบาทใหม่ในฐานะผู้จัดละคร และเล่าความรู้สึกที่มีต่อช่อง 7HD “บ้านของผม”

หายจากหน้าจอไปพักใหญ่ จนแฟน ๆ บ่นคิดถึง ล่าสุดเลยขอจับ ไมค์-ภัทรเดช สงวนความดี มาพูดคุยแบบสเปเชียล อัปเดตงานใหม่ให้ได้รู้กัน หลังสร้างความฮือฮาในโซเชียล กับภาพการทำงานที่ประเทศจีนจนเกิดเป็นกระแสชื่นชมกับไมค์โกอินเตอร์ พร้อมกับมีหลายคำถามว่า ไมค์ไปทำอะไรที่นั่น ? และวันนี้มีเฉลยออกมาแล้วว่า ไมค์เดินทางไปถ่ายรายการ “ว่านอู้ซิ่ว” ซึ่งเป็นรายการแนว Docu-drama สารคดีกึ่งละคร ที่นำเสนอการผสมผสานด้านศิลปวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และธรรมชาติของมณฑลกว่างซี ประเทศจีน โดยตอนที่ไมค์ร่วมแสดงคือตอน “กังฟู” เป็นการผสมผสานศิลปะการต่อสู้ของไทย และจีนที่จะเห็นได้เลยว่ามีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งรายการออกอากาศในประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และข่าวดี แฟน ๆ ชาวไทยจะได้ชมพร้อมกันทางช่อง 7HD ในวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคมนี้ เวลา 20.40 น. จุดเริ่มต้นของการโกอินเตอร์รายการ

“ผมได้รับการติดต่อผ่านเอเจนซี่ในประเทศจีนมาครับว่ามีรายการนี้ เขาอยากได้นักแสดงไทย ที่พูดจีนได้ในระดับที่ดี สามารถเล่นแอ็กชันได้ ไม่กลัวความสูง ไม่กลัวไฟ ซึ่งเราก็เลยลงล็อกในความต้องการตรงนี้ ทำให้มีโอกาสได้ไปร่วมโปรเจกต์นี้ซึ่งเป็นโปรเจกต์ในโอกาสการสานความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี โดยงานชิ้นนี้จะออกอากาศทั่วประเทศจีนรวมถึงบนรถไฟฟ้าที่นั่นด้วย”

กว่าจะเป็นโปรเจกต์ที่จีนได้ พูดถึงการทำงานว่าต้องเตรียมพร้อมอย่างไร
“ผมเตรียมตัวหนักเหมือนกันครับ ต้องทบทวนเรื่องภาษาเพราะผมห่างจากการใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวันประมาณ 12-13 ปีแล้ว ตั้งแต่ผมเรียนจบมา ดังนั้นก็เลยต้องทบทวนกับเพื่อนชาวจีน มานั่งพูดคุยกัน เราเตรียมตัวอยู่เป็นสิบกว่าวัน และยังมีเรื่องการรื้อฟื้นการบู๊ ที่ผมห่างไปนานเหมือนกันนะ ตั้งแต่มธุรสโลกันตร์ ก็ประมาณ 6 ปีได้ ผมก็เลยไปฝึกมวยไทย ฝึกรำมวยซึ่งจะมีอยู่ในฉากที่ทุกคนจะได้เห็นกันในรายการด้วย สรุปกว่าจะเดินทางไปก็ทำการบ้านอยู่ร่วมเดือนเหมือนกันครับ ซึ่งเรื่องราวของตอนที่ผมไปแสดง จะเล่าถึงตัวผมที่เป็นคนไทยที่เดินทางไปหาความรู้ศิลปะป้องกันคือ กังฟู แล้วเราก็หลุดเข้าไปอยู่ในโลกของกังฟู ได้เจอศิลปะการต่อสู้ของมวยจ้วง และมีหลายอย่างทำให้ผมตกใจ คืออย่างภาษาของชาวจ้วง (ชาวจีนในมณฑลกว่างซี) คล้ายคนไทยมาก อย่างคำว่า ไก๊ แปลว่า ไก่ คำว่า เปะ แปลว่า เป็ด ปี้น้อง คือพี่น้อง ภาษาของเขาจะคล้ายกับภาษาเหนือของเรามาก ๆ มวยจ้วงใช้ศอก ใช้เข่า เหมือนเรา เพื่อสื่อสารให้ทุกคนเห็นว่าวัฒนธรรมของเรานั้นใกล้เคียงกันมากจริง ๆ” ความยากของการทำงาน “เราไปทำงานกันทั้งหมด 5 วัน และเป็น 5 วันที่ผมยอมรับเลยว่าหนักที่สุดในชีวิต แต่กลับไม่เหนื่อยเลย คือเราได้เห็นวิธีการทำงานของพี่น้องชาวจีน ที่เขาทำงานกันตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม แล้วเขาวิ่งกันแบบนี้ทั้งวัน ทุกวันไม่มีใครถ่านอ่อน จะพักก็แค่ช่วงกินข้าวเที่ยง คือเป็นความเหนื่อยที่สนุก เราก็ตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ต้องทำ ถามว่าหนักไหมก็หนักจนปุ๊กลุก (ฝนทิพย์ วัชรตระกูล) ร้องไห้ คือเขาอึ้งที่เห็นเราต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ คือเวลาทำงานเราจริงจังจริง ๆ อย่างขึ้นสลิง ผมขึ้นจนขาช้ำไปหมด ไม่มีสแตนอิน เพราะส่วนตัวผมเป็นคนชอบเล่นเองอยู่แล้ว ผมอยากให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นเรา ดังนั้นมันอาจจะหนักแต่มันออกมาสวยกว่าเพราะจะไม่มีขีดจำกัดในการใช้ภาพ สามารถใช้ภาพได้ทุกเฟรม ไม่ว่าเฟรมไหนก็เป็นผมครับ แต่ผมก็เข้าใจปุ๊กลุกนะครับที่เขาร้องก็เพราะเขาเป็นห่วงเรานั่นแหละ แต่พอได้เห็นภาพทั้งหมดที่ออกมาผมหายเหนื่อยเลยครับ เพราะสวยมากจริง ๆ ”

กระแสตอบรับจากแฟน ๆ ชาวจีนเป็นอย่างไร ส่วนแฟน ๆ ชาวไทยจะได้รับชมไหม
ฟีดแบ็กที่กลับมาดีมาก ๆ เลยครับ ที่ประเทศจีนเขาโปรโมตกันหนักมาก เพื่อนผมที่จีนที่อยู่กวางสี หรือกุ้ยหลินก็ถ่ายมาให้ดูครับ ว่ามีบนรถไฟฟ้าด้วย แล้วผมมีเพื่อนคนจีนดูแลโซเชียลที่จีนให้อยู่ เขาก็บอกว่าฟีดแบ็กดีเลยครับ ส่วนแฟน ๆ ชาวไทยเตรียมพร้อมเลยนะครับ วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคมนี้ เวลา 20.40 น. ได้ชมพร้อมกันแน่นอนครับ ซึ่งผมก็ได้พากย์เสียงภาษาไทยเองด้วย เป็นอีกบทบาทใหม่ที่ผมก็ยังไม่เคยพากย์เสียงแบบนี้มาก่อน ยากเหมือนกันนะครับ ขนาดว่าพากย์เสียงตัวเอง เพราะตัวผมในรายการจะพูดภาษาจีน แล้วพอต้องจับคำพูด การขึ้นประโยค จบประโยคให้ตรงกัน ก็ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ”

พูดถึงงานที่ไทยบ้าง แฟน ๆ คิดถึง ถามกันเข้ามาว่า เมื่อไหร่ไมค์จะมีผลงานที่ช่อง 7HD
“สำหรับผลงานละครใหม่ที่ผมเล่นเองยังไม่มีนะครับ แต่ผมกำลังปั้นละคร ซึ่งผมไม่ใช้คำว่าผันตัวนะครับ แต่จะเป็นผู้จัดละครหน้าใหม่และเป็นนักแสดงด้วยครับ ส่วนซีรีส์นี้จะเป็นอย่างไร และนางเอกจะเป็นใครต้องรอมาติดตามนะครับ ตอนนี้กำลังแคสอยู่หาคนที่เหมาะสมที่สุด คนที่คิดว่าใช่ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ผมหาคนที่มีแพชชั่นจริง ๆ อย่างทีมงานก็อยากหาให้ดีที่สุด”

อะไรที่ทำให้ตัดสินใจมาสู่งานผู้จัด ไมค์ได้แรงบันดาลใจจากจุดไหน
“ผมรู้สึกว่าประสบการณ์ของผมน่าจะนำมาทำอะไรในจุดนี้ได้ ในวันที่โลกเปลี่ยน ในวันที่การแข่งขันสูง ผมเลยอยากทำอะไรใหม่ ๆ เป็นแพชชั่นที่ผมรู้สึกว่า น่าจะเป็นสิ่งใหม่ ๆ มันเป็นความฝัน ที่ผมอยากจะลงแรงสักครั้งในชีวิต ซึ่งถ้าผมเลือกได้ ผมก็ขอเลือกที่จะมาทำให้กับบ้านของผม คือช่อง 7HD ในวันที่โลกมันหมุนเร็ว ในวันที่เราต้องสู้ ผมอยากสู้ไปกับบ้านของผม ด้วยความรู้ ความสามารถ ตลอด 10 กว่าปีที่ผมอยู่ที่นี่ ซึ่งผมเป็นคนชอบดูหนัง ชอบดูซีรีส์ ผมจะเอาความรู้ตรงนี้มาทำงานนี้ครับ”

ความรู้สึกกับการได้รับโอกาสงานใหม่จากช่อง 7HD
“ผมอยากขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคนมาก ๆ เลยนะครับ ที่ให้โอกาสผม มันเป็นโปรเจกต์ที่เป็นตัวของตัวเองมาก เป็นรสชาติใหม่ของละครช่อง 7HD ผมขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวผม แต่ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นผมนะครับ กว่าผมจะได้ทำผมใช้เวลากว่า 4-5 ปี ในการเตรียมงานนะ คือเราคิดว่าสิ่งที่เรามีมันดีแล้ว พอเรามานั่งเล่าให้ผู้ใหญ่ทางช่องฟังก็อาจจะมีทัก มีคำแนะนำให้เราได้กลับไปทบทวน ซึ่งพล็อตละครของผม ผมก็มานั่งคิดกันเองทำกันเอง อย่างช่วงนี้แฟนคลับทักเข้ามาเยอะมากว่าผมหายไปไหน ไม่ค่อยลงโซเชียล ก็ต้องบอกครับว่าผมทำงานหนักจริง ๆ อยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องหัวใจของละครคือบท ที่ตั้งใจอยากให้ออกมาดีที่สุด เล่าตรง ๆ ผมเปลี่ยนทีมเขียนบทมา 4 ทีมแล้ว ซึ่งถ้ายังไม่ดีผมก็จะยังไม่เริ่มถ่ายทำครับ”

จะเห็นว่าไมค์ อยู่บ้านหลังนี้มานานมาก ๆ
“ผมอยู่ช่อง 7HD มา 10 กว่าปีได้นะ ตลอดเวลามีความเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ช่อง 7HD เป็นเหมือนครอบครัว ครอบครัวที่ไม่ใช่บุคคล แต่รวม ๆ แล้วคือ ช่อง 7HD เอาตรง ๆ ถ้าไม่มีช่อง 7HD ก็ไม่มีผมตรงนี้ นี่คือเรื่องจริง ผมไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นอย่างไรนะ แต่ผมรู้ว่าที่นี่อยู่กันเป็นครอบครัวจริง ๆ ผมเข้ามาผมไม่ต้องเกร็ง แม้จะเป็นผู้บริหาร ผมสามารถที่จะพูดคุย ปรึกษา บอกความต้องการที่เราได้ไตร่ตรองมาแล้ว แชร์ความคิดกันได้ นี่คือบ้านที่เป็นบ้านจริง ๆ ผมเดินไปหาทุกคนทุกฝ่ายได้อย่างสบายใจ ตัวผมเราไม่ได้คิดอยากออกไปไหน ผมรู้ว่าทุกคนอยากโต แต่สิ่งหนึ่งคือต่อให้เราอยู่ตรงไหน ถ้าจะโต เราก็โต แต่เราต้องพัฒนาตัวเอง วันนี้เราอยู่ที่นี่เรามีความสุขแล้ว ผมได้แชร์ความคิด ที่นี่เราแชร์กันได้แบบไม่มีอีโก้ เป็นการทำงานที่คุยกันได้จริง ๆ”

ฝากงานใหม่ของไมค์ ให้รอชม ใครมาแสดงบ้าง
“ใครที่คิดถึงกัน ผมก็คิดถึงทุกคนเหมือนกันนะครับ รอติดตามชมรายการ ว่านอู้ซิ่ว ตอน กังฟู วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคมนี้ เวลา 20.40 น. ทางช่อง 7HD ก่อนนะครับ สนุกแน่นอน ส่วนใครที่คิดถึงละครของไมค์ อดใจรอกันอีกนิด ผมกำลังปั้นผลงานที่ดีที่สุดเพื่อแฟน ๆ ช่อง 7HD อยู่ครับ” ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ทาง Facebook, IG, X, TikTok, YouTube : Ch7HD
อิ่มบุญอิ่มใจ “บูม เทยกะทะ” เปิดภาพถวายเพล ”ธัมมกัลยาณี“ แฟนๆ ร่วมอนุโมทนาบุญ
หลังจากที่นางเอกสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เข้าพิธีบรรพชาสามเณรี ณ ศรีวรญาลัย จ.สระบุรี เมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยมีคนในครอบครัว ตลอดจนเพื่อนๆ คนสนิท ผู้ใหญ่ที่นับถือ มาร่วมพิธี โดยได้ฉายาทางธรรมว่า “ธัมมกัลยาณี” แปลว่า “ผู้หญิงที่มีความงามทางธรรม”

ล่าสุดวานนี้ 5 ก.ค 68 บูม เทยกะทะ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ได้เผยภาพถวายเพลสามเณรี 46 รูป พร้อมเปิดภาพคู่ "สามเณรีเจนี่" ท่ามกลางแฟนๆ เข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญกันจำนวนมาก

Cr. Fb : เทยกะทะ #บูมเทยกะทะ #เจนี่เทียนโพธิ์สุวรรณ์ #ข่าวบันเทิง #สยามดารา
"ไมกี้ ปณิธาน" แจ้งสิ้นสุดสัญญากับ สังกัด "ฌาน ครีเอชั่นส์" พร้อมโบกมือลา ผจก.
เรียกว่าทำเอาแฟนๆ ใจหายไม่น้อยเมื่อล่าสุด 7 ก.ค 68 นักแสดงหนุ่มสุดฮอต "ไมกี้ ปณิธาน" ออกมาประกาศ สิ้นสุดสัญญากับค่าย ฌาน ครีเอชั่นส์ พร้อมทางผู้จัดการส่วนตัวอย่าง “ปิ๊ก ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์” เป็นที่เรียบร้อยหลังอยู่มานาน5ปี

โดยเจ้าตัวได้ประกาศเอาไว้ว่า “สวัสดีครับ ผมไมกี้ ปณิธาน บุตรแก้ว ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ขณะนี่ผมได้สิ้นสุดสัญญาการเป็นศิลปินกับทาง บริษัท ฌาน ศรีเธชันส์ และคุณปิ๊ก ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณพี่ปิ๊ก และทีมงานทุกคนที่ดูแลและให้โอกาสผมเข้ามาในวงการบันเทิงสำหรับงานที่ได้รับมอบหมายระหว่างที่ยังอยู่ในสัญญาที่ผ่านมา ผมยังคงทำงานร่วมกับทีมของพี่ปิ๊กจนกว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ครับ

ในส่วนของการรับงานทุกประเภทถัดจากนี้ สามารถติดต่อได้โดยตรงผ่านช่องทางอีเมล [email protected] และติดตามการอัปเดตผลงานและตารางงานต่างๆ ผ่านช่องทางอินสตาแกรม mprimeofficial ครับ

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณแฟนคลับ แฟนละคร และผู้ชมทุกท่านที่มอบความรัก และการสนับสนุนที่ดีให้ผมเสมอมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะเป็นกำลังใจ และสนับสนุนผมต่อไปในวันข้างหน้าครับ แจ้งมาเพื่อทราบด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงครับ ไมกี้ ปณิธาน บุตรแก้ว"

#ไมกี้ปณิธาน #สยามดารา
เปิดโพสต์ "ไฮโซน้ำหวาน" ภรรยา "นาวิน ต้าร์" หลังเจอมองแรงที่ร้านกาแฟ
เรียกว่าหลายคนกำลังให้ความสนใจกรณีของ ไฮโซน้ำหวาน พัสวี ภรรยาสาวคนสวยของ “นาวิน ต้าร์” หรือ นาวิน เยาวพลกุล ที่ได้ออกมาโพสต์ระบายกับสิ่งที่ได้เจอมา เมื่อได้พาลูกๆ ทั้งสามคนไปนั่งที่ร้านกาแฟ และเจอเหตุการณ์จากหญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้สายตาตำหนิลูกๆ ของเธอ ซึ่งหลังจากที่ ไฮโซน้ำหวานได้ออกมาโพสต์ข้อความนี้ผ่านทางโซเชียล เรียกได้ว่าชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ซึ่งน้ำหวานโพสต์คลิปพร้อมกับพิมพ์ข้อความเล่าเหตุการณ์ที่ได้เจอให้ฟังว่า วันนี้เป็นวันธรรมดาแต่แสนจะหนักเมื่อต้องทำหน้าที่ปกป้องลูกทั้ง 3 คนจากสายตาคนๆ หนึ่งที่ดูโหดร้ายและน่ากลัวทุกวันหยุดจะพาลูกๆ ไปนั่งที่ร้านกาแฟและทานขนมนอกบ้าน เด็กๆ ทั้ง 3 คนจะเคยชินกับการไปร้านกาแฟเจ้าประจำ

- ตอนที่เกิดเรื่อง สามีเดินออกไปข้างนอก เหลือแต่น้ำหวานในความเป็นเด็กมีคุยกัน ร้องเพลง ซึ่งอาจจะมีเสียงรบกวนบ้างแต่น้ำหวานแจงว่าดูแลลูกเป็นอย่างดีไม่ได้ทำให้รบกวนใครจนเกินไปมีลูกค้าทุกโต๊ะนั่งยิ้มและหลายท่านทักทายคุยกับเด็กๆ แต่ในความสนุกนั้น กลับมีสายตาคู่หนึ่งนั่งค้อนน้องและหันมามองลูกทั้ง 3 เหมือนจะกินลูกของเธอทั้ง 3 คนเข้าไปในท้อง

- ด้วยความที่อาจจะมานั่งทำวิทยานิพนธ์ ต้องการความเงียบแบบไร้เสียง ซึ่งส่วนตัวแนะนำว่าคุณควรนั่งทำที่ห้องเงียบๆ เพราะร้านกาแฟเสียงเครื่องปั่นก็ดังมาก ทุกโต๊ะก็นั่งกันเป็นครอบครัวบ้าง คุยสนุกกับเพื่อนๆ บ้าง โดยรวมดูอบอุ่น

- ผู้หญิงคนนี้อายุประมาณ 23-25 หันมามองเด็กๆ ด้วยสายตาแย่ๆ ถึง 3-4 ครั้ง ทำให้เด็กตกใจ และเขายังไม่รู้ว่าเขาผิดยังไง ทำไมต้องเจอสายตาแบบนี้กับผู้ใหญ่ที่ไร้ความคิด ไร้คุณธรรมเช่นนี้ ถ้าอยากจะว่าต้องว่าที่น้ำหวานเลี้ยงลูกอบรมไม่ดี ไม่ใช่ส่งสายตานี้ไปที่เด็ก 1 ขวบครึ่ง 5 ขวบ และ 7 ขวบ แบบนี้

- น้ำหวานเล่าต่อว่า ในขณะที่คุณก็คงเคยผ่านการเป็นเด็กมาก่อน น้ำหวานอาจจะอบรมลูกได้ไม่ดีพอ แต่ด้วยการเลี้ยงดูของคนเป็นแม่ จะสอนให้เข้าใจ ไม่ใช่สั่งด้วยสายตาอย่างไร้เหตุผลเพื่อทำให้เด็กกลัวเพราะเจอกับเหตุการณ์นี้ ทำให้น้ำหวานต้องขอปกป้องลูกๆ ด้วยความอดทนสูงสุด คือเดินเข้าไปที่โต๊ะดังกล่าวและมองเพื่อส่งสายตาบอกว่าให้ตำหนิที่น้ำหวาน และในขณะเดียวกันน้ำหวานได้บอกลูกว่าไม่ต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้ หนูไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อให้กำลังใจลูกไม่ให้กลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะลูกกำลังจะร้องไห้ น้ำหวานได้พูดกับตรงโต๊ะนั้นไปว่า "การที่ผู้ใหญ่แสดงปฏิกิริยาแบบนี้ต่อเด็ก มันแย่กว่าสิ่งที่เด็กเสียงดังเยอะมากค่ะ"

- สุดท้ายน้ำหวานบอกว่าเธอรออีกฝ่ายคุยโต้ตอบกลับมา แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ คำพูดใดๆและเพราะวันนี้รู้สึกอัดอั้นจริงๆ น้ำหวานไม่อยากให้คุณแม่ท่านไหนมาเจอแบบที่เธอเจอ พร้อมกับบอกว่าในเหตุการณ์จริงมันแย่กว่านี้มาก #แม่ลูก3
พี่สาวสายเปย์! “เบสท์ คำสิงห์” ควักเงินซื้อรถหรูเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าให้ “โบ๊ท ภูวรักษ์” น้องชายสุดที่รัก
ยืนหนึ่งเรื่องรักครอบครัวสุดๆ สำหรับ เบสท์ รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ลูกสาวของ สมรักษ์ คำสิงห์ ที่ล่าสุด 7 ก.ค 68 เบสท์ได้โพสต์รูปภาพครอบครัวสุดอบอุ่น พ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในวันที่ไปซื้อรถหรูเป็นของขวัญวันเกิดให้ น้องชาย โบ๊ท ภูวรักษ์ พร้อมเขียนแคปชั่นซึ้งเอาไว้ว่า

"ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า @boatkamsing เป็นคนดี ตั้งใจเตะบอล ตั้งใจทำ YouTube นะไหนๆ ก็โพสต์แล้ว ขอพิมพ์ยาวๆ เก็บความทรงจำไว้หน่อยนะคะ ฉันในวัย 25 ปี.. ถึง เบส คำสิงห์ ตอนนี้ก็เดินทางมาอีก 1 ขั้นในชีวิต มีบ้านให้ครอบครัว บ้านให้ตัวเอง และคอนโดให้ตัวเอง มีรถครอบครัว รถของพ่อ รถของแม่ รถของน้องชาย และรถตัวเอง ครบถ้วนแล้ว

ขอบคุณตัวเองนะ เธอผ่านทุกอย่างมาอย่างดีมากๆ เลย เธอใช้หนี้ให้ครอบครัวจนหมด เธอมีที่พักที่สบายๆให้ครอบครัว เธอหารถยนต์ดีๆ ให้ครบทุกคนในครอบครัวเธออย่าท้อนะ เธออย่าเสียใจบ่อยๆ เธอต้องมีความสุข และกอดตัวเองไว้เยอะๆ นี่เพิ่งเดินทางมา 25 ปีเอง เส้นทางยังอีกไกลเลยฉันจะเป็นกำลังใจให้เธอ วันไหนเธอท้อ หรือเธอเสียใจ กลับมาอ่านโพสต์นี้นะ จำไว้ ฉันรักเธอ “เบส คำสิงห์” จาก เบส คำสิงห์" #เบสคำสิงห์ #ข่าวบันเทิง #สยามดารา
พิมมา PiXXie ยอมรับเคยโดนบูลลี่เปรียบเทียบ เคยน้ำหนักขึ้นจนต้องแค่กินแค่กล้วยกับมันนึ่ง
รายการ Prime Cast สัปดาห์นี้ พามาเปิดเส้นทางชีวิตไอดอลสาว พิมมา PiXXie หรือ พิมพ์มาดา ใจสักเสริญ กว่าจะมาเป็นไอดอล TPOP สุดฮอต จากที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาอยู่จุดนี้ สู่เส้นทางการเป็นดาว ยอมรับเคยน้ำหนักขึ้นจนต้องอดข้าว กินแค่กล้วยกับมันนึ่งก่อนเดบิวต์! พร้อมเผยเบื้องหลังดูแลตัวเองและการรับมือกับเรื่องโดนเปรียบเทียบ บูลลี่ บนโลกโซเชียล

ที่มาของชื่อ พิมมา ?
พิมมา : ชื่อจริงคือ พิมมาดา ตอนเกิดชื่อเล่นคือพิม แต่เพื่อนที่โรงเรียนเปลี่ยนให้เพราะซ้ำกับเพื่อน

มาเป็นพิมมา Pixxie ได้อย่างไร ?
พิมมา : เป็นคนเชียงใหม่ตั้งแต่เกิดจนถึง ม.ปลาย แล้วย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นไอดอล เพราะรู้สึกว่าไกลตัวมาก และเมื่อก่อนไม่ชอบร้องเพลงเลย ไม่ร้องเพลง แต่ชอบเต้นอย่างเดียว คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นครูสอนเต้นหรือแดนเซอร์มากกว่า

ประสบการณ์ด้านการร้องเพลง ?
พิมมา : ไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องการร้องเพลงขนาดนั้น แต่ตอนกำลังจะขึ้นปี 2 รุ่นพี่ที่เป็นน้องชายของพี่โดม (พี่บอนชอน) ชวนให้มาออดิชั่น เพราะพี่โดมกำลังจะเปิดค่ายก็เลยลองออดิชั่นไหม ก็เลยส่งคลิปไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนแรกกลัวนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ แต่สุดท้ายก็เป็น Trainee คนแรกในค่าย LIT คุยเล่นกับเพื่อนบ่อย ๆ ว่าถ้ามาบอกตอนนี้อาจจะไม่ติดแล้วเพราะตอนนั้นยังไม่มีตัวเปรียบเทียบ

มีอะไรอยากจะบอกน้อง ๆ ที่อยากเป็นไอดอล ?
พิมมา : สู้ ๆ ค่ะ ถ้าเราตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าปลายทางจะประสบความสำเร็จหรือไม่ พิมมาเชื่อว่าระหว่างทางเราได้อะไรแน่นอน อยากให้น้อง ๆ ที่อยากเป็นไอดอลหรือศิลปิน Enjoy กับ Process และ Enjoy กับระหว่างทาง กว่าจะไปถึงความฝัน เชื่อว่าจะได้เก็บเกี่ยวอะไรไปไม่มากก็น้อย แน่นอน

เริ่มดูแลสุขภาพเรื่องรูปร่างตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
พิมมา : เราเป็นคนเต้นอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพเท่าไหร่ เพราะชอบคาร์ดิโอ เป็นคนสมาธิสั้นนิดหน่อย ต้องหากิจกรรมทำตลอด แต่ถ้าเริ่มดูแลแบบจริงจังเลยก็น่าจะเป็นช่วงที่เป็นศิลปิน เพิ่งมารู้จักดูแลอาหาร ควรจะกินยังไง หรือคำนวณโปรตีนที่ควรได้รับต่อวัน

ทางค่ายต้องให้ทุกคนไปออกกำลังกายไหม ?
พิมมา : จริงๆ เขาอยากให้เราแข็งแรง ร่างกายพร้อมที่จะเพอร์ฟอร์มมากกว่า ไม่ได้บังคับว่าต้องเข้าฟิตเนส แต่ต้องดูแลตัวเองให้ร่างกายพร้อมที่จะร้องและเต้นบนเวที เต้นร้องบนเวทีเหนื่อย แรก ๆ คือไม่ไหวเลย ต้องพยายามเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงและรับไหวกับสิ่งที่กำลัง จะทำ

ทางค่ายมีกำหนดหุ่น หรือเสื้อผ้าที่ต้องฟิตให้เข้าชุดเดิมทุกปี เหมือนไอดอลค่ายอื่น ๆ ไหม ?
พิมมา : Pixxie ไม่มีเลยค่ะ ถ้าเป็นค่ายหลัก ๆ น่าจะวางไว้แค่เป็นคาแรคเตอร์ของเด็ก ๆ ในวงมากกว่า ไม่ได้กำหนด แค่ให้เรารักษาหุ่นให้เราชอบตัวเองและแข็งแรง เน้นเรื่องความแข็งแรงในการเพอร์ฟอร์มและใส่เสื้อผ้าได้สวยงาม เอาแบบที่เราพอใจกับตัวเอง

แล้วตอนนี้พอใจกับรูปร่างตัวเองไหม ?
พิมมา : ช่วงที่กลับมาจากทำงานที่ญี่ปุ่น รู้สึกว่าอ้วนขึ้นนิดหนึ่ง ตอนนี้กำลังกลับไปเข้าฟิตเนส

อาหารการกินก่อนเข้าฟิตเนสกับหลังเข้าฟิตเนสแตกต่างกันเยอะไหม ?
พิมมา : จริง ๆ มันควรจะต่างกันค่ะ แต่บางครั้งก็อดใจไม่ไหวที่จะกินขนม ก็มีช่วงที่ไม่สามารถบาลานซ์ได้ และตบะแตก น้ำหนักขึ้นเป็น 10 กิโลกรัม เหมือนช่วงเดบิวต์ใหม่ ๆ ที่ยังเด็กและไม่รู้เรื่องการกิน พากันไปกิน พอถึงวันที่จะต้องเดบิวต์น้ำหนักก็ขึ้นไปเกือบ 10 กิโลกรัม เครียดกันทั้ง 3 คน เพราะขึ้นพร้อมกันหมด น่าจะเป็นเพราะกินดึก และน่าจะกินมากเกินไปกว่าที่ควรจะเป็นในช่วงเวลานั้น ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดด้วย ไม่ค่อยมีงานให้ออกไปเต้นเท่าไหร่ มีซ้อมอยู่ แต่แคลอรี่ที่กินเข้าไปอาจจะยังไม่พอ หรือกินมากเกินไป ช่วงนั้นเครียดกันมาก พิมมาน้ำหนักขึ้นไปประมาณ 52-53 กิโลกรัม คุยกันว่าจะทำยังไงดี เพราะต้องไปถ่ายงานแล้วอ้วนมาก กลัวฟุตเทจจะอยู่บน YouTube ตลอดกาล

ลดน้ำหนักอย่างไรในตอนนั้น ?
พิมมา : ลดได้เท่าที่ลดได้ ตอนนั้นลงมาได้ประมาณ 48 กิโลกรัม ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีที่ Healthy เพราะมีเวลาจำกัดมาก ไม่ยอมกินข้าว กินแต่กล้วยทั้งวันลูกเดียวแล้วก็มันนึ่ง ร่างกายตอนนั้นก็ไม่ค่อยดีเลย เหนื่อยง่าย รู้สึกว่ามันไม่ใช่การผอมลงที่แข็งแรง มีความเครียดเข้ามา ไม่สดชื่น พักผ่อนไม่ดี

หลังจากนั้นคุณปรับวิธีการลดน้ำหนักยังไง ?
พิมมา : ต้องกินให้ถึง และออกกำลังกายให้ถึงเหมือนกัน จริง ๆ แล้ว ไม่ได้เป็นคนอ้วนขนาดนั้น แค่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่กินจุกจิก ไม่ห้ามปากตัวเอง พอรู้แล้วว่าเคยไปอยู่ในจุดที่น้ำหนักเกินสำหรับตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าอันดับแรกคือเตือนกันเวลาจะกินขนมให้มีลิมิต ไม่ได้ตัดไปเลยแต่ก็ไม่ได้ตามใจปากทั้งหมด เลือกเป็นขนมคลีน หรือเจอตรงกลางระหว่างที่อยากกินขนมกับการรักษาสุขภาพ

โดยเฉลี่ยแล้วซ้อมเต้นวันละกี่ชั่วโมง ?
พิมมา : Pixxie ไม่ได้ซ้อมเต้นเยอะขนาดนั้น จะมีตารางซ้อมแค่ช่วงที่จะปล่อยเพลงใหม่หรือทำโชว์ใหม่ เราออกอีเวนต์ค่อนข้างบ่อย อย่างต่ำอาทิตย์ละ 3-4 งาน ซึ่งเหมือนเป็นการได้ซ้อมไปในตัวเวลาไปเพอร์ฟอร์ม

เล่นเวทด้วยไหม ?
พิมมา : ก่อนหน้านี้เล่นพิลาทิสค่ะ แต่ช่วงนี้กลับมา เวทเทรนนิ่งด้วย ตอนนี้ก็เล่นทั้งคู่ ควบคู่ไปกับคาร์ดิโอ

การนอนช่วงนี้เป็นยังไง ?
พิมมา : นอนดีขึ้นเยอะ จริง ๆ เป็นคนนอนดึกค่ะ ประมาณตี 4 นอนไม่หลับเฉย ๆ เป็นคนที่รู้สึกว่าวันไหนที่เลิกงานค่ำ เช่น 23:00 น. จะยังนอนไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง จะต้องกลับไปไถมือถือ เล่นกับแมว หรือดูซีรีส์ เพราะกลางวันทำงาน เลยรู้สึกว่าเราจะนอนไปแบบยังไม่ได้ใช้ชีวิตตัวเอง ก็เลยนอนน้อย นอนบนรถตู้ หรือแอบนอนระหว่างวัน เป็นคนต้องการชั่วโมงนอนน้อยกว่าคนทั่วไป บางครั้งนอน 3 ชั่วโมงก็พอแล้ว รู้สึกนอนอิ่มแล้ว แต่ช่วงนี้พยายามนอนเยอะขึ้น และเริ่มนอนดีขึ้นประมาณ 6 ชั่วโมง รู้สึกว่ามันสดชื่นกว่า

ช่วงไหนที่งานเยอะ ๆ ต้องนอนน้อย ซ้อมเต้นเยอะ ๆ จัดการตรงนี้ยังไง ?
พิมมา : จัดการได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าเป็นช่วงที่ทัวร์หนัก ๆ หรือซ้อมคอนเสิร์ตหนัก ๆ ก็คือไม่ได้แบ่งชีวิตไปทำอย่างอื่นเลย โฟกัสแค่ตรงนั้น หมดงานก็นอน ตื่นมาก็ลุยงานต่อ อย่างตอน Pixxie ไปทัวร์เหนือประมาณอาทิตย์หนึ่ง 5-6 วัน ก็คือลุยอย่างเดียว แล้วค่อยกลับมานอนที่กรุงเทพฯ ทีเดียว

เคยโดนเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมวงบ้างไหม ?
พิมมา : มีบ้างค่ะ เอาจริง ๆ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโตแล้วและเข้าใจคนมากขึ้น เลยไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องเชิงลบ เพราะ Pixxie ทั้ง 3 คนสนิทกันมาก และคุยกันตลอด เวลาที่มีคนชมเพื่อน ถึงแม้จะเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็รู้สึก Appreciate ในส่วนที่เป็น Positive ที่ชมเพื่อน คืออยากให้เพื่อนได้ดี คุยกันบ่อย ๆ ว่าทั้ง 3 คนไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเท่ากันได้อยู่แล้ว ขนาดดูไอดอลเกาหลีหรือคนอื่นยังไม่สามารถชอบทั้งวงได้เท่ากันเลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมากที่เขาจะชอบหรือไม่ชอบเรา คุยกันว่าทิศทางของเราทั้ง 3 คนไม่เหมือนกัน เรามีตัวตนในแบบที่เราชอบดีกว่า สุดท้ายแล้วอยู่ที่คนดูจะเลือกชอบคนไหนหรือแบบไหน สำหรับพิมมาเป็นเรื่องธรรมชาติมากที่จะชอบมาเบลมากกว่า ชอบพิมมาน้อยหน่อย หรือชอบอิงโกะมากกว่า รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะไม่สามารถรู้สึกกับใครเท่ากันตลอดได้

กว่าจะมาถึงจุดที่เข้าใจและยอมรับตรงนี้ได้ นานไหม ?
พิมมา : นานค่ะ ช่วงเดบิวต์แรก ๆ Pixxie เป็นพร้อม ๆ กัน ด้วยความที่มันใหม่กับงานตรงนี้ อ่านทุกคอมเมนต์และรับมาหมดว่าคนไม่ชอบ ไม่ดี ซึ่งเป็นธรรมชาติของคนที่เราจะรับด้าน Negative มากกว่า Positive โชคดีที่ได้พี่ในค่ายคอยบอกและสอนว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างให้ถูกใจคนทั้งโลกได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์แค่เคารพความชอบของคนอื่นและเคารพซึ่งกันและกัน ก็พอ

ตอนนี้พอเห็นคอมเมนต์แย่ ๆ แล้วเลื่อนผ่านเลยไหม ?
พิมมา : จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เลื่อนผ่านได้ขนาดนั้น แต่จะเลือกอ่านและมองตามสิ่งที่มันเป็นแฟกต์ สมมุติว่าเขาพูดไม่ดีจริง แต่มีเจตนาที่ดีและอยากเตือนว่าเราบกพร่องอะไรบ้าง ก็จะอ่านและพยายามมองทะลุคำพูดไปถึงเจตนาของเขา ถ้าคอมเมนต์นั้นพูดแรงจริงแต่ติเพื่อก่อก็จะเก็บสิ่งนี้ไว้ แต่ถ้าอันไหนดูอยากจะด่าเฉย ๆ เป็นแค่สนามอารมณ์ก็จะไม่ สนใจ

วิธีคุยกับตัวเองยังไงในวันที่ Burnout จากการทำงาน ?
พิมมา : Burnout มีค่ะ Pixxie โชคดีที่สนิทกัน เวลาทำงานไม่รู้สึกเหมือนไปทำงาน เหมือนไปเล่นกัน เหมือนไปโรงเรียนแล้วมีเพื่อนอยู่ โชคดีที่เวลาทำงานเหนื่อยมาก ๆ ระหว่างวันยังหันไปเห็นอีก 2 คนที่เหนื่อยเหมือนกัน ทำให้ไม่รู้สึกไม่ไหวหรืออยากพอ เพราะ Enjoy กับเพื่อนแล้วเพื่อนก็เหนื่อยไปด้วยกัน ทำให้รู้สึกไม่เหงา

ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่ กลัวความแก่ไหม ?
พิมมา : ปีนี้เพิ่ง 24 ปีค่ะ ถ้าพูดเล่นกับเพื่อนว่าบ่นแก่ก็มี แต่จริง ๆ รู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นเด็กค่อนข้างสูงในตัว แต่ถ้าเรื่องร่างกายก็กลัวอยู่ เพราะกระดูกไม่ค่อยดี และเต้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ หัวเข่าเริ่มแล้วค่ะ น่าจะใช้งานหนักมาก ๆ จนมันเจ็บ พลิกง่าย เคล็ดง่าย หัวเข่าจะก๊อบแก๊บนิดหน่อย ก็คือกลัวแค่ว่าถ้าอายุมากขึ้น อาจจะต้องกินแคลเซียมช่วยด้วย

อะไรคือสิ่งที่พิมมารู้สึกอยากจะรักษาความเป็นเด็กในตอนนี้มากที่สุด ?
พิมมา : กลัวแก่ เพราะการเป็นผู้ใหญ่สำหรับพิมมาไม่สนุกขนาดนั้น อินกับความสนุก อินกับความเป็นเด็ก แค่กลัวว่าถ้าโตขึ้นไปแล้ว เราอาจจะตื่นเต้นกับโลกนี้น้อยลง รู้สึกว่ามัน Positive ในการใช้ชีวิต ในเวลานี้ถ้ารู้ตัวว่าวันไหนไม่ได้ทำอะไรเลย นอนอยู่ห้องเฉย ๆ นิ่ง ๆ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไร เลย

เป็น Introvert ไหม ?
พิมมา : Introvert ค่ะ เข้าหาคนอื่นไม่เก่งแต่ถ้ามีคนมาคุยด้วยจะกล้าคุย แต่ก็คิดว่าตัวเองเป็น Introvert ที่เก่งขึ้นแล้วตั้งแต่ทำงาน

เห็นตัวเองในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไรบ้าง ?
พิมมา : มีหลายอย่างที่อยากทำมาก ๆ เลยค่ะ Enjoy กับสิ่งที่ทำอยู่มาก ๆ แต่ถ้าในอีก 10 ปีข้างหน้า อาจจะเต้นไม่ไหวแล้ว ก็ยังอยากมีสิ่งที่อยากทำเยอะเลย อยากเรียนต่อ อยากทำธุรกิจของตัวเอง เป็นคนชอบแฟชั่นมาก รู้สึกอยากทำแบรนด์เสื้อผ้า หรือเป็นสไตลิสต์

ชอบอะไรมากกว่ากันระหว่างการเป็นศิลปินกับการแสดง ?
พิมมา : ชอบทั้ง 2 อย่าง แต่รู้สึกว่าที่ชอบการเป็นศิลปินเพราะมีเพื่อนอีก 2 คนด้วย ถ้าจินตนาการว่าตัวเองเป็นศิลปินเดี่ยว อาจจะชอบการแสดงมากกว่า (เท่าที่คิดตอนนี้)

ความฝันคือการเป็นสไตลิสต์ เคยลองทำเสื้อผ้าให้วงบ้างไหม ?
พิมมา : เคยทำ Pixxie ค่ะ เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยสไตลิสต์ก่อน อย่าง MV เพลงเดี่ยวโซโลของพิมมา ก็ทำเอง มี Pixxie บางงานที่ช่วยสไตลิสต์หาชุด และมี Fashion Session บางอันที่ทำให้ Pixxie เลย คือหาชุดให้เพื่อน ๆ ด้วย หาให้ตัวเองด้วย สไตล์หน้าผมลงทุกอย่าง มี Account Styling ของตัวเองชื่อ grw_lettie

ลุคผมสั้นตอนนี้ Styling ให้ตัวเองใช่ไหม ?
พิมมา : ใช่ค่ะ คือก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นคนผมยาวอยู่แล้ว แต่ต่อผมมา 2 ปี แล้วผมไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับผม ถ้าถอดผมต่ออย่างเดียวจะดูบางมาก ก็เลยตัดสั้นไปเลย ลองเปลี่ยนลุคดู

ดูแลความสวยความงามตัวเองยังไง ?
พิมมา : ก่อนหน้านี้แพ้เครื่องสำอางง่ายมาก ๆ แพ้เหงื่อ แพ้อากาศ แพ้อะไรแบบสิวขึ้นง่ายมาก เป็นผิวแพ้ง่าย ก็ประโคมสกินแคร์ ไปหาหมอ สุดท้ายแล้วช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผิวดีขึ้นเพราะดื่มน้ำเยอะขึ้น และลดสกินแคร์ลง เอาแค่ตัวที่จำเป็นต่อผิวก็พอ การดูแลหุ่นก็เข้ายิม ดูเรื่องอาหารด้วย มี Cheat Day บ้าง กินเป็นมื้อค่ะ พยายามจะไม่กินจุกจิก กินวันละ 3 มื้อปกติ ถ้าบางวันตื่นสายก็เหลือแค่ 2 มื้อ สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น. คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=P29-KQNdXPM&t=21s&ab_channel=Alivedot
ประกาศขึ้นคาน! เอ๊ะ ชีวิตนี้ไม่เคยมีผู้ชาย ผันตัวสู่อาชีพครู สอนนักศึกษารุ่นลูกเจนz
อีกหนึ่งเพชรน้ำงามประดับวงการบันเทิง ที่เป็นคนบันเทิงคุณภาพตัวจริงเสียงจริง "เอ๊ะ อิศริยา" นางเอกเจ้าน้ำตาในตำนาน ควบดีกรีผู้จัดละครน้ำเน่าชื่อดัง ล่าสุดเบรคงานเบื้องหลังช่วงวงการละครขาลง เดินหน้าเข้าสู่วงการศึกษา ผันตัวไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้กับทั้งนักศึกษาปริญญาตรี และปริญญาโท งานนี้สละเวลาคิวทองมาเปิดใจผ่านรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องworkpoint หมายเลข23 กับพิธีกรฝีมือเก๋า "หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าถึงบทบาทชีวิตครั้งใหม่ และเรื่องหัวใจเปลือยแบบหมดเปลือกที่นี่

ตอนนี้เห็นว่าทุ่มเทให้กับบทบาทใหม่เป็นอาจารย์แล้ว?
"มีสอนนักศึกษาค่ะ ตอนนี้อยู่ในช่วงขอ ผศ. (ผู้ช่วยศาสตราจารย์)มันเป็นกฎนะคะ ตอนนี้กำลังเดินเส้นทางนี้อยู่ มันก็รู้สึกว่าหนักเพราะว่าไม่ได้ทำวิจัยมานาน มันห่างจากการเขียนการพิมพ์มานานมาก เอ๊ะเป็นคนเห็นอะไรแล้วก็สงสัยไปเรื่อย การที่จะสกัดอะไรมาเป็นบทสรุปมันเป็นปัญหาร้อยแปด คิดว่าจะสรุปทำเรื่องเนี้ยมันยาก แต่กำลังทำอยู่"

แล้วกับงานการสอนกับงานเป็นผู้จัดฯแบ่งเวลากันยังไง?
"โชคดีมากๆเลยสิ่งที่เอ๊ะสอน กับสิ่งที่เอ๊ะทำงานในวงการ มันคือการเสริมกันค่ะ เราสอนเรื่องสื่อเราก็ทำเรื่องสื่อ ก็เหมือนกับว่าเราเอาประสบการณ์ไปสอนนักศึกษา แล้วก็เอาทฤษฎีในเรื่องของการที่เราเรียนมาช่วยเหลือในงานเรา ทุกอย่างมันวินๆด้วยกันทั้งคู่"

นักศึกษาที่เราสอน เค้ารู้มั้ยว่าอาจารย์ของเค้าเป็นดารา นางเอกดังมากในอดีต?
"ถ้าเป็นนักศึกษาป.ตรี ต้องยอมรับเลยว่าเค้าไม่น่าจะรู้จัก แต่เค้าก็อาจจะมีคุ้นๆนามสกุล หรือว่าคุ้นหน้า แต่ไม่น่าจะเคยดูผลงานเรา บ้างคนเป็นลูกเอ๊ะได้เลยนะคะ เพราะว่านักศึกษาปีหนึ่ง ปีสอง เป็นอะไรที่เด็กมาก ก็สามารถเป็นลูกเอ๊ะได้ ถ้าเอ๊ะมีลูกเร็ว แต่ถ้าเป็นนักศึกษาปริญญาโทส่วนใหญ่เค้าจะรู้จักค่ะ นักศึกษาป.โทน่าจะทันเรา แต่เด็กป.ตรีไม่น่าจะรู้จัก เค้าอาจจะคุ้นๆ แต่เชื่อว่าคุณแม่เค้าน่าจะรู้จัก อย่างตอนที่เรียนอยู่ก็มีนักศึกษามาบอกว่าอาจารย์หนูเห็นอาจารย์ในติ๊กต๊อก เพราะว่าติ๊กต๊อกบางทีมันมีฟีดงานละครเก่าๆของเรา พอเข้าเห็นแล้วเค้าก็ไปเสิร์จกัน เค้าก็บอกว่าอาจารย์เป็นดารา แล้วสักพักก็จะมาหาเรามาบอกว่าขอถ่ายคลิปให้คุณแม่หน่อย เค้าบอกว่าคุณแม่คิดถึงอาจารย์ถ่ายคลิปไปให้แม่หน่อย จะเป็นรุ่นแม่ส่วนใหญ่ที่ทันเรา" รู้สึกยังไงบ้างที่รุ่นใหม่ๆไม่ทันเรา แต่เป็นรุ่นเก่าแทน? "ตอนแรกรู้สึกว่าทำไมเราแก่จัง พอนึกขึ้นมาได้ก็มันคือเรื่องจริงเค้าก็เป็นลูกเราได้เลย (หัวเราะ)"

ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีข่าวเสียหายเรื่องความรักเลยมีมุมมองความรักยังไง?
"คือจริงๆไม่เคยมองว่าความรักเป็นเรื่องเสียหายเลยค่ะ" แล้วเคยมีแฟนหรือมีความรักบ้างมั้ย? "ไม่เคยมีค่ะ (หัวเราะลั่น) จะบอกว่ายังไงดี เห็นคนที่เค้ามีความรักเอ๊ะไม่เคยแอนตี้เลย ชอบเห็นคนรักกันนะคะ แต่นึกไม่ออกเหมือนกันเลยว่าถ้าเรามีแฟนแล้วมันจะเป็น ยังไง"

เหตุผลที่ไม่มีแฟนเพราะ อะไร เพราะเราติดแม่หรือว่ายังไง?
"ตอนเด็กๆความจริงคุณแม่ก็ไม่อนุญาตเพราะว่าเค้ารู้ว่าเรามีภาระมีอะไร ทำงานด้วยเรียนด้วย เค้าก็ไม่เชิงปิดกั้นค่ะ แต่ว่าถ้ามีก็ให้ไปคุย แต่เราก็ไม่อยากมีด้วยเพราะเอ๊ะเองรู้ตัวตั้งแต่เด็ก เอ๊ะแฮปปี้กับชีวิตแบบนี้ เอ๊ะก็เคยถามแม่ว่าถ้าลูกไม่มีแฟนแม่โอเคมั้ย คุณแม่บอกว่าคุณแม่โอเคเลย ก็ใช้ชีวิตไป อยากมีไม่อยากมีก็เรื่องของเรา"

คุยเรื่องนี้กับคุณแม่มานานหรือยัง?
"คุยกันตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เพราะว่าเอ๊ะจะมีคำถามเพราะว่าเอ๊ะเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 15 คำถามที่มักจะถูกถามตลอดคือว่ามีแฟนหรือยังเมื่อไรจะมีแฟน แล้วเราก็มาคิดว่าเราจำเป็นต้องมีแฟนหรอ เพื่อให้คนอื่นเค้ายอมรับ หากใจเรามันทุกข์เนาะ เราก็เลยตั้งคำถามกับคนที่เราแคร์อย่างคุณแม่ว่า ถ้าเราไม่มีแฟนจะยังไง แม่ก็บอกว่าตามสบายอะไรที่มีความสุขก็ทำ เรารู้สึกว่าสมัยก่อนเมื่อ 20 ปีที่แล้วจะมีคนยื่นไมค์มาถามเรา ไม่กลัวขึ้นคานหรอ" แล้วหนูตอบคำถามเหล่านี้ไปว่ายังไง? "สำหรับเรื่องขึ้นคาน เอ๊ะก็รู้อยู่แล้วว่าขึ้น มันไม่ใช่คำลบค่ะ คือสำหรับเอ๊ะไม่คิดอะไร แต่คนอื่นอาจจะคิดว่ามันเป็นคำลบ"

แล้วที่ผ่านมาไม่มีคนเข้ามาจีบเลยหรอ?
"ผู้หญิงทุกคนมันต้องมีอยู่แล้ว ที่จะมีคนเข้ามาจีบมันเป็นเรื่องปกติ ถ้าคนที่เอ๊ะชอบเข้ามาจีบเอ๊ะ เอ๊ะรู้สึกขนลุกค่ะ ก็รู้ค่ะว่าเค้าเข้ามาจีบตรงๆ เอ๊ะเป็นคนชัดเจนคนที่เข้ามาก็ต้องชัดเจน แต่เอ๊ะก็นึกภาพตัวเองไม่ออกเวลาจะต้องไปเดทกับใคร มันไม่ใช่เราค่ะ เราก็พูดตรงๆแล้วเค้าก็ไปค่ะ ก็เพราะว่าเค้าก็มีตัวเลือกเยอะ"
ตอบดราม่า! หนิง ปัทมา สละมงฯ เปลืองพื้นที่นางงาม สวยเวอร์..ชายอายุ70 ถือไม้เท้าบุกจีบถึงหน้าบ้าน
นักร้องลูกทุ่งสาวแซ่บมาแรง "หนิง ปัทมา" ดีกรีความสวยไม่ธรรมดา เพราะเพิ่งมงลงหัว ตามรอยนักร้องคนดัง "อาม ชุติมา" และ "แบม ไพลิน" เข้าสู่วงการนางงาม แต่ได้ตำแหน่ง Miss universe Thailand ชลบุรี2025 ได้ไม่กี่วัน ก็สละมงกุฎสายฟ้าแล่บ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หนาหูว่าเปลืองพื้นที่คนมีฝันคนอื่นๆ ล่าสุดเดินทางมาเปิดใจครั้งแรก กลางรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องworkpoint หมายเลข23 กับพิธีกรคนเก่ง "หนูแหม่ม สุริวิภา" ตอบทุกประเด็นร้อนเหตุคืนมงกุฎสายสะพาย ไม่ขึ้นเวใหญ่ระดับประเทศ? พร้อมเม้าท์เรื่องเด็ดความสวยเป็นเหตุ ถูกหนุ่มโรคจิตอินบ๊อกซ์ส่งภาพสยิวแชทแตก!

ถามถึงคำถามคาใจเพราะเหตุใดทำไมถึงขึ้นมงกุฎ?
"ความจริงหนูก็อยากมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ได้มั่นใจว่าการมาครั้งนี้ปัทมาจะต้องมาคว้ามงนะ หรือว่ามาเอาชนะเพื่อน หนูมาครั้งนี้เพื่อมาหาประสบการณ์มาเพื่อพี่ๆเพื่อนๆ ที่เค้าเชียร์มาว่าให้ไปลองลงดูซักเวทีนึง หนูก็มาทำให้เพื่อเป็นคนที่เชียร์ทำให้ดูแล้วนะ ที่งี้พอมงมันลงปุ๊บก็เลยกลับมาคุยกับที่บ้าน เรื่องงานว่าเราจะทำกันยังไงดี ความจริงมันก็ผิดที่หนูนะคะ ที่ไม่มีทางเลือก หนิงก็เลยเลือกทางออกที่หนิงต้องดูแลหลายๆคนที่ต้องแบกรับอยู่ นักดนตรีเองก็อยู่กับหนิง ถ้าหนิงไม่สามารถรับงานได้เค้าก็จะมีปัญหา ถ้าหนูต้อง ไปต่อ"

ตัดสินใจยากไหมในการคืนตำแหน่งที่ได้มา?
"หนูเสียดายโอกาส ที่หนูได้มงมาแล้ว แต่หนูไม่สามารถทิ้งอาชีพนักร้องที่หนูรักได้เหมือนกัน แต่ถ้าต้องเลือกในสิ่งที่หนูรัก หนูเลือกดีที่สุดแล้วค่ะ ให้คนที่เค้าพร้อมเดินหน้าต่อ เราถอยออกมาก่อน"

คนวิจารณ์เยอะมากว่าถ้าไม่พร้อมมาทำไม ไปแย่งโอกาสของคนอื่น?
"ถ้าเป็นหนูตอบ หนูต้องยอมรับตรงๆว่าหนูหาคำพูดสวยหรูไม่ได้ หนูจะพูดตรงๆเลยว่าหนูไม่ได้ตั้งใจ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนที่หนูมา หนูุจะชนะหรือเปล่า แต่ถ้าต้องให้คำตอบ ก็ผิดที่หนูเองค่ะ ที่หนูไม่ได้วางแผนวางระบบตัวเองมาให้ดี หนูตั้งใจมาเพื่อหาประสบการณ์ให้ตัวเองเฉยๆ ไม่ได้มาคาดหวังว่าหนูต้องมาคว้ามง ถ้าหนูรู้ว่าหนูจะคว้ามงหนูจะเคลียร์งานทุกอย่างทั้งหมด และทิ้งคนข้างหลัง ไปได้เลย"

สรุปว่ามาหาประสบการณ์ไม่ได้คิดว่าจะมง?
"ใช่ค่ะ เพราะว่ามันเป็นเวทีแรกของหนู หนูไม่เคยประกวดนางงามมาก่อน เลยในชีวิต"

แล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ เข้าสู่วงการนางงามได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้?
"ได้เรียนรู้การเป็นนางงามอีกบริบทหนึ่ง รู้ว่าเราจะต้องวางตัวแบบไหน ด้วยบุคลิกของเราเองจริงๆแล้วหนิงเป็นคนที่ค่อนข้างจะเป็นม้าดีดกะโหลก แต่การเป็นนางงามมันต้องเรียบร้อยนิดนึง มันก็มีเผลอแบบหัวเราะดังไปบ้าง ก็ได้ปรับบุคลิกภาพตัวเองได้เรียนรู้ว่าการเป็นนางงามต้องวางตัวยังไง หนิงก็มานั่งคิดว่าหรือว่าจริงๆแล้วเราอาจจะไม่หมดตรงนี้จริงๆก็ได้"

เห็นว่าโดนโรคจิตหนุ่มๆส่งภาพลับให้เยอะมาก?
"เยอะมากเลยค่ะ จะเอากี่ขนาดว่ามา(หัวเราะ) ไม่ได้แบบปกติก็มี แบบเป็นตุ่มๆก็มี เป็นตรงกลางแบบไส้กรอกก็มี (หัวเราะ) ตอนแรกก็ตกใจว่าอะไรเนี้ย หลังๆก็เลื่อนดูมาเลยๆ เอาๆ (หัวเราะ) ชินค่ะ เวคคัมค่ะ (หัวเราะ)"

ถึงขั้นว่ามีหนุ่มบุกมาถึงบ้านด้วย?
"ใช่ค่ะ อันนี้หนูเรียกเค้าว่าพี่ แต่ว่าเค้าก็อายุ 70 กว่าแล้ว เอ็นดูนาง นางแบบว่าคลั่งไคล้หนูมาก นางนั่งรถไฟมา และต่อรถสองแถวมาที่บ้านหนู และนางก็เดินตรงเข้ามาบ้านหนู บุกถึงบ้าน เดินไปเดินมาแถวบ้านหนู ถือไม้เท้ามาด้วยนะคะ ตอนแรกหนูก็นึกว่าเค้าเป็นลูกค้าของที่บ้านหรือเปล่า เพราะว่าบ้านหนูเปิดโรงงาน แต่เค้าบอกว่าเค้ามาหาหนิง มาตามหารักแท้ เค้ามาเจอหนู หนูได้เจอเค้าแต่ว่าหนูต้องไปทำงาน หนูก็เลยบอกว่าขอไปส่งพี่ก่อน ต้องให้ค่ารถกลับไปอีกสงสารเค้า เอ็นดูนาง แล้วคุณพี่เค้าก็อินบ๊อกซ์มาหลังไมค์ วางแผนชีวิตให้เลย เค้าบอกว่าพี่อยากมีลูกกับหนิง อยากจะมีลูกสองคนเพราะตัวเค้าเองเคยเป็นข้าราชการ มีผู้ชายจะให้เป็นตำรวจ มีผู้หญิงจะให้เป็นนักร้องเหมือนหนู (แต่ไม่ใช่ในหมู่มวลที่ส่งคลิปมา) คนนี้ไม่ส่งค่ะ อ่อนโยน แต่ว่าดูสงสารเค้าที่เค้าถือไม้เท้ามาถึงหน้าบ้านเลย หนูบาปมากเลยค่ะ"
“แจ็ค ไททัส” อวดหุ่นล่ำ แซ่บสมมง Mister Model International 2025
หนุ่มไทยหล่อไม่แพ้ชาติใดในโลก “แจ็ค ไททัส” อวดหุ่นแซ่บ หล่อล่ำ น่าขย้ำ สมมง Mister Model International 2025 สร้างประวัติศาสตร์ให้กับไทยเลยทีเดียวสำหรับ “แจ็ค ไททัส” นายแบบสายเลือดไทยที่เติบโตในสหรัฐฯ ที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวด Mister Model International 2025 ที่ประเทศโคลอมเบีย ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดของหนุ่มๆ ลาตินกว่า 30 ชาติ

นอกจากนั้นแล้ว แจ็ค ไททัส ยังได้รับรางวัล Best in Social Media จากคะแนนโหวตออนไลน์ มียอดวิวและการรีโพสต์ถล่มทลายตลอดการเก็บตัว แฮชแท็ก #JackTitus พุ่งติดเทรนด์หลายประเทศ ทั้งไทย โคลอมเบีย เม็กซิโก สหรัฐฯ เรียกว่า แจ็ค ไททัส หนุ่มไทยหล่อไม่แพ้ชาติใดในโลก แถมยังแซ่บอีกต่างหาก ดูจากรูปชุดว่ายน้ำในวันเก็บตัวพูดเลยหล่อ ล่ำ น่าขย้ำสุดๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมฮอตติดเทรนด์ระดับโลก

จากอดีตผู้ช่วยแพทย์ในลาสเวกัส สู่รันเวย์ LA Fashion Week และ New York Fashion Week จนวันนี้ผงาดเป็น “มิสเตอร์โมเดลเบอร์หนึ่งของโลก” แจ็คเอ่ยหลังรับ มงว่า

“มงนี้คือชัยชนะของคนไทยทุกคน อยากให้ทุกคนเชื่อว่าความฝันใหญ่แค่ไหนก็ไม่เกินมือถ้าไม่ยอมแพ้”
ซึ่งเร็วๆ นี้ แจ็ค ไททัส จะเดินทางกลับมาที่ไทย เพื่อฉลองตำแหน่งรางวัลชนะเลิศ Mister Model International 2025 ใครที่เป็นแฟนนางงามเตรียมรวมพลต้อนรับ และหลังจากนั้นเจ้าตัวก็มีคิวออกรายการและงานแฟชั่นโชว์ในกรุงเทพฯ ก่อนบินไปทำงานที่ยุโรป ติดตามเบื้องหลังชีวิต “Mister Model International 2025” และกองทัพภาพชุดว่ายน้ำแบบไม่เซ็นเซอร์ได้ที่ Instagram @jacktituss

สำหรับ แจ็ค ไททัส นั้นดีกรีไม่ธรรมดา เป็นนายแบบ ไทย-อเมริกัน นักร้อง นักเดินทาง และนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมที่มีบทบาทโดดเด่นในระดับนานาชาติ และแฟชั่น สำเร็จการศึกษาด้านผู้ช่วยแพทย์จากมหาวิทยาลัยเนวาดา ลาสเวกัส (University of Nevada, Las Vegas) ในปี 2021 แจ็ค ไททัส ได้รับตำแหน่ง Mr. Gay World Nevada และเป็นตัวแทนรัฐเนวาดาในการประกวด Mr. Gay World USA โดยเขาเป็นคนเอเชียเพียงคนเดียวที่เข้าร่วมแข่งขันในปีนั้น ยังมีประสบการณ์เดินแบบในงานแฟชั่นระดับโลก เช่น New York Fashion Week และ LA Fashion Week รวมถึงงานแฟชั่นโชว์ในประเทศไทยและเอเชียตะวัน

นอกจากนั้นแล้วแจ็คยังทำงานด้านสังคมมาโดยตลอด โดยเป็นอาสาสมัครที่ศูนย์ The Center ในลาสเวกัส ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนชุมชน LGBTQ+ เขายังมีส่วนร่วมกับ YMCA ในหลายเมือง เช่น ลอสแอนเจลิส ซานดิเอโก และบาร์รังกียา ประเทศโคลอมเบีย โดยจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและศักยภาพให้กับเยาวชน
“ฟิล์ม รัฐภูมิ”ไกล่เกลี่ย “ดีเจแมน” สำเร็จลงตัว ถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาท ย้ำความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ด้านดีเจแมนเผยจบเฉพาะคดีนี้ส่วนคดีที่กองปราบว่ากันตามกระบวนการ หลังจากนี้จะโฟกัสการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลังจาก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม นักร้อง นักแสดงชื่อดัง เป็นโจทก์ ฟ้อง นายพัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา หรือ ดีเจแมน เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ในกรณีกล่าวหาว่า นายรัฐภูมิ เรียกเงิน 14 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือคดี Forex-3D เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา และศาลเลื่อนการไต่สวนเนื่องจากทนายความของทั้งสองฝ่ายต้องการให้พูดคุยกันก่อน

ในวันนี้ ศาลได้นัดทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยในเวลา 09.00 น. โดยทั้งนายรัฐภูมิ และนายพัฒนพลมาพร้อมกับทนายความส่วนตัวของทั้งคู่ โดยต่อมาทั้งสองฝ่ายสามารถไกล่เกลี่ยกันได้สำเร็จโดยใช้เวลาไกล่เกลี่ยกันประมาณ 3 ชั่วโมง โดยนายรัฐภูมิกล่าวว่า 2 ฝ่ายไกล่เกลี่ยกันได้และเป็นไปได้ด้วยดี ให้อภัยซึ่งกันและกัน โดยในวันนี้ตนยอมถอนฟ้อง

เมื่อถามว่าที่ไกล่เกลี่ยกันได้นั้นหมายความว่าสิ่งที่นายพัฒนพลพูดไปไม่เป็นความจริงหรือไม่ นายรัฐภูมิ ระบุว่า อยากให้ไปถามเจ้าตัวดีกว่า ตนได้ตั้งธงมาแล้วว่า หากคุยกันได้ก็พร้อมให้อภัยกันทุกเรื่อง เพราะที่ฟ้องเขาไม่ได้มีเจตนาอะไร เพียงแค่อยากยืนยันความบริสุทธิ์ใจ และไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด ไม่เคยไปตบทรัพย์และทำสิ่งไม่ดี โดยวันนี้ได้อธิบายให้เขาฟัง พอเขาได้ฟังเขาก็ยินดีและก็ให้อภัยกันทุก เรื่อง

เมื่อถามว่านายพัฒนพลได้ขอโทษหรือไม่ นายรัฐภูมิ ตนขอไม่ตอบในส่วนนี้แต่เรียกว่าให้อภัยกันดีกว่า และสำหรับครอบครัวนี้ก็ ผูกพันกันมานาน มีแค่ตนที่คอยชั่วเหลือ พูดมาตั้งแต่วันแรกไม่มีเลยที่จะไปทำร้ายครอบครัวนี้ มันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าไปทำร้ายเขาได้ยังไง แต่พอปรับความเข้าใจกันแล้วทุกอย่างก็แฮปปี้"

นายรัฐภูมิ ย้ำว่า ตั้งแต่วันแรกที่ตนมาตนได้บอกทุกคนว่าไม่เคยคิดที่จะ ทำร้ายใครเลยและเราโดนกระทำขนาดนี้ แต่ตนไม่คิดอะไรและพร้อมให้อภัยกับทุกอย่าง

เมื่อถามว่าก่อนหน้านายรัฐภูมิ ยังยืนยันให้ดีเจแมนขอโทษ ยังต้องการคำขอโทษอยู่หรือไม่นายรัฐภูมิ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เรื่องมันจบไปแล้ว เมื่อถามต่อว่านายรัฐภูมิ ยังสามารถเป็นเพื่อนกับนายพัฒนพลได้หรือไม่นายรัฐภูมิ ระบุว่า "ก็โอเค เมื่อกี้กอดกัน และตนก็ผูกพันกับครอบครัวนี้อยู่แล้ว"

เมื่อถามว่าก่อนหน้านายพัฒนพลมั่นใจ เรามีไม้เด็ดอะไรหรือไม่นายรัฐภูมิ กล่าวว่า "ความจริง" และใช้การพูดคุยในการปรับความเข้าใจเรื่องทุกอย่างก็จบ ส่วนขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ก็จะถอนฟ้อง ซึ่งน่าจะทำให้น.ส.สุธีวันสบายใจ ส่วนคดีที่นายพัฒนพลแจ้งความไว้ที่สน.นั้นก็ไม่มีอะไร ก็แล้วแต่ดีเจแมนว่าจะถอนแจ้งความหรือไม่ ขอให้รอฟังจากปากดีเจแมนแล้วกัน

เมื่อถามว่าในการไกล่เกลี่ยได้มีข้อตกลงเพิ่มเติมอะไรหรือไม่นายรัฐภูมิ กล่าวว่า มันไม่ได้มีอะไรขนาดนั้น ก็พูดคุยกันไป เมื่อทุกอย่างลงตัว เขาคงไม่รู้จะพูดอะไร และไม่รู้จะพูดถึงกันอีกทำไมเพราะทุกอย่างมันแฮปปี้แล้ว

นายรัฐภูมิ กล่าวด้วยว่า สำหรับทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวตน เขาก็เชื่อมันในทุกข่าว ทุกคดีที่เกิดขึ้นมาส่วนเรื่องที่ใครจะเข้าใจผิดตนก็ไม่ได้ไปสนใจ หรือยืนยันอะไรอีก เพราะสำหรับตนนั้นภาพในวันนี้มันชัด ทุกอย่างเงียบหมดมันเลยน่าจะเป็นการตอกย้ำอะไรบางอย่าง และตนอยากบอกทุกคนว่าขอบคุณมาที่เชื่อมั่น "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" มันเลยทำให้ตนผ่านมาได้ทุกเรื่อง และใครที่พูดไม่ดีกับเรา ถ้าเราเชื่อในตนเอง มันก็จะทำให้เราผ่านไปได้ และตนก็ไม่ทราบว่าสำหรับคนที่เข้าใจผิดไปแล้ว จะมองเราเปลี่ยนไปหรือไม่แต่ก็อยากให้เห็นใจว่า "มองดีดี เราคือผู้ที่ถูกกระทำ"

ขณะที่นายพัฒนพล ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่ไกล่เกลี่ยกันได้ว่า วันนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถยอมความกันได้ ทำให้คดีที่นายรัฐภูมิกล่าวหาว่าตนหมิ่นประมาทสิ้นสุดลง แต่เฉพาะคดีนี้ ส่วนอีกคดีที่ตนแจ้งความนายรัฐภูมิที่กองปราบปรามคดียังคงอยู่เหมือนเดิม และกำลังรอพนักงานสอบสวนเรียกไปให้ปากคำอีกครั้ง

ด้านนายอมร ทนายความส่วนตัวของนายพัฒนพล กล่าวว่า วันนี้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันทุกเรื่องและสามารถปรับความเข้าใจกันได้ ต่างฝ่ายได้ขอโทษซึ่งกันและกัน ส่วนอีกคดีนั้นก็ว่ากันไปตามขั้นตอนทางคดีต่อไป แต่ตนขอไม่ลงรายละเอียดว่าทั้งคู่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้อย่างไร เพราะว่าเป็นขั้นตอนของกระบวนการไกล่เกลี่ย แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทั้งคู่สามารถปรับความเข้าใจจนได้ข้อยุติในคดีนี้แล้ว โดยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย

นายพัฒนพล กล่าวอีกว่า วันนี้ตนมาในประเด็นการไกล่เกลี่ยคดีนี้เท่านั้น ซึ่งวันนี้สามารถจบเรื่องนี้ได้ ส่วนที่ตนเองเคยพูดไว้ก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ส่วนความสัมพันธ์ของตนกับนายรัฐภูมิถือว่าห่างกันประมาณหนึ่งเพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ การที่ทั้งตนและนายรัฐภูมิต่างคนต่างอยู่ถือว่าเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย คดีไหนที่จบได้ตนก็อยากจะให้จบไปเพราะตนมีประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการขึ้นศาลมาแล้ว หลังจากนี้ตนจะโฟกัสเกี่ยวกับการเลี้ยงดูครอบครัวและเป็นพ่อที่ดีของลูกตนเองต่อไป ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างการก่อร่างสร้างตัวให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้นภายหลังจากที่ตนออกมาจากเรือนจำ และจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
พลอย เฌอมาลย์ เปิดภาพสวมกอด “สามเณรี ธัมมกัลยาณี” เผยซึ้ง! ดีใจและภูมิใจกับเพื่อนรักมาก ๆ
เข้าพิธีบวชสามเณรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับนางเอกสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ที่ล่าสุด (1 กรกฎาคม 2568) ได้เข้าพิธีปลงผมบวชสามเณรี ในโครงการบรรพชาสามเณรี รุ่นที่ 3 บริเวณปะรำพิธี ณ ศรีวรญาลัย จ.สระบุรี ได้ฉายาทางธรรมในนามว่า ธัมมกัลยาณี มีความหมายถึงผู้หญิงที่มีความงามทางธรรม โดยมีคนในครอบครัว คนสนิทในวงการบันเทิงมาร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

รวมไปถึงเพื่อนรักอย่างนักแสดงสาว “พลอย เฌอมาลย์ ” ที่มาร่วมงานด้วย โดยภายหลังได้เปิดภาพขณะร่วมพิธีพร้อมแคปชั่นเผยไว้ว่า "ดีใจและภูมิใจกับเจนี่เพื่อนรักมาก ๆ ที่ได้ตัดสินใจเดินบนเส้นทางธรรม ขอให้การบวชครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในใจ และพบแต่แสงสว่างของธรรมะ"

#พลอยเฌอมาลย์ #สยามดารา #ข่าวบันเทิง
ดีเจแมน -ฟิล์ม รัฐภูมิ” ไกล่เกลี่ยปมหมิ่นฯเรียกเงิน 14 ล้าน ช่วยเหลือคดีแชร์ Forex – 3D ดีเจดัง ลั่นมีธงอยู่ในใจ ขอลองพูดคุย ยัน สิ่งที่พูดไปทุกอย่างคือเรื่องจริง ด้านฟิล์ม เผยไม่มีอคติ-พร้อมให้อภัย หากเจ้าตัวยอมรับผิด
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลังจาก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม นักร้อง นักแสดงชื่อดัง เป็นโจทก์ ฟ้อง นายพัฒนพล กุญชร หรือ ดีเจแมน เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ในกรณีกล่าวหาว่า นายรัฐภูมิ เรียกเงิน 14 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือคดี Forex-3D เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา และศาลเลื่อนการไต่สวนเนื่องจากทนายความของทั้งสองฝ่ายต้องการให้พูดคุยกัน ก่อน

ในวันนี้ ศาลได้นัดทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย เวลา 09.00 น. โดยก่อนขึ้นศาล นายพัฒนพล กุญชร หรือ ดีเจแมน พร้อมทนายความ นายอมร กุศล หรือ ทนายจิ้ง เดินทางมาถึงก่อน โดยทันทีที่ เดินทางมาถึงดีเจแมนได้ยกมือไหว้บริเวณหน้าศาลอาญาก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เรื่องการไกล่เกลี่ยวันนี้ตนมีธงอยู่ในใจ ลองคุยดูว่าจะเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ได้มีการติดต่อส่วนตัวกันหรือไม่ นายพัฒนพลกล่าวว่าไม่มี ไม่เคยติดต่อกันเมื่อถามต่อว่าทนายบอกว่าอยากให้มีการไกล่เกลี่ยกันก่อน ส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งนายพัฒนพลระบุว่า ทนายตนไม่เคยบอกให้มีการไกล่เกลี่ย แต่อยากจะให้คุยและฟังดูว่าเขาจะพูดอย่างไร มีความคิดเห็นแบบใด ส่วนแนวโน้มวันนี้จะออกมาในทิศทางไหนนั้น ตนมีในใจ อยู่ในใจอยู่แล้ว เพราะถ้าได้ยินที่เขาออกสื่อเสนอมาสิ่งนั้นเราทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่า สิ่งที่เราพูดไปทุกอย่างมันคือเรื่องจริง แต่รอดูว่าเขาจะพูดอย่างไร ซึ่งวันนี้ตนมั่นใจ

เมื่อถามว่าเงื่อนไข เงื่อนไขฝั่งคู่กรณีที่นายพัฒนพลยังยอมรับไม่ได้คืออะไร ทางทนายระบุว่า ตอนนี้เป็นระหว่างการพิจารณาคดีกันอยู่ ข้อเท็จจริงต่างๆเรายังไม่อยากพูด อยากให้รอ กระบวนการไกล่เกลี่ยเสร็จสิ้น แล้วค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง ซึ่งในส่วนรายละเอียดของข้อเท็จจริง ขออนุญาตยังไม่เปิดเผยเนื่องจากอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี กันอยู่

เมื่อถามว่าจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหนในการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ ทางทนายระบุว่าสุดแท้แต่ทางคู่กรณีว่าจะมีเงื่อนไขอย่างไร และจะรับได้หรือไม่ ถ้าไม่ซึ่งถ้าไม่รับมีทางออกอยู่สองทาง คือ รับได้ กับ รับไม่ได้ แต่ถ้ารับก็โอเคไม่มีปัญหา แต่ถ้ารับไม่ได้ก็ปกติ จะมีการนัดสืบพยานกันต่อไป ส่วนตัว ในฐานะทนายความผู้รับผิดชอบคดีนี้ไม่มีความกังวลใดใด ทั้งสิ้น

เมื่อถามย้ำว่าวันนี้จะเป็นการเจอกันครั้งแรกระหว่างตั้งแต่มีคดีความกันใช่หรือไม่ นายพัฒนพลระบุว่า เป็นการเจอกันครั้งแรกส่วนการเจอหน้าในครั้งนี้ตนก็ไม่มีอะไร ส่วนตัวรู้สึกว่าการได้เจอกันก็เป็นเรื่องปกติเพราะแต่ก่อนก็ไม่เคยเจอกัน แต่ถ้าเป็นอีกยุค-อีกสมัยหนึ่ง ก็จะคิดอะไรนิดหน่อย แต่ตอนนี้ตนโตขึ้นแล้ว ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ พร้อมย้ำว่า สิ่งที่อยู่ในใจคือสิ่งที่ตนพูดไปทั้งหมดคือความจริงแค่นั้นเอง ส่วนฝั่งคู่กรณีจะว่าอย่างไร ก็ต้องว่ากัน อีกที

โดยมีรายงานว่าระหว่างที่นายพัฒนพลพร้อมทนายความกำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอยู่นั้นนายรัฐภูมิพร้อมกับทนายความได้เดินทางมาถึงศาลอาญาพอดี เป็นจังหวะที่นายพัฒนพลให้สัมภาษณ์ใกล้จะเสร็จ จากนั้นสื่อมวลชนได้เชิญให้เข้ามาให้สัมภาษณ์ตรงพื้นที่สื่อมวลชน ซึ่งเป็นจังหวะที่ทั้งคู่จะต้องเดินสวนกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วนายพัฒนพลตัดสินใจเดินออกไปทางขวาก่อนบันไดขึ้นศาลไปยังห้องพิจารณาคดี โดยไม่มีการพูดคุยกันหรือทักทาย ใดๆ

ด้านนายนายรัฐภูมิให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังเดินทางมาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยในคดีความกับนายพัฒนพล ว่า วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันตัวต่อตัว หลังไม่เคยรู้จักหรือมีโอกาสพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนมีแค่ติดต่อผ่านใบเตย น.ส.สุธีวัน ทวีสิน ที่เคยพูดมาว่าอยากให้มาเจอกัน ตนเองก็เลยตั้งใจมาฟังดูว่าวันนี้จะพูดคุยกันในรูปแบบไหน ก็เปิดโอกาส อยู่แล้ว

นายรัฐภูมิ กล่าวว่า ไม่ได้มีอคติหรือความรู้สึกติดใจใด ๆ กับอีกฝ่าย และพร้อมที่จะให้อภัยหากด้านดีเจแมนยอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ โดยย้ำว่า “ความจริงก็คือความจริง” และตนเองไม่ได้รู้สึกกังวลใด ๆ ทั้งต่อคดีนี้และคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแต่ในครั้งที่แล้วเขาไม่มา วันนี้เลยอยากฟังจากเขาโดยตรง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้ เพราะตนเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาไปได้ข้อมูลอะไรถึงเข้าใจผมผิดแบบนั้น ทั้งที่หลักฐานมันก็อยู่ ตรงหน้า

นายรัฐภูมิ ยังระบุด้วยว่า การเจรจาในวันนี้เป็นเพียงขั้นตอนเบื้องต้นของกระบวนการไกล่เกลี่ย ยังไม่มีการนำหลักฐานใหม่มาแสดงเพิ่มเติม และยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกิดขึ้น โดยตนเองไม่ได้รู้สึกกดดัน เพราะเป็นฝ่ายโจทก์ และมั่นใจในข้อเท็จจริงและหลักฐานที่มีอยู่ นายรัฐภูมิ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกโกรธหรืออยากตอบโต้ใด ๆ เพียงแต่อยากฟังคำชี้แจงจากอีกฝ่ายด้วยตนเอง เพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยความเข้าใจ และหาทางออกร่วมกันอย่างเหมาะสม
ร่วมอนุโมทนา "เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ" เข้าพิธีปลงผมบวชสามเณรี ณ ศรีวรญาลัย จังหวัดสระบุรี
“เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรีเช้าวันนี้ในโครงการ “สามเณรี รุ่นที่ 3 ธรรมวิจิตร” ณ ศรีวรญาลัย จ.สระบุรี เพื่อก้าวเข้าสู่ศาสนาและศึกษาธรรมะอย่างเต็มตัว จากนั้นเจนี่จะเดินทางไปรายงานกับปวติณี (ผู้หญิงที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของสตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี) ของประเทศศรีลังกา แล้วจึงจะได้เกียรติบัตรเป็นการรับรอง ทั้งนี้ เจนี่ได้รับฉายาทางธรรม ว่า “ธัมมกัลยาณี” แปลว่า ”สตรีผู้มีความงามทางธรรม“

บรรยากาศภายในพิธีได้มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเพื่อนพี่น้องในวงการบันเทิง อาทิ ตู่ นพพล ที่รับหน้าที่เชิญผ้าไตรจีวรพระราชทาน ร่วมด้วย อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ - แดง ธัญญา , หน่อง อรุโณชา , ดิว ปิ่นกมล , อั้มอธิชาติ , เกรท วรินทร และแน่นอนคือเพื่อนสาวแก๊งนางฟ้า นานา ไรบีนา , แอน อลิชา และ วุ้นเส้น วิริฒิพา พร้อมด้วย ต้นหอม ศกุนตลา , มะตูม เตชินท์ , พลอย เฌอมาลย์ , ฌอห์ณจินดาโชติ มาร่วมอนุโมทนาบุญในวันสำคัญพิธีบวชสามเณรี นางเอกดัง

#เจนี่เทียนโพธิ์สุวรรณ์ #สยามดารา #ข่าวบันเทิง
คอนเสิร์ตการกุศล "เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก คิดถึง ..และคิดถึง" ครูเพลง ว.วัชญาน์ รายได้มอบพระสงฆ์อาพาธ วัดป่าบ้านตาด
แถลงข่าวเสร็จสิ้นไปแล้วพร้อมกับบรรยากาศความอบอุ่น และอิ่มบุญ สำหรับ คอนเสิร์ตการกุศล "เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก คิดถึง ..และคิดถึง" ครูเพลง ว.วัชญาน์ รายได้มอบพระสงฆ์อาพาธ วัดป่าบ้านตาด ณ ห้องอาหาร Manito Pizza รามคำแหง 18

จากจุดเริ่มต้นของลูกศิษย์ ครู ว.วัชญาน์ ได้แก่ อุษา แก้วมณี ร่วมกับ หลินหลิน อิน ไทยแลนด์ และเพื่อนพ้องน้องพี่ลูกศิษย์ ครู ว วัชญาน์ นักแต่งเพลงผู้ล่วงลับ เจ้าของเพลง "ไฟเสน่หา", "สายเจียงฮาย", ขอสูมาเต๊อะเจ้า" ฯลฯ

มุ่งหวังจะจัดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่ออุทิศบุญแด่บรมครูผู้ล่วงลับ และเป็นการเชิดชูเกียรติ จึงเป็นที่มาของคอนเสิร์ต การกุศล " เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก คิดถึง ..และคิดถึง" เปิดแสดงในวันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม 2568 เวลา 13:00 - 16:30 น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ คอนเสิร์ตการกุศล เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก คิดถึง ..และคิดถึง" เพื่อรำลึกครูเพลงผู้สร้างตำนานบทเพลงไทย ว.วัชญาน์ ขับร้องโดยศิลปิน ดร.วินัย พันธุรักษ์ (ศิลปินแห่งชาติ), สมศรี ม่วงศรเขียว, โฉมฉาย อรุณฉาย, อุมาพร บัวพึ่ง, จิตติมา เจือใจ, ศันสนีย์ นาคพงษ์, เจินเจิน บุญสูงเนิน, พิมพ์โพยม เรืองโรจน์, คณิตตา จิตต์เจริญ, จรวยพร จิตตรีญาติ, ประภาภรณ์ สังข์สุวรรณ, ยืนชนม์ สมบัติเทพ, พิมพ์ใจ พรหมมาลี, ภมร พรสุเทพ, หลินหลิน อินไทยแลนด์, อ้อม หัสพงศ์, ชูใจ เพชรา, วิภาส รวิภาส, อภิญญา เจริญวงศ์, สปาย ภาสภรณ์ ฯลฯ หลินหลิน อิน ไทยแลนด์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดคอนเสิร์ตการกุศล เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก คิดถึง .และคิดถึง เพื่อรำลึกครู ว.วัชญาน์ ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เธอเข้าสู่วงการเพลง และต่อเนื่องสู่ภาคธุรกิจอาหารเสริม และเครื่องประทินโฉม งานคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังเป็นดารรวบรวมลูกศิษย์ ครู ว.วัชญาน์ หลายรุ่น อาทิ ศันสนีย์ นาคพงศ์, อุษา แก้วมณี และอีกหลายท่านที่จะมาร่วมอุทิศส่วนกุศล แด่บรมครู

ก่อนที่ อุษา แก้วมณี และ หลินหลิน อิน ไทยแลนด์ จะรับดอกไม้กำลังใจจากคุณกัณทิมา อุชุภาพ นายกสโมสรไลออนส์ หอวัง

ด้าน อุษา แก้วมณี ผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงครู ว วัชญาน์ ยังกล่าวเสริมถึงรายได้จัดคอนเสิร์ตจะนำไปมอบองค์กรการกุศล คือ พระสงฆ์อาพาธ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เนื่องจาก ครู ว.วัชญาน์ และตนเอง เคยผลิตรายการโทรทัศน์ "ธรรมะกับหลวงตามหาบัว" ออกอากาศทางช่อง 5 สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งปัจจุบันวัดป่าบ้านตาด ยังคงรับรักษาพระสงฆ์อาพาธ รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย คณะผู้จัดจึงจะนำเงินไปถวายต่อไป "คอนเสิร์ตการกุศล เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก คิดถึง ..และคิดถึง" บัตรราคา 1,000 /800 /500 บาท สอบถามรายละเอียด และซื้อบัตรได้ที่ : หลินหลิน โทร. 02-449-5000 , 086-901-4408 (มอส) Line : @b919 และอุษา แก้วมณี โทร. 065-996-5983 รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้พระสงฆ์อาพาธ วัดป่าบ้านคาด จ.อุดรธานี สำหรับ ว.วัชญาน์ (บ่วย) มีชื่อจริงว่า วารุณี วิชัยพรหม นามปากกา นักประพันธ์เพลงโด่งดังมากมายโดยเฉพาะเพลง “สาวเจียงฮาย” ที่แต่งขึ้นด้วยความคิดถึงและสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเกิด ว.วัชญาน์ เกิดที่อำเภอพาน เชียงราย เข้ากรุงเทพฯ

มาเรียนกวดวิชาและเป็นเซลส์แมนไปด้วย สอบได้วุฒิมัธยมปลาย เรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้งานที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ อยู่แผนกควบคุมเสียง มีโอกาสพบกับ ป. วรานนท์ นัก แต่งเพลงใหญ่ ได้เป็นดีเจรายการ "เพื่อน้อง" และ "เพื่อคุณที่รัก" สร้างชื่อในฐานะผู้แต่ง สาวเจียงฮาย ที่มีท่อนติดหู “ไป ไปเต๊อะไปแอ่ว ไปเต๊อะไปแอ่ว จังหวัดเจียงฮาย…” แล้วยังมีผลงานอีกนับร้อยชิ้น อาทิ "บ่าฮู้-บ่าหัน", "เสียใจ๋แต๊ว่า", "ขอสูมาเต๊อะ", "ยายกะตา", "วอนเธอ", "ผิดหวังอีกแล้ว", "ไฟเสน่หา", "อดีตรักดอกทองกวาว", "รักฝังใจ " ที่สร้างชื่อเสียง ให้ ศันสนีย์ นาคพงศ์ รวมถึงผลงานเพลงเกี่ยวกับชีวิต และเพลงธรรมะทั้งเป็นที่รู้จักในฐานะนักจัดรายการวิทยุหลากหลายแนว ทั้งรายการเด็ก การเมือง บันเทิง สังคม รวมถึงรายการโทรทัศน์ "ธรรมะกับหลวงตามหาบัว" ทางช่อง 5 วารุณี วัชญาน์ เจ้าของนามปากกา ว.วัชญาน์ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 28 ม.ค 2562 ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังเข้ารับการรักษาตัวที่รพ.จุฬาลงกรณ์เกือบ 1 ปี สิริอายุ 68 ปี

#วารุณีวัชญาน์ #ว_วัชญาน์ #สาวเจียงฮาย #นักประพันธ์ #นักจัดรายการวิทยุ
ซินดี้ สิรินยา ปลดล็อกหัวใจครั้งใหญ่! พอแล้วกับการใช้ชีวิตบนความคาดหวัง
เปิดใจ ซินดี้ สิรินยา ในรายการ WOODY FM จากนางแบบตัวแม่ สู่ CEO ผู้นำพลังชีวิต! เล่าทุกความจริงไม่เคยพูด ชีวิตนี้ไม่มีใครชอบเรา 100% พอแล้วกับการใช้ชีวิตบนความคาดหวังของคนอื่น พร้อมชวนให้กลับมาหาตัวเอง เชื่อในเป้าหมาย สิ่งที่จะทำให้ปลดล็อกและเป็นอิสระที่สุด และบทบาทผู้นำในงานอีเวนต์ระดับเอเชียอย่างงาน Dragonfly ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงทางความคิด พลังงาน และวิถีชีวิต

ชีวิตมีกี่บทบาทแล้วตอนนี้ ?
ซินดี้ สิรินยา : บทบาทแรกเป็นคุณแม่ คือ ภารกิจที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด ทุกวันจะเริ่มต้นด้วยโหมดคุณแม่หลายครั้งต้องตื่นตั้งแต่ 4:45 น. เพื่อมาทำอาหารเช้าให้เลล่าที่ต้องไปฝึกว่ายน้ำ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่เกิน 5:00 น. ก็ต้องตื่นแล้ว ตื่น 4:30 น. ทำอาหารเช้า เริ่มทำอะไรก็ตามที่ลูกว่ายน้ำอยู่ อยากจะให้เขาขึ้นมาจากสระแล้วได้กินอะไรร้อน ๆ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ถ้าคืนนี้มีงาน ก็จะทำแซนด์วิชไว้ล่วงหน้า แล้วไบรอนก็แค่เอาจากตู้เย็น หลังจากทำกับข้าวเสร็จ ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มทำงานเลย เพราะเดี๋ยวต้องปลุกคนเล็ก 5:30 น. ส่งลูกขึ้นรถไปโรงเรียน 6:30 น. จากนั้นก็อาจจะพยายามออกกำลังกายก่อน แล้วก็เริ่มประชุม ตอนนี้อีกหนึ่งบทบาทสำคัญก็คือเป็น CEO ของ Dragonfly

จากวันนั้นในอดีต ตั้งแต่ Miss World ซึ่งตอนนี้เป็นกระแสมาก คุณภูมิใจกับโอปอล Miss World ไหม?
ซินดี้ สิรินยา : ภูมิใจมาก ฉันบอกไว้แล้วว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็น Miss World เพราะมันถึงเวลาแล้ว คือจังหวะมันใช่ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะได้มงกุฎระดับโลก และน้องค่อนข้างตรงกับ Mission Vision ของเวทีนี้ เขาจะให้ความสำคัญกับการพูดจริง ทำจริง Beauty with a purpose ซึ่งน้องทำอยู่แล้ว และเห็นออร่า แค่รู้สึกว่าปีนี้เราจะได้ มงกุฎนี้

ในเส้นทางของซินดี้ที่ค่อย ๆ วางความคาดหวังลง มีวิธีอย่างไรบ้างที่จะมองย้อนกลับไป ?
ซินดี้ สิรินยา : คุณต้องพอใจกับสิ่งที่คุณมี คุณต้องรักตัวเอง สิ่งที่ทำให้คุณปลดล็อกและเป็นอิสระที่สุดก็คือ คุณต้องยอมที่จะมีคนไม่ชอบคุณ คุณอยู่กับความรู้สึกนี้ได้ คุณก็จะเป็นอิสระ คุณโอเคไหมกับการที่จะมีคนไม่ชอบคุณ? สำหรับเราคือทำไม แล้วเราก็แบบหาคำตอบ หาเหตุผลตลอดเวลาว่าทำไมไม่ชอบ เราผิดตรงไหน แล้วฉันต้องทำอะไรอีกเพื่อให้คุณชอบฉัน ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็ไม่ได้ชอบทุกคนในโลกนี้ อาจจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ได้ ซึ่งทุกคนต้องเจอ เราก็มีผิดพลาด ซึ่งเราก็ได้บทเรียนอะไรบางอย่าง

ได้เห็นซินดี้ในหลายเวอร์ชั่น ซึ่งคุณก็อยู่ได้เรื่อยๆ ในวงการ ?
ซินดี้ สิรินยา : เป็นคนชอบเรียน ชอบลองอะไรใหม่ ๆ มีอะไรเข้ามาก็ลองดู เพราะเป็นคนเบื่อง่าย เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลาอยู่แล้ว เป็นคนที่ชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งเป็นวงการที่อยู่นานยากนะ เพราะว่าเราก็ต้องคอยอัพเดตตัวเองตลอดเวลา ลองเล่น Tiktok ให้คนเห็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเห็นเราเป็นภาพพจน์ เป็นตัวร้ายในละคร หรือเป็นโมเดลที่ดูแบบเยือกเย็นอย่างนี้ แต่จริง ๆ ค่อนข้างติงต๊อง (หัวเราะ)

เห็นอะไรในตัวเองจากการกระโดดเข้าไปใน TikTok ?
ซินดี้ สิรินยา : TikTok เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกเป็นอิสระกับตัวเองมาก เป็นเหมือนอีกหนึ่ง Milestone ที่ตัดสินใจว่า “ฉันจะเล่นล่ะ ทำไมล่ะ?” ทั้งที่ตอนแรกก็มีคนเตือนว่ามา "เอาดีๆ แม่ เราเป็นดารา แม่จะทำอย่างนี้ไม่ได้" พอเล่นแล้ว กลับกลายเป็นว่าคนชอบ เพราะมันตรงกับช่วงที่ทุกคนเครียด ติดอยู่ในบ้าน แค่ทำขำ ๆ กับลูก กลายเป็นว่าสนุกเอง ขำเอง แล้วคนอื่นก็ชอบด้วย ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์หรือเป็นนางแบบตลอดเวลา พอเรามีคนติดตามตรงนี้ เราก็เอามาใช้ในเรื่องของธุรกิจ หรือแม้แต่การรณรงค์เรื่องความรุนแรงในครอบครัว แล้วตอนนี้กลายเป็นแม่ค้าออนไลน์ใน TikTok ไปแล้ว เพราะเรามีอีกหนึ่งธุรกิจเป็นสินค้าของตัวเอง และไลฟ์ขายของวันละ 2 ชั่วโมง เป็นแพลตฟอร์มที่ Real และ Unfiltered มาก ๆ เข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น แม้แต่คนจะเข้ามาคอมเมนต์ จำแม่ได้ตั้งแต่ประกวด บางคนก็ทำไมฝรั่งคนนี้พูดไทยชัดจัง คือมันหลากหลายมาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักเรา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเตือนตัวเองได้ดีมาก สมมุติว่ามันเป็นตัวเราแต่ได้ 100 วิว ไม่เป็นไร 100 วิว = 100 คน แต่จะเป็น 100 คนที่เขามี Quality และเขาเชื่อและเขาอินกับสิ่งที่คุณทำ ดีกว่าเป็นหมื่นที่แค่ผ่าน ๆ ไป คืออยากจะให้ทุกคนหยุดยึดติดกับความคาดหวัง เรากลับมาหาตัวเอง กลับมาหาสิ่งที่ใช่ กลับมาเชื่อในสิ่งที่เรามีเป้าหมายตรงนี้ เดี๋ยวคนเขาก็จะมาเอง มีความรู้สึกว่าโลกเราตอนนี้ฟุ้งซ่านกับสิ่งที่ไม่ใช่ของจริงหรือไม่ใช่ สิ่งที่มีความหมายจริง ๆ นั่นคือสาเหตุที่เรามาทำสิ่งนี้ งาน Dragonfly ด้วย สุดท้ายแล้วมันคือชีวิตมันมีแค่นี้แล้วมันสั้นเหลือเกิน วันนี้คุณทำอะไรไม่ต้องคิดถึงอนาคตเลย คุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณอยากได้อะไร วันนี้คุณจะให้อะไรกับคนรอบข้าง หรือแม้แต่แค่รอยยิ้ม

งาน Dragonfly ทำไมถึงเป็นชื่อนี้ งานนี้คืออะไร?
ซินดี้ สิรินยา : เริ่มก่อนว่าทำไมต้องเป็น Dragonfly? ซึ่ง Dragonfly ก็คือแมลงปอ เป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่มากของการเปลี่ยนแปลง เพราะแมลงปอมันจะต้องเริ่มจากในน้ำก่อน แล้วก็ค่อยมีปีกแล้วก็โบยบินไป แมลงปอจะมารวมตัวกัน พอทุกอย่างผ่านไปมันก็แยกย้ายกันไป เป็นสัญลักษณ์ว่าก่อนที่มันจะมีพายุหรือมรสุมเข้ามา ถ้าเกิดเราได้มารวมตัวกันกับแมลงปออื่น ๆ เราก็จะสามารถสร้างพลัง แล้วบางทีเราอาจจะบินผ่านจุดนี้เร็วขึ้น หรืออย่างน้อย ๆ มีเพื่อนไปด้วย เพราะฉะนั้น Dragonfly Summit จะเป็นมากกว่าแค่ Summit สำหรับผู้นำคือการเฉลิมฉลองความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะมี 2 วันเต็ม นี่คืออีเวนต์ที่จะไม่แค่เปลี่ยนแปลง แต่มันจะยกระดับพลังงานในตัวคุณในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Mindset มุมมองความคิด Physical Health, Wellbeing, การดูแลสุขภาพ, การนอน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และถ้าวันนี้คุณอยากจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ คิดอะไร ตัดสินใจอะไรได้ และที่สำคัญเรื่องของการรวมพลังซึ่งกันและกัน ตอนนี้มนุษย์เราต้องการสิ่งนี้มาก

ตื่นเต้นที่จะเจอใครในงานนี้บ้าง?
ซินดี้ สิรินยา : จริง ๆ ตื่นเต้นทุกคนค่ะ อาทิเช่น Nick Santonastasso ไปสัมภาษณ์เขา แล้วฉันถามว่าถ้าคุณจะแนะนำตัวเองกับแฟน ๆ ในเอเชียที่อาจจะยังไม่รู้จักคุณ จะแนะนำยังไง? เขาบอกว่า เขาเป็น Broken Boy เป็นเด็กที่ไม่นึกเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะเขาเกิดมาไม่มีแขนไม่มีขา มีขาแขนแค่ข้างเดียว แล้วก็นิ้ว 1 นิ้ว หมอบอกว่าเขารอดแค่ 30% เขาบอกว่าไม่มีทางที่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้เป็นคน ๆ นี้ได้ หากเขาไม่ตัดสินใจอะไรบางอย่างในชีวิต ชีวิตเขาคือต้องการแบ่งปัน และต้องการให้ทุกคนในโลกนี้รู้ว่าสิ่งที่คุณคิดว่ามันคือข้อจำกัด "ดูฉันสิ ไม่มีแขนไม่มีขา คุณมีข้ออ้างอะไร" เขาบอกว่าใน 1 ชั่วโมงที่ Summit เขาจะมาเป็น Baby Yoda ให้คุณ เขาจะให้ Tips, Practice, Mindset Tools ออกจากห้องนี้แล้วชีวิตของคุณเปลี่ยน ฉันการันตี เขาจะลงลึกในเรื่องของ Science of Sleep เพราะเขาเป็น Neuroscience และ Sleep Expert ของโลก เขาจะลงลึกว่าสิ่งที่เราเกิดในร่างกายเราคืออะไร เทคนิคที่เราจะไปสู่การนอนที่ช่วยฟื้นฟูเราจริง ๆ จากโมเลกุลทำยังไง คือคนไม่ให้ความสำคัญจะคิดว่า "เดี๋ยวฉันทำงานก่อนแล้วค่อยพัก" เขาไม่เข้าใจว่า คุณต้องพักเพื่อที่จะทำงานได้ดีที่สุดมันต้องกลับกัน คุณต้องเปลี่ยนความคิด การนอนไม่ใช่รางวัลที่คุณให้กับตัวเอง แต่มันคือสิ่งจำเป็นที่คุณจะมีชีวิตที่ดีแล้วก็เป็นผู้นำที่ Effective

Brianna Wiest เป็นนักเขียนหนังสือหลายเล่มที่ฉันชอบและอ่าน เธอมีแฟน ๆ ในประเทศไทยและเอเชียเยอะมาก เธอเป็นเจ้าของหนังสือชื่อ The Mountain Is You, 101 Essays That Will Change The Way You Think ตอนนี้กำลังอ่าน The Life That’s Waiting สิ่งที่เธอพูดไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่วิธีคำพูดของเธอมันไม่ได้เป็นฟังไม่เข้าใจ แต่มันอ่านแล้วแบบเป็นคำพูดที่โดนใจเป็นการปลุกพลังที่อยู่ในตัวคุณได้ดีมาก ๆ อ่านไม่กี่หน้าก็ได้คำตอบทันที คำตอบของแทบจะทุกปัญหาในชีวิตอยู่ในตัวเราจริงๆ ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาพูด ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาไกด์

Gabrielle Bernstein เธอเป็น Best Selling Author ของ New York Times56 เธอเป็น Podcaster ที่มีคนฟังเป็นล้านคน หลายคนรู้จักและอ่านหนังสือของเธอ ไม่ว่าจะเป็น Self Help, The Universe Has Your Back คือโด่งดังมากแต่คนอาจจะยังไม่เคยได้เห็นหน้าและตัวเป็น ๆ คราวนี้เธอจะมาและจะพูดในเรื่องของ Manifestation ซึ่งปีนี้จะเป็นเรื่องของ Manifestation ที่จับต้องได้ เอามาใช้ในชีวิตประจำวันแบบทันที เห็นผลทันที และเรื่องของ Alignment คือการจูนทุกสิ่งอย่างให้มันอยู่ในเรื่องเดียวกัน ใน Energy เดียวกัน ไปในทางเดียวกัน คุณจะทรงพลังมาก ๆ เมื่อความคิด ความรู้สึก หรือแม้แต่ Energy ที่คุณส่งออกไปมันจูนกัน

เราดึงดูด Speaker ที่ใช่ สำหรับงานเราจริง ๆ ไม่ได้เป็น Speaker ที่มีอีโก้ มีหลายคนที่อาจจะโด่งดังกว่านี้ที่เราตัดสินใจว่าอาจจะไม่ใช่เวลานี้ อาจจะไม่ใช่ปีนี้ เขาอาจจะมาก็ได้ แต่สิ่งที่นำพาการตัดสินใจของทุกคนแม้แต่ทีมคือ มันต้องมาจากใจจริง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่คุณจะรู้จักคนเหล่านี้ แต่ขอเชื่อว่าสิ่งที่ ซินดี้ วู้ดดี้ แพม และทีม Dragonfly ทุกคน ตั้งใจเลือกคนที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณแน่นอนในเวทีนี้ มีระบบแปลสด มีทีมแปลคำต่อคำแบบสด ๆ บัตรมีหลาย Tier เลือกแบบที่สะดวก งาน Dragonfly Summit จัดขึ้น 2 วัน เสาร์และอาทิตย์ที่ 27-28 กันยายนนี้ ที่ Paragon Hall ออกมาจากงานนี้การทำงานของคุณจะเปลี่ยนทันที

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 19.00 น.

คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=18i8lOAGpos&t=41s&ab_channel=WOODY
สงกรานต์ เตชะณรงค์ ชีวิตเฉียดความตายเพราะคลั่งออกกำลังกาย!
เปิดบทเรียนราคาแพงของ “สงกรานต์ เตชะณรงค์” จากคนที่เสพติดการออกกำลังกายจนเฉียดความตาย สุขภาพที่ดีไม่ใช่แค่ฟิตแต่ต้องบาลานซ์ชีวิตให้เป็น แชร์ประสบการณ์เคยผ่านการฝึกหน่วยคอมมานโดสุดโหด พร้อมเผยเคล็ดลับสุขภาพดีต้องมีสิ่งนี้ที่สำคัญ ในรายการ ON THE WAY WITH CHOM

เป็นคนที่ฟิตมาตลอดเลยไหม ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : เหมือนติดออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก ที่บ้านปลูกฝังมา ตั้งแต่เด็กจำความได้เสาร์อาทิตย์ คุณแม่ก็จะพาไปว่ายน้ำ ตีเทนนิส วันธรรมดาเลิกเรียนก็จะมารับไปขี่ม้า เป็นเหมือนไลฟ์สไตล์ว่าการออกกำลังกายมันเหมือนเป็นกิจวัตรเหมือนกับการกินข้าวสำหรับเรา

เป็นนักกีฬาด้วยไหมใช่ไหม ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : เป็นนักกีฬาฟุตบอล ตอนเด็ก ๆ อายุประมาณ 15-16 ปี ชอบเตะบอลมาก แต่พอมาอายุ 30 กว่า ๆ เริ่มไม่ไหวเพราะเป็นกีฬาที่ใช้เข่าเยอะมาก มีเหตุการณ์ที่วิ่งอยู่ดี ๆ เอ็นขาดได้ยินเสียงเหมือนหนังยางอันใหญ่ ๆ ขาด ก็ไปผ่าแล้วก็ทำกายภาพ นึกว่าจะเหมือนเดิม กลับไปเล่นก็ขาดอีกที ทีนี้ก็พอเลยครับ

รักการออกกำลังกายเรียกได้ว่าเข้าเส้น ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : เข้าเส้นเลยครับ ออกกำลังกายตลอดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็นไลฟ์สไตล์ ถ้าซ้ำมันก็จะน่าเบื่อ เราต้องการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย

คุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังเรื่องกีฬา ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : คือที่บ้านผมก็คือปล่อยอิสระ ถ้าเป็นเรื่องกีฬาก็พร้อมที่จะซัพพอร์ต แต่ว่าคงไม่ได้ฟิก ไม่ได้คุมเข้ม

เลยทำให้เราเป็นคนที่ชอบการออกกำลังกายถึงขั้นเรียกว่าคลั่ง ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ก็ไม่ถึงขนาดคลั่งแต่ว่าเสพติด

เคยไปฝึกหน่วยคอมมานโด ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ตอนผมไปฝึกหน่วยคอมมานโด การฝึกไม่ได้เน้นร่างกายแต่เน้นไปที่จิตใจ เพราะว่ามันเกินเหนื่อยตลอดเวลา ตื่นมาต้องเจอวิ่ง 10 กิโลทุกเช้าทั้งวันแบบไม่ได้พัก ต้องมีเรื่องให้ได้ใช้แรงตลอดเวลา บางทีเที่ยงคืน-ตี2 ปลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ทำแบบนี้ทุกวันไม่มีวันหยุด ช่วงสุดท้ายเขาจะมีภารกิจ เช่น แบกซุง เข้าห้องแก๊สน้ำตา ว่ายน้ำ ทำไม่หยุดเกือบ 3 วัน

มีคนที่น็อคบ้างไหม ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ไม่มี มีแต่แบบวิ่งไปอ้วกไป แต่ว่าไม่ถึงกับน็อค ร้องไห้แบก ๆ อยู่น้ำตาไหล เพราะว่ามันโหด เกินลิมิตร่างกายมาก แต่ทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ ร่างกายมันไปได้อีกเยอะ ในสถานการณ์ที่บีบบังคับว่าเราต้องทำ แล้ว 3 วันนั้นจำได้เลยว่าไม่ได้กินข้าว กินพุทรา 2 ลูก ร่างกายมันอยู่ได้แบบข้ามลิมิต

ช่วงที่เราฟิตมากๆ หนักหน่วงกับตัวเองมากขนาดไหนตอนนั้น ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ตอนฝึกออกมาคือฟิตมากแล้วเหมือนพอออกมารู้สึกตัวเองแรงเหลือ เวลาไปทำงานระยะทางมันประมาณ 10 โล บางทีผมก็วิ่งไปทำงาน แล้วก็ไปอาบน้ำที่ทำงาน ทำงานเสร็จแล้วก็วิ่งกลับ แรงมันเหลือ เพราะว่าเคยออกกำลังกายตลอดเวลา แต่ตอนนี้ไม่แล้วอายุเยอะ แล้ว

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราแบบว่าออกกำลังกายแบบฮาร์ดคอร์มากๆ แต่ว่าหลายๆ คนกลับทักว่าเราป่วยหรือเปล่า ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ใช่ เพราะว่ามันคาร์ดิโอเยอะเกิน แล้วกินไม่ถึง โดนแดดเยอะก็เลยซูบไปหมด ผิวแทนไหม้แดด คนก็เลยคิดว่าเราไปทำอะไรมา มันดูโทรม ไปเลย

ถ้าคาร์ดิโอเยอะๆ แล้วมันจะกินกล้ามเนื้อจริงไหม ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ผมว่าจริงแน่นอน ถ้าคาร์ดิโอเยอะเกินไปมันจะลีนกล้ามเนื้อ มันจะหายไปหมดเลย อย่างตอนผมไปฝึกคือน้ำหนักหายไปเป็น 10 โล

อาหารเกี่ยวข้องไหม ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : อาหารสำคัญ อย่างที่สังเกตมา ถ้าเรากินถึงก็ช่วยได้เยอะ ผมออกกำลังกาย 40% แล้วก็กินอีก 40% ที่เหลือก็คือพักผ่อน แต่ว่าผมก็ไม่ได้ฟิกเรื่องกิน ไม่ได้ถึงขนาดต้องชั่งกิโล แต่ก็เคยชั่งทำกับข้าวไปตวงไว้ใส่กล่องไปกินอยู่ 1 ปี มันก็ลีนเห็นผลชัด แต่ว่ามันไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ จะทำตลอดชีวิตก็ไม่ไหว มันไม่มีสังคม หลัง ๆ ก็เลยไม่ได้ฟิกมาก ผมกินขนมทุกวัน ออกไปกินอะไรเรื่อยเปื่อย ก็จะพยายามกินโปรตีนเยอะ ๆ แต่ไม่ใช่แบบเชคแต่คือโปรตีนอาหาร พยายามกิน ให้ถึง

โปรตีนต้องกินขนาดไหน ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : โปรตีนผมว่ามันสำคัญ กล้ามเนื้อเท่าที่ผมสังเกตพออายุเริ่มเยอะ แต่ก่อนเรากินนิดๆหน่อยๆ มันก็มาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ร่างกายมันไม่ได้ตอบสนองขนาดนั้น โปรตีนจำเป็นมากต้องกินให้ถึง ผมสังเกตกับตัวเอง ถ้ากินถึงเราจะไม่หิวตลอดเวลา จะไม่กินจุกจิก กินต่อมื้อประมาณ 70-30 คือโปรตีนประมาณ 70% ที่เหลือเป็นไฟเบอร์ เป็นคาร์บ ถ้ารู้สึกว่าบวมขึ้นก็จะลดคาร์บลง ผมไม่คาร์ดิโอจะเน้นไปที่เล่นเวท เล่นประมาณ 5-6 วันต่ออาทิตย์ ยกประมาณชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง

ความเชื่อผิดๆ บ้างเกี่ยวกับ Weight Training ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : สาว ๆ หลายคนก็จะคิดว่าถ้า Weight Training แล้วมันจะทำให้ดูมีโหนกคอ ซึ่งมันยากมาก ไม่ต้องกลัว Weight Training ผมว่ามันช่วยได้เยอะหลาย ๆ เรื่องเลย พอเรามีกล้ามเนื้อเยอะ มันก็ช่วยเบิร์นแคลอรี่ เราก็จะสามารถเอ็นจอยการกินได้มากขึ้น สาวๆที่มีกล้ามขามันก็ดูเซ็กซี่นะ มันดูเฮลตี้ดี

คาร์บที่ดีคืออะไร ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : คาร์บจากพืชผัก ถั่ว พืชที่เป็นหัวที่อยู่ใต้ดิน ไม่ใช่คาร์บ แปรรูป

ทำไมถึงเลือก Weight Training มาเป็นไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : สะดวกดีครับ แล้วก็ตอบโจทย์ได้ทุกที่ทุกเวลา

เคยเกิดอุบัติเหตุจากการออกกำลังกาย ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ผมขี่จักรยานวันละชั่วโมง 2 ชั่วโมง ผมขี่ที่เขาใหญ่ ผมเป็นพวกชอบเอาชนะเวลา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาใหญ่มันจะเป็นทางตรงยาวเลย แล้วช่วงนั้นมันเป็นช่วงทำเวลาคือแบบเราจะหมอบแล้วเราจะปั่นเป็นทางตรง มีวันหนึ่งดันมีรถมาจอดอยู่เรามองไม่เห็น ก็ชนท้ายกระบะเต็ม ๆ เกือบขิต กระดูกหักไป 5 ท่อน คอ ซี่โครง ไหปลาร้า นอนอยู่ ICU ประมาณ 8-9 วัน ต้องผ่าคอแล้วก็ใส่สายแบบตรงคอ ตรงจมูก ตรงข้อปัสสาวะ ตรงปอด เพราะว่าตอนมันหักมันไปทิ่มปอด หลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะตอนนั้นมีเลือดออกในสมองนิดหนึ่ง นอนอยู่ท่าเดียว 8 วัน ไม่เคยทรมานขนาดนี้มาก่อน ใส่เหล็กตรงกล่องเสียง ต้องใส่ตลอดชีพ ช่วงฟื้นตัวอาจจะเป็นเพราะผลบุญที่เราออกกำลังกายบ่อยด้วยมันก็เลยช่วยทำให้เราฟื้นตัวเร็ว

แนะนำคนที่สนใจ Weight Training ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : เริ่มเลย ยิ่งเร็ว ยิ่งได้เปรียบ ไม่ต้องคิดมาก ทำไปก่อน อย่างน้อยท่าไม่ถูกก็มาเอาแรงก่อนก็ได้ เดี๋ยวนี้มันมีให้ศึกษาเยอะมากใน YouTube

เป้าหมายในเรื่องสุขภาพ ?
สงกรานต์ เตชะณรงค์ : ผมอยากให้คิดว่ามันเป็นเหมือนกับวิธีการมากกว่า อาจจะไม่มีปลายทาง ปลายทางที่แบบต้องเป๊ะ เพราะว่าสุขภาพที่ดีควรจะเป็นสิ่งที่เราจะทำควบคู่ไปเรียกว่าจนแก่ตาย ให้มีความพอดี ทำแล้วต้องมีความสุข วิธีที่ถูกต้องเพื่อให้เห็นผล เรื่องสุขภาพสำคัญมาก สมมุติว่าถ้าเราสุขภาพไม่ได้ เราจะไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันใหญ่ ๆ ก็จะยาก เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน ไม่จำเป็นต้องหักโหมจะมีกล้ามหรือมีซิกแพค เริ่มจากในบ้านก่อน เปิด YouTube มีสอนออกกำลังกายที่ให้ทำตาม 5 นาที 10 นาที อย่าไปซีเรียสมาก ทำไปให้เป็น Autopilot แล้วเดี๋ยวเราก็จะคุ้นเคย ผมว่าเราควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ

สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=Vjhvl2I1xuA&t=50s&ab_channel=LIFEDOT
“หลิงหลิง คอง” ขอโทษแล้ว! หลังถูกติงทำพฤติกรรมล้อเลียนผู้พิการทางสายตา
เรียกว่างานเข้าเต็มๆ สำหรับนางเอก"หลิงหลิง คอง" ที่เดินทางไปจัดแฟนมีตติ้งที่ประเทศจีน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันในโลกโซเชียลฯ คือกิจกรรมบทบาทสมมติให้ หลิงหลิง เป็นตัวละครบอดี้การ์ด ซึ่งทางตัว หลิงหลิง ได้หยิบแว่นตากันแดดสีดำ พร้อมหยิบร่ม แล้วทำท่าทางคล้ายผู้พิการทางสายตา ทำให้มีบางคนมองว่าสิ่งที่เธอทำเป็นการล้อเลียน ซึ่งดูไม่เหมาะสม

ซึ่งหลังจากนั้นทางตัว หลิงหลิง ก็ไม่นิ่งนอนใจออกมาโพสต์ถึงประเด็นนี้ผ่านทางแอปพลิเคชัน x (เอ็กซ์)ว่า “จากกรณีคลิปวิดีโอที่มีการพูดถึงกันในโลกออนไลน์ในขณะนี้ ซึ่งมีภาพของหลิงแสดงท่าทางที่หลายท่านรู้สึกว่าเป็นการล้อเลียนหรือไม่ให้เกียรติผู้พิการทางสายตา หลิงขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หลิงขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์ด้วยความเคารพและสำนึกผิดอย่างแท้จริง หลิงไม่เคยมีเจตนาใดๆ ที่จะล้อเลียนหรือดูหมิ่นผู้พิการทางสายตาแม้แต่น้อย และเมื่อได้ย้อนกลับไปทบทวนพฤติกรรมของตนเอง ก็พบว่าการกระทำนั้นขาดความรอบคอบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในฐานะของบุคคลสาธารณะที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม หลิงขอกราบขอโทษต่อผู้พิการทางสายตาทุกท่าน และทุกคนในสังคมที่รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้ หลิงจะนำบทเรียนครั้งนี้ไปปรับปรุงตัวอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต

หลิงรู้สึกเสียใจจากการกระทำของตนเอง และขอกราบขอโทษทุกคนอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตา และทุกท่านที่รู้สึกไม่สบายใจ ขอบคุณทุกเสียงสะท้อนที่ทำให้ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นค่ะ“

#หลิงหลิงคอง #Linglingkwong
เปิ้ลนาคร-จูน เข้าพบ ผบช.สอท. หลังถูกมิจฉาชีพปลอมเพจ “หม้อแม่จูน” ตุ๋นผู้เสียหายนับสิบ
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 มิถุนายน ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) นายนาคร ศิลาชัย หรือเปิ้ล นาคร นักแสดง พร้อมด้วยภรรยา นาง กษมา ศิลาชัย หรือ จูน กษมา เข้าพบ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เพื่อเเจ้งความหลังถูกมิจฉาชีพสร้างเพจปลอมหลอกลวงเหยื่อโอนเงินสั่งออเดอร์ “หม้อแม่จูน” จนมีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

นายนาคร กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายนับสิบรายติดต่อสอบถามเข้ามาหาตนถึงสถานที่นัดรับสินค้า โดยบอกว่าได้โอนเงินสั่งสินค้าไปแล้ว ตนจึงสอบถามข้อมูลกระทั่งทราบว่าลูกค้าได้สั่งสินค้าผ่านเพจเฟซบุ๊คชื่อ “หม้อแม่จูน” ซึ่งมีผู้กดติดตามและกดถูกใจกว่า 1,300 คน โดยอ้างว่าจำหน่ายสินค้าแกงไก่แบรนด์ “หม้อแม่จูน” ในราคา 459 บาท ต่อแกงไก่ 2,000 กรัม โดยจะมีการจัดโปรโมชั่นต่างๆ และะอ้างว่าจะได้สินค้าทันทีในวันที่สั่ง ส่วนบัญชีรับโอนเงินค่าสินค้าก็มีการใช้หลายชื่อหลายบัญชี

ตนจึงขอยืนยันว่าแกงไก่แบรนด์ “หม้อแม่จูน” มีอยู่จริงซึ่งเป็นธุรกิจทางครอบครัว แต่ไม่มีการเปิดเพจไว้รับสินค้าออเดอร์เเต่อย่างใด โดยจะเปิดรับออเดอร์ผ่านช่องทางเดียวคือ ไลน์ @หม้อแม่จูน เท่านั้น และบัญชีรับโอนเงินจะมีเพียงบัญชีเดียว คือ ชื่อบัญชี “นายนาคร ศิลาชัย” วันนี้ตนจึงอยากมาเป็นกระบอกเสียงเตือนลูกค้าไม่ให้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อ จึงได้เดินทางเข้าแจ้งความในวันนี้เราเชื่อว่าหากไม่ดำเนินการจะมีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นถึงพันราย

พล.ต.ท.ไตรรงค์ บอกว่าสำหรับคดีนี้มีการแบ่งความเสียหายออกเป็นสองส่วน คือ นายนาครที่เสื่อมเสียชื่อเสียง และส่วนของผู้เสียหายที่เสียทรัพย์ ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินการตรวจสอบพยานหลักฐานที่นายนาครนำมามอบให้จากผู้เสียหายกว่าสิบราย พร้อมฝากเตือนประชาชนให้ตั้งข้อสังเกตให้ดีก่อนโอนเงิน อย่ารีบโอน รวมทั้งหากใครที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อโอนเงินไปแล้วอย่ามองว่าเป็นเพียงเงินเล็กน้อยและให้รีบแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจไซเบอร์หรือโทรสายด่วน 1441 เพราะหากเพิกเฉยก็อาจมีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจนสร้างมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท
มิติใหม่ของการเฟ้นหานางงาม Miss Universe Mae Hong Son 2025 จัดรอบ Final บนเรือหรู Meridian Cruise “มิลลี่ มิลลิตา” คว้ามงสมศักดิ์ศรี
จากขุนเขาเมืองสามหมอกสู่สายน้ำกลางกรุงฯ มิติใหม่ของการเฟ้นหาสาวงามในสไตล์ของทหารเรือสาวสวย “เรือตรีหญิง สุทิยา ตาปนานนท์” ผู้อำนวยการกองประกวด Miss Universe Mae Hong Son 2025 เชื่อมโยงขุนเขาและสายน้ำเข้าไว้ด้วยกัน ในค่ำคืนสุดพิเศษ ค้นหาสาวงามครองมงกุฎอันทรงเกียรติ Miss Universe Mae Hong Son 2025 บนเรือสำราญสุดหรู Meridian Cruise “THE FLOATING HAPPINESS” พร้อมดื่มด่ำความสวยงามของธรรมชาติ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณสุกัญญา ประจวบเหมาะ ประธานสภาสมาคมสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นประธาน, คุณนันทิยา วงศ์วานิชย์ ประธานการจัดงาน, คุณณรรฐ ตีระแพทย์ และคุณณพ ตีระแพทย์ ผู้ก่อตั้ง Meridian Cruise, คุณบริพันธ์ ชัยภูมิ พิธีกรช่อง 7 HD ร่วมด้วยแขกรับเชิญ VIP “Yumi Wong” (ยูมิ หว่อง) นักแสดงสาวชื่อดังเจ้าของฉายา แองเจล่า เบบี้ แห่งมาเลเซีย, คุณกาคิน อิศรกุล White Sound, คุณต๊อด-วรรณยศ มิตรานนท์, คุณโฟร์โฟร์-มนัสวี แตงพลับ ฯลฯ

และสำหรับมิติใหม่ของการประกวดในรอบไฟนอลครั้งนี้ MUM01 “มิลลี่ มิลลิตา จัสมิน เมอเรย์” สวยสมมงชนะใจกรรมการ คว้าตำแหน่ง Miss Universe Mae Hong Son 2025 พร้อมสายสะพาย และเงินรางวัลมูลค่ารวม 100,000 บาท เป็นตัวแทนหัวเมืองภาคเหนือไปชิงมงบนเวทีใหญ่ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025 ในลำดับต่อไป

โดย “เรือตรีหญิง สุทิยา ตาปนานนท์” ผู้อำนวยการกองประกวดมิสยูนิเวิร์ส แม่ฮ่องสอน 2025 เผยว่า “จากประสบการณ์ในเส้นทางสายนางงามที่ได้ร่วมงานและได้รับความไว้วางใจจากคุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล มานานหลายปี ในรอบไฟนอลเราได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างมิติใหม่กับการประกวดมิสยูนิเวิร์ส แม่ฮ่องสอน 2025 Presented by Meridian Cruise จากขุนเขาสู่สายน้ำ วันนี้เราได้ ‘น้องมิลลี่’ เป็นผู้ครองมงกุฎอันทรงเกียรติ สาวงามผู้เพียบพร้อมในการเป็นตัวแทนถ่ายทอดความเป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดตระการตาของ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบนเรือสำราญสุดหรู Meridian Cruise ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ความสุขบนแม่น้ำเจ้าพระยา” เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศสู่สายตาพี่น้องชาวไทยและชาวโลก ให้ทุกคนบนเรือและผู้ชมทางบ้านได้สัมผัสถึงความประทับใจที่ไม่รู้ลืมของการประกวดไปพร้อมๆ กัน และฝากเป็นกำลังใจให้น้องมิลลี่บนเวทีใหญ่ด้วยนะคะ”

ด้านผู้บริหาร “Meridian Cruise” กล่าวว่า “ในนามของเรือต้องขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติเรือของเรา และเป็นมิติใหม่เป็นครั้งแรกของการประกวดนางงามบนเรือและหวังว่าจะมีครั้งที่ 2 ต่อไปครับ” ส่วน “ยูมิ หว่อง” นักแสดงสาวชื่อดังชาวมาเลเซีย เผยความรู้สึก “ฉันรู้สึกดีใจที่ได้มาเยือนที่นี่ ฉันรักประเทศไทย และประเทศไทยมีผู้หญิงที่สวยมากมาย อาหารอร่อยค่ะ ฉันมีความสุขและตื่นเต้นมากๆ และยินดีกับน้องมิลลี่ด้วยนะคะ”

พิธีกรดัง “นก บริพันธ์” กล่าวปิดท้าย “ยินดีด้วยนะครับสำหรับมิสยูนิเวิร์สแม่ฮ่องสอน เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และพลิกการประกวดที่ไม่เหมือนใคร เราคนไทยได้ชมการประกวดบนเรือล่องเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาความรู้สึกมันแตกต่างมาก สมศักดิ์ศรีแม่ฮ่องสอนครับ“
ซี-เอมี่ ควงคู่ดินเนอร์หวานฉ่ำ ฉลองครบรอบรัก 20 ปี ลั่นคบกันครึ่งชีวิตทรหดมาก!
แม้จะแต่งงานกันมา 11 ปีแล้วแต่ความรักความเอาใจใส่ดูแลกันและกันของทั้งคู่ก็ยังคงมีอย่างสม่ำเสมอ สำหรับคู่รัก "ซี ศิวัฒน์" และ "เอมี่ กลิ่นประทุม" ซึ่งทั้งสองยังมีมุมตลกน่ารักๆ และออกมาให้แฟนๆ ได้ยิ้มกันตลอด

ล่าสุด "ซี ศิวัฒน์" ก็ได้ออกมาโพสต์ภาพคู่ภรรยา ฝพร้อมแคปชั่นว่า Happy 20th anniversary ต้องบอกว่าเราสองคนทรหดมากเลยนะ ที่อยู่กันมาได้ขนาดนี้ คบกัน 9ปี แต่งอีก 11ปี คบกันครึ่งชีวิต โคตรมันส์ รักกันไปแบบนี้ยาวๆนะลูก รักแมนนี่นะคะ" ขณะที่ "เอมี่ กลิ่นประทุม" ก็โพสต์ภาพควงสามีไปดินเนอร์หวานฉ่ำพร้อมข้อความว่า "It’s been a rollercoaster with you thank you for all you do honey Happy anniversary #9ปีคบกัน #11ปีแต่งงาน #20ปีจ้ะ #นานชิบหายจ้า"

งานนี้ทำเอาแฟนคลับแห่แซวในความหวานกันสนั่นไอจี Cr. ig : @ amy_klinpratoom @ siwat_c
#เอมี่กลิ่นประทุม #ซีเอมี่ #สยามดารา
ฮานา วริศยา แสวงการ คว้ามงอย่างสมศักดิ์ศรี มิสยูนิเวิร์สนครพนม 2025 สู่จักรวาล
เสน่ห์แห่งวัฒนธรรมและความฝัน กำลังเปล่งประกายบนเวทีนางงามไทยอีกครั้ง ด้วยการจัดประกวด Miss Universe Nakhon Phanom 2025 อย่างเป็นทางการ เพื่อเฟ้นหาสตรีผู้ทรงคุณค่า เป็นตัวแทนจังหวัดก้าวสู่เวทีระดับประเทศ Miss Universe Thailand 2025 และอาจไกลถึงเวทีจักรวาล การประกวดในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Age of Glory” – ยุคแห่งเกียรติยศ ที่มุ่งเน้นการสะท้อนภาพลักษณ์ของ ผู้หญิงยุคใหม่ ซึ่งมีทั้งความสง่างาม ความกล้าฝัน และศักยภาพในการเป็นผู้นำ โดยยังคงรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์แห่งนครพนม ถ่ายทอดออกมาอย่างร่วมสมัยและมีระดับระดับสากล

เบื้องหลังวิสัยทัศน์อันทรงพลังนี้ คือ คุณสนุ๊ก – นันทิช มานิตกุล Provincial Director หัวเรือใหญ่ของเวที Miss Universe Nakhon Phanom กล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน พร้อมเปิดตัวสาวงาม ทั้ง 13 สาวงาม พร้อมเปิดตัวคณะกรรมการ ต่อด้วยความร้อนระอุขึ้นกับรอบชุดว่ายน้ำที่สุดร้อนแรง ต่อด้วยรอบ Evening Gown และประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบ 7 คนสุดท้าย และตอบคำถามเดียวกัน กับคำถามที่ว่า ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณ คือเมื่อไหร่? ต่อด้วยประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย

และช่วงเวทีแห่งความระทึกขวัญเขย่าหัวใจ รอบ TOP 5 โดย ... คนสุดท้ายได้แก่

รองอันดับ3 MUNPM12 โม-สุนิษา ผินกลับ
รองอันดับ4 MUNPM09 มุก - พฤกษชาติ ขันทอง บีบหัวใจกับรอบ TOP3 และประกาศผลรอบสุดท้าย รองอันดับ2 MUNPM11 เฌอแตม-นภัทรธมนฑ์ กัณฐัศว์พล รองอันดับ1MUNPM08 ดาศักดิ์ดา-ภริดา ทับทิมเพ็ชร
ซึ่งผลการตัดสิน Miss Universe Nakhon Phanom 2025 ได้แก่ ฮานา วริศยา แสวงการ ดีกรีนางแบบระดับโลก คว้ามง ในการประกวดครั้งนี้ เรียกว่าลุ้นกันสนั่นเวที จนคว้ามงกุฎอันทรงเกียรติ เป็นตัวแทนสาวงามจากจังหวัดนครพนม Miss Universe Nakhon Phanom 2025 ฮานา วริศยา ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของจังหวัดนครพนม บนเวทีใหญ่ระดับประเทศ Miss Universe Thailand 2025 ที่ไม่ได้เพียงยืนอยู่บนแผนที่แห่งความงาม แต่กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนแห่งพลังหญิงไทยจากนครพนมสู่จักรวาล

#MissUniverseNakhonPhanom #MUNPM2025 #MissUniverseThailand #MissUniverseThailand2025 #MissUniverseNakhonPhanom2025 #มิสยูนิเวิร์สนครพนม2025 #AgeOfGlory
“หมอฟรัง นรีกุล” เตือน! กินผิดชีวิตพัง ล้วงคอนับแคลจนเครียด กว่าจะเข้าใจคำว่ากินดี
Woody World เปิดตัวรายการใหม่ Glow On podcast with Grace ปลดล็อกความเข้าใจผิดเรื่องการกิน เปลี่ยนสุขภาพให้ดี...ตั้งแต่คำแรก! รายการพอดแคสต์ใหม่ล่าสุดที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณที่มีต่อคำว่า “โภชนาการ” และ “สุขภาพ” ไปตลอดกาล พาคุณไปเปิดโลกของการกินแบบเข้าใจง่าย สนุก และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน นำโดย เกรซ กาญจน์เกล้า ที่ไม่ได้มาแค่ในฐานะพิธีกร แต่คือผู้มีประสบการณ์ตรงกับการปรับเปลี่ยนการกินจนสุขภาพดีขึ้นอย่างยั่งยืน เธอจะพาคุณไปสำรวจพฤติกรรมที่เราอาจมองข้าม แต่ส่งผลกับร่างกายและใจมากกว่าที่คิด รายการนี้จะไม่บอกให้คุณ “ห้ามกิน” แต่จะชวนคุณ “เข้าใจการกิน” และอาจเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณไปตลอดกาล ประเดิม EP. แรกด้วยแขกรับเชิญ หมอฟรัง นรีกุล ที่จะมาบอกเคล็ดลับ เจาะลึกมุมมองใหม่ ๆ การกินดี อยู่ดี แบบ healthy ลดน้ำหนักให้ถูกวิธี กินผิดชีวิตพัง เคยล้วงคอ นับแคลจนเครียด กว่าจะเข้าใจคำว่ากินดี พร้อมเผยความลับของอาหารที่หลายคนไม่รู้มาก่อน

ตัวตนของ หมอฟรัง เป็นคนกินดีไหม?
หมอฟรัง : พยายามกินดีขึ้น หลัง ๆ ก็คอนเซิร์นมากขึ้น เราเรียนเรามีความรู้แต่ว่าชีวิตจริงกับความรู้มันไม่เหมือนกัน เคยมีช่วงนับแคล โปรตีนช่วงนี้นับกรัมอาจจะไม่ได้นับเป๊ะ ๆ แต่ว่าเหมือนเราแค่เอาให้มันถึง ทุกวันนี้ก็คือพยายามกินโปรตีนให้ครบแบบ 1 กรัมต่อกิโล มันต้องเข้ากับไลฟ์สไตล์เราได้ พยายามปรับให้กินผักเยอะขึ้น พยายามอยากใช้ชีวิตเหมือนเดิมแต่ว่าเราลงดีเทลลงไปในรายละเอียด เช่น จากข้าวขาวเราก็อาจจะเปลี่ยนเป็นข้าวแบบไม่ขัดสี อย่างเราเอาทฤษฎีของโอกินาวา เพราะว่าเขาแบบอายุยืน อาจจะใช้วิธีกินมันหวานแทนข้าวไหม กินปลาแทนแบบสัตว์เนื้อแดง ทำสิ่งที่มันไม่ยากกับชีวิตเราจนเกินไปมากกว่า

เป็นหมอ ทำงานหนักไหม กินข้าวเป็นเวลาไหม ?
หมอฟรัง : ถ้าอยู่ในโรงพยาบาล จะไม่ได้เป็นเวลามาก เพราะว่าบางทีตอนเช้าเราก็จะรีบ ๆ กินอะไรง่าย ๆ แล้วก็เข้าไป OPD บางทีก็เลิกช้าจนไม่มีเวลากินข้าวเที่ยง บางวันตอนเช้าก็จะเตรียมอาหารสำหรับตอนเที่ยงไว้ มันก็จะมีบ้างที่อาจจะกินไม่ตรงเวลา หลัง ๆ ก็จะจัดเวลาให้แบบชัดเจนมากขึ้น เหมือน Work-Life Balance เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

เป็นหมอแล้วชีวิตการกินเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ?
หมอฟรัง : ค่อย ๆ เปลี่ยนดีกว่า ก่อนหน้านี้จริง ๆ ก็พอรู้บ้างอย่างที่บอกว่าเคยนับแคล แต่ว่าเหมือนพอเราเรียน เราก็รู้มากขึ้นแหละว่า แบบ 300 แคลของการกินคุกกี้กับ 300 แคลของการกินข้าว 1 จาน แบบสลัด 1 จาน มันไม่เหมือนกัน คนไทยเริ่มรู้จักแคลมากขึ้น แต่อาจจะไม่ได้มองลึกไปกว่านั้นว่ามันมีโภชนาการอะไรบ้าง เราอยากให้มองลึกไปกว่านั้นมากกว่า เหมือนอยากให้มองอาหารเป็นยา

การกินที่ดีคืออะไร ?
หมอฟรัง : การกินที่ได้สารอาหารครบถ้วนหลากหลายและเข้ากับไลฟ์สไตล์เรา วันหนึ่งแคลเรากินได้จำกัด ซึ่งแคลอรี่ 1 แคลอรี่ หรือว่าแคลอรี่ที่กินเข้าไปมันควรเป็นแคลอรี่ที่มีประโยชน์ เป็นแคลอรี่ที่ได้สารอาหาร สารอาหารที่ดีคือการที่ได้อาหารที่ครบถ้วนในพลังงานที่เหมาะสมแล้วก็ตรงกับไลฟ์สไตล์ เรา

เรื่องการกินที่เข้าใจผิดมาตลอด ?
หมอฟรัง : ปกติบางทีตอนเช้าเราก็ทำ Fast (การอดอาหาร) บ้าง กินอีกทีคือ 11 โมงตอนเช้าก็กินแค่กาแฟ เราก็เคยได้ยินว่า Fast มันดี ก็เลยทำบ้าง บางทีก็เพราะไม่มีเวลาด้วย รีบ ๆ แต่เพิ่งไปฟัง Podcast ของ Dr. Stacy ที่เป็นหมอจาก Stanford เขาเรียนเรื่องผู้หญิงกับผู้ชาย เขาบอกว่าผู้ชายมีฮอร์โมนต่างกับผู้หญิง แต่ผู้หญิงมันจะไม่ดีถ้า Fast ตอนเช้า เพราะว่าตอนเช้ามี Cortisol ที่กำลัง Peak แล้ว Fast มันคือการทำให้ร่างกาย Stress อยู่แล้ว พอเจอ Cortisol เยอะมันก็ยิ่ง Stress มากขึ้น ทำให้ร่างกายแย่ลง แล้วก็ออกกำลังกายได้ไม่เต็มประสิทธิภาพด้วย

ทำ IF บ่อยไหม ?
หมอฟรัง : จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำ IF แต่แค่ไม่มีเวลาในตอนเช้า การกินเราก็ไม่ได้ดี 100% เป็นคนกินดึกบางทีไม่ได้หิวมากในตอนเช้า

เรื่องจุลินทรีย์ในลำไส้สำคัญแค่ไหน ?
หมอฟรัง : ช่วงนี้เรื่องจุลินทรีย์คนพูดถึงเยอะขึ้น ซึ่งก็ดีเลย เพราะก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะละเลย เช่น เรื่องการกินโยเกิร์ต หรืออาหารที่มีพรีไบโอติก โปรไบโอติก โพสไบโอติก ซึ่งมันดีจริง ๆ เราเองก็เริ่มใส่ใจมากขึ้น เพราะอยากใช้ชีวิตให้ productive มีพลังงาน แล้วก็รู้สึกว่าแบบ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ลำไส้เราเป็นเหมือนสมองที่สอง เพราะมันมีระบบที่เชื่อมกับสมอง เรียกว่า Gut-brain axis ถ้าใครอยากมีพลังงานดี อยากอารมณ์ดี ต้องดูแลลำไส้ให้ดี เพราะเรื่องการขับถ่ายสำคัญอย่ามองข้าม เรื่องผิวพรรณก็เกี่ยวข้องกันหมด

เรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกินอาหาร ?
หมอฟรัง : คนทั่วไปยังหลายคนยังไม่ค่อยรู้ เช่น ผลไม้ มักจะคิดว่าผลไม้คือ Healthy เช่น กินลำไยเป็นพวง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ยังคือน้ำตาลอยู่ดี เพราะแม้จะเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ แต่ก็ทำให้ Insulin Spike เบาหวาน หรือมีผลกับระดับน้ำตาลในเลือดได้ รวมถึงข้าวเหนียว หลายคนไม่รู้ว่าข้าวเหนียวน้ำตาลสูงกว่าข้าวปกติ อย่างข้าวขาวแนะนำให้เปลี่ยนมากินข้าวกล้องแทน อีกอย่างที่เจอบ่อยคือเรื่องปลาน้ำจืดดิบ โดยเฉพาะในภาคอีสาน พวกปลาร้า ปลาส้ม หรือปลาดิบที่ไม่ผ่านการปรุงสุก มันเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นโรคที่เจอบ่อยในอีสาน เพราะมาจากอาหารพวกนี้เลย หลายคนอาจยังไม่มีทราบตรงนี้มากพอ

เคสคนไข้ที่มีภาวะ Eating Disorder (โรคกินอาหารผิดปกติ) ?
หมอฟรัง : Eating disorder เจอเยอะมากในวัยรุ่น แต่เปอร์เซ็นต์ที่มาหาหมอน้อยมาก อาจเป็นเพราะในไทยยังไม่ได้เปิดกว้างมากพอให้เด็กที่มีปัญหาแบบนี้กล้ามาปรึกษา แต่เดี๋ยวนี้ก็ค่อย ๆ มีมากขึ้น อย่างพวก Anorexia (โรคคลั่งผอม) ที่ออกกำลังกายหนัก ผอมมาก ไม่ยอมกินอาหาร แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอ้วนอยู่ตลอดเวลา หรือ Bulimia (พฤติกรรมการกินผิดปกติ) จริง ๆ ฟังเองพอนึกย้อนกลับไป ก็เคยมีเหมือนกัน อาจยังไม่ถึงขั้นเป็น Eating disorder เต็มตัว แต่ก็เคยมีช่วงที่กินแล้วล้วงคอ เพราะรู้สึกว่าทำไมทุกคนผอมจัง เราก็เลยรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง กินแล้วล้วงคอ แต่มันก็แสบคอเพราะกรด มันกัดคอ และยังเพิ่มโอกาสความเสี่ยงเป็นมะเร็งด้วย

แนะนำวิธีการกิน ?
หมอฟรัง : แนะนำเป็นแนว Mediterranean Diet อาหารเมดิเตอร์เรเนียน เน้นอาหารแบบ Whole Food (อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปหรือผ่านกระบวนการให้น้อยที่สุด) อย่างถั่วหลากหลายสี อาหารทะเล ซึ่งได้รับพิสูจน์แล้วว่าดี ทั้งช่วยเรื่องโรคหัวใจด้วย แล้วก็ผักเยอะใน 1 จาน คนไทยกินผักไม่พอรวมถึงตัวเราด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วควรทานผักให้ได้ประมาณ 5 portion ต่อวัน โดย 1 portion คือประมาณ 1 กำมือ

มีเรื่องสุขภาพอะไรที่อยากบอกต่อ ?
หมอฟรัง : การนอน คือ Basic เราไม่อยากเพิ่มอะไรที่ทำให้ชีวิตยุ่งยาก บางคนก็จะ Ice Bath คือรู้สึกว่าเราก็ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นจะเน้นทำสิ่งที่ Basic ให้ดีที่สุดก่อน เช่น พยายามนอนให้ได้อย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป จริง ๆ ควรจะนอน 7–9 ชั่วโมง การนอนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งหลาย ๆ คนมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับคนที่ทำงานหนัก ๆ แล้วโดยรวมมันก็อยู่ในหลัก 6 เสาหลักของสุขภาพเลย คือ การนอน, การกิน, การออกกำลังกาย, หลีกเลี่ยงสารอันตราย, การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการจัดการความเครียด เป็นสิ่งสำคัญ

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=B3XdaZsLiLY&ab_channel=Alivedot
“ต่อ ธนภพ” เปิดใจครั้งแรกถึงวินาทีที่ต้องเริ่มต้นใหม่ ผมเหมือนคนอกหัก! มรสุมชีวิตที่ต้องยืนคนเดียว
เปิดใจ ต่อ ธนภพ พูดครั้งแรก! ในรายการ WOODY INTERVIEW หลังค่ายนาดาวบางกอกปิดตัวลง ที่เป็นเสมือนบ้านที่หล่อหลอมมาตลอด รู้สึกเหมือนคนอกหัก! การเริ่มต้นใหม่ที่ต้องก้าวออกมายืนด้วยตัวเองเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งเต็มไปด้วยรายละเอียดและปัญหาที่ไม่คาดคิด ผ่านมรสุมชีวิตจนเกือบจะท้อแท้

ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ?
ต่อ ธนภพ : ช่วงนี้เป็นปีที่เริ่มต้นโปรเจคใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของลุคนี้ในรอบ 12 ปีที่ผมไม่ได้กลับมาทำทรงผมบัซคัทเลย งานแรกที่ผมได้มีโอกาสได้ให้ผู้คนได้เห็นลุคนี้คืองานนาฏราชที่ผ่านมา พี่วู้ดดี้เป็นที่แรกที่ผมจะมาได้บอกแบบจริง ๆ ว่าผมกลับมากับลุคแบบนี้ด้วยโปรเจคการแสดงหนัง

เล่าถึงเบื้องหลังการเดินทางของงานที่เราอาจไม่รู้ ?
ต่อ ธนภพ : ผมเกิดมากับลุคนี้ที่เป็นที่รู้จักของทุกคนตั้งแต่ไผ่ฮอร์โมน ตลอด 10 ปีที่เราทำงานมาผมตั้งใจอยู่ตลอดว่า อยากหาโอกาสในการกลับมาลุคของไผ่ฮอร์โมนอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าการเดินทางของตัวผมเองเราเดินทางมาไกลถึงจุดหนึ่ง หรือในวันที่เรารู้จักตัวเองมากขึ้น เช่น ยุคแรก ๆ ผมเป็นคนอยากลองทำไปหมดเพื่อให้ตัวเองรู้ว่าชอบอะไร จนผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาตั้งแต่นาดาวยังไม่เปิดตัวลงอยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าอยากทำทรงนี้อีกครั้ง ตอนนั้นผมจำได้แม่นว่าพี่ย้งเคยพูดกับผมว่า ….ไม่ได้ต่อสิ่งนี้สำคัญกับยูมาก ๆ แล้วผมก็ถามกลับไปว่าแล้วเมื่อไหร่ถึงจะมีสัญญาณบอกผมว่าถึงเวลา เขาบอกผมว่าผมจะรู้ด้วยตัวของผมเองเมื่อผมโตขึ้น ซึ่งผมก็รู้สึกว่าตอนนี้แหล่ะ ผมก็บอกไม่ถูกว่าเหตุผลที่ผมยอมรับลุคนี้คืออะไร แต่ผมสัมผัสกับตัวเองได้ว่าถ้าอยากทำสิ่งนี้ก็ต้องทำตอนนี้เป็นตอนอื่นไม่ได้

ความรู้สึกของช่วงที่อยู่ในลุคของไผ่ฮอร์โมน ?
ต่อ ธนภพ : ประมาณ 3-4 ปีที่อยู่ในลุคของไผ่ฮอร์โมน ผมรู้สึกภูมิใจกับลุคนั้น แต่ยอมรับว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเริ่มต้นผมปรับตัวไม่ทัน ที่อยู่ๆเด็กคนหนึ่งกับการที่มีคิวงานที่มหาศาล และชีวิตต้องรับผิดชอบมากขึ้น ก็มีช่วงที่รู้สึกไม่แน่ใจว่าเหนื่อยเกินไปไหม หรือจะไหวไหม ทุกอย่างที่ผ่านมาจนถึงวันนี้มาจากแพชชั่นที่ผมรักมันจริง ๆ อยากทำมัน ต่อให้รู้ว่าไม่ไหวเราก็ยังอยากทำต่อไป ทั้งหมดเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เพราะว่าผมเกิดมาในบ้านที่อบอุ่น ทุกคนดูแลกันแบบครอบครัว บ้านหลังนี้ที่มองทุกคนคือครอบครัว ไม่แบ่งกลุ่มให้เกิดชนชั้น กัน

ในวันที่นาดาวบางกอกต้องยุติลง ชีวิตเป็นยังไงหลังจากนั้น ?
ต่อ ธนภพ : เฮิร์ท ผมรู้สึกเหมือนคนอกหัก เราไม่ได้รู้สึกเจ็บแบบนี้นานมาก มันแย่ตรงที่ผมรู้เรื่องนี้ก่อน มันเหมือนสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วผมไม่เคยรู้สึกว่าค่ายที่อยู่มามันไม่ดี เพราะเขาเลี้ยงผมมาอย่างดี ผลักดันผมเต็มที่ และให้ประสบการณ์มากมายในวันที่ผมอยู่ในนั้น รวมถึงวันที่ผมต้องก้าวออกมาสู่โลกภายนอกด้วยขาของตัวเองจริง ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่พี่ ๆ เขาให้เรามามันมากขนาดนี้เลยเหรอในแบบที่เราไม่รู้ตัว มันเลยเป็นช่วงที่ตอนนั้นผมไม่ยอมรับ วันที่ผมรู้ว่ามันจะไม่มี ไม่อยากให้ค่ายปิด ณ ตอนนั้นในมุมมองของเด็กตอนนั้นรู้สึกว่ามันไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ปัญหาคืออะไร ช่วงนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่ออีกช่วงหนึ่งของชีวิต กำลังจะก้าวเข้าสู่ 30 จะเริ่มโตขึ้นแบบจริงๆ จำได้ว่าจุดที่ผมยอมรับคือตอนที่ได้ยินเหตุผลของพี่ย้งว่า เขารู้สึกว่าแพชชั่นของเขากำลังย้ายไปที่จุดอื่น ซึ่งสะท้อนกลับมาที่ตัวผมทันทีว่าผมก็เป็นมนุษย์แพชชั่น และทำทุกอย่างด้วยแพชชั่นมาตลอด เมื่อคนที่รักมากบอกว่าแพชชั่นเปลี่ยน ผมรู้สึกว่าเขาไม่เคยปฏิเสธแพชชั่นผม ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายแพชชั่นเขา จึงเริ่มยอมรับสิ่งนั้น และเป็นหนึ่งในศิลปินที่อยู่จนถึงวันสุดท้ายโดยไม่วิ่งหาที่อยู่ใหม่หรือพยายามเอาตัวรอด ผมแค่อยากอยู่กับพี่ ๆ จนถึงวินาทีสุดท้ายที่คำว่า "นาดาว" ใช้ไม่ได้อีกแล้ว

จุดที่ต้องหางานเอง ?
ต่อ ธนภพ : เคยได้ยินประโยคที่ว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้าไหม ผมรู้สึกว่าทุกที่เป็นแบบนั้น การที่เราเป็นคนในจะชอบเห็นข้อเสีย คนนอกจะเห็นแต่ข้อดี มีจุดที่โตขึ้นเคยรู้สึกว่าการดูแลของค่ายทำแค่นี้เองเหรอ เราน่าจะทำเองได้ ไม่เห็นยากเลย นั่นเป็นวันที่เราไม่รู้ดีเทล ซึ่งในวงการมีดีเทลมากมาย แล้ววันที่ผมรู้ว่านาดาวยุติ ผมรู้ตัวว่าเราต้องโตแล้ว สิ่งที่เคยคิดว่าโตมาตลอด วันนี้มันไม่ใช่แค่คิด ความผูกพันกับบ้านหลังนี้มา ทำให้ผมเริ่มต้นตัวเองว่าจะเป็นฟรีแลนซ์ อยากลองเดินด้วยขาตัวเอง การที่จะหาคนดูแลหรือค่ายใหม่ก็ทำได้ แต่สิ่งที่ผมเลือกคืออยากให้ชีวิตนี้นาดาวเป็นเพียงค่ายเดียวของผม เขาคือรากฐานที่ฟูมฟักและเลี้ยงดูผมมา รู้สึกว่า 10 ปีตลอดการดูแลที่ผ่านมาควรจะมากพอสำหรับเด็กคนหนึ่งที่วันนี้เขาไม่ควรต้องพึ่งคนอื่น สิ่งที่ทำให้ผมเลือกคือการเปิดบริษัทเล็ก ๆ ดูแลตัวเอง ชวนพี่ที่สนิทและไว้ใจมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว หาทีมออนไลน์เข้ามาช่วย ผมอยากลองใช้ชีวิตอีกแบบที่ต้องดูแลตัวเองจะเป็นยังไง

ช่วงแรกที่ออกมาจากนาดาว ? ต่อ ธนภพ : ต้องบอกว่าหนักครับ ปีแรก ๆ บ้ามาก คือผมไม่เคยคิดเลยว่ามันดีเทลขนาดนี้ ตอนแรกมีจุดกังวลว่าจะหางานจากไหน จะยังไงต่อ จะอยู่รอดได้ยังไง แต่สุดท้ายปัญหาที่คิดกลับไม่เกิดขึ้นเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่น เมื่อก่อนอยู่กันคนเยอะ ไม่ต้องโฟกัสกันขนาดนั้น พอทีมเล็กลงจุดโฟกัสก็บีบ ทุกอย่างเข้มข้นขึ้น ปะทะทางความคิดกันง่ายขึ้น เมื่อก่อนถ้าผิดใจกับใครในค่ายที่มีคนเยอะ เรามีเวลาพักไปคุยกับคนอื่นได้ พักสติใดๆ แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นต้องเคลียร์ให้จบ แล้วใช้เวลาเป็นปีในการปรับตัว กว่าจะเริ่มรู้ว่าเราขาดอะไร อะไรพอ อะไรไม่พอ มีช่วงที่ผมรู้สึกว่าท้อด้วยนะ มองว่าหรือมันหนักเกินไปสำหรับเรา หรือเราคิดง่ายไปว่าโตแล้วน่าจะไหว แต่จริง ๆ เราอาจจะไม่ไหวขนาดนั้นก็ได้ ท้อคือผมรู้สึกว่าปัญหาไม่หยุด พอเราไม่มีคนคอยเป็นแบ็คให้ขนาดนั้นก็โหวง ไม่ชิน คือความรู้สึกที่ไม่ได้คอมฟอร์ตขนาดนั้น พอเข้าสู่โหมดเอาตัวรอดตลอดเวลามันจะกังวลง่ายไปหมด พอเป็นอย่างนั้นทุกวันมันเหนื่อยมาก ๆ มีช่วงที่ผมรู้ตัวเองว่าผมอ่อนแอมาก จนรุ่นพี่หรือผู้ใหญ่เคยแนะนำว่าทุกอย่างที่เป็นการเริ่มต้นใหม่ สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องของเวลา ผมก็ลองเชื่อ ปัญหาเข้ามาก็แก้ไม่เป็นไร แล้วพอมันผ่านไปรู้สึกว่าผมและทีมได้ยกเวท เราแข็งแรงขึ้น กล้าเผชิญมากขึ้น ผมได้ผ่านมรสุมชีวิตมาก็หลายครั้งจนรู้สึกว่าวันนี้เข้มแข็งขึ้น จนถึงจุดที่คิดว่านี่เป็นช่วงชีวิตที่ชิลที่สุด เวลาทำงานใด ๆ

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่เหนื่อยมาก จะบอกกับตัวเองว่าอะไร ?
ต่อ ธนภพ : คุณไม่ได้เดินผิดทาง และผมก็บอกไม่ได้ด้วยว่าคุณเดินถูกทาง แต่มันโชคดีมากที่คุณไม่หยุดเดิน

สิ่งที่เชื่อมั่น ?
ต่อ ธนภพ : ผมเชื่อมั่นในการอยู่กับปัจจุบัน แต่ก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกไปเรื่อย ๆ เราไม่มีทางทำได้ ทั้งหมด

สามารถติดตาม WOODY INTERVIEW ได้ที่ช่องทาง Facebook: Woody , Youtube: Woody

คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=0WpCMkhymkY&t=28s&ab_channel=WOODY
เปิดภาพล่าสุด น้องคุน-น้องจุน ลูกชาย “เคน-หน่อย” โตเป็นหนุ่มแล้ว
ยิ่งโตก็ยิ่งฉายความหล่อตามรอยคุณพ่อแบบสำเนาถูกต้องเป๊ะๆ สำหรับสองหนุ่มน้อย น้องคุน คุนนธรรมวัย 16 ปี กับ น้องจุน ธิปไตย วัย 14 ปี ลูกชายของ “หน่อย บุษกร” และ “เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์”

ล่าสุดคุณแม่ หน่อย บุษกร ก็ได้เผยภาพของ 3 หนุ่ม เคน ธีรเดช และน้องคุน-น้องจุน ที่ขณะทำกิจกรรมในวันพักผ่อนของครอบครัว เรียกว่าตอนนี้สองหนุ่มโตจนจะสูงเท่าคุณพ่อแล้ว ซึ่งโครงหน้าชัดเหมือนคุณแม่ และหล่อละมุนคล้ายคุณพ่อเอามากๆ

#หน่อยบุษกร #เคนธีรเดช #น้องคุน #น้องจุน #สยามดารา